กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 728.1 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่
จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ หอเด็ดดาว
หลังจากที่นักพรตน้อยสะพายกระบี่คนนั้นปรากฎตัวก็มีสตรีคนหนึ่งที่จงใจใช้ไอเมฆหมอกบดบังโฉมหน้าและเรือนกายคนหนึ่งมาเยือน นางยอบตัวคารวะอยู่ตรงบันไดขั้นล่างสุด พอได้รับคำสั่งจากเทียนซือถึงได้เดินขึ้นสู่ที่สูงมาช้าๆ พอนางเหยียบลงบนขั้นบันได เวทอำพรางตาก็สลายหายไปด้วยตัวเอง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง แม้ว่าจะแต่งกายด้วยชุดขนนกของนักพรตหญิง แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนตามธรรมชาติ ตรงหว่างคิ้วมีใฝแดงอยู่เม็ดหนึ่ง
นางไม่เพียงแต่เป็นจิ้งจอกฟ้าที่ขอบเขตสูงที่สุดในใต้หล้าไพศาลเท่านั้น ยังมีขอบเขตสูงสุดในหลายใต้หล้าอีกด้วย รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มานานสามพันปีแล้ว
อยู่ในภูเขามังกรพยัคฆ์ใช้นามแฝงว่าเลี่ยนเจิน
ในอดีตเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ลงจากภูเขาออกเดินทางไปทั่ว นางก็แอบติดตามนักพรตหนุ่มที่เพิ่งจะอายุยี่สิบปีไปด้วย แสร้งปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้านคนหนึ่ง เทียนซือใหญ่เองก็ไม่ได้จงใจเปิดเผยตัวตนของนาง อนุญาตให้นางคอยติดตามอยู่ไกลๆ ยิ่งยอมรับการที่นางลอบมองการฝึกวิชาคาถาของตนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นมาเทียนซือหนุ่มออกเดินทางไปทั่วสารทิศ กำจัดปีศาจปราบมารไปตลอดทาง ใช้เวลาหกสิบปีเต็ม นางอาศัยคุณูปการของเทียนซือปกป้องคุ้มกันกายจึงหลบพ้นทัณฑ์สวรรค์มาได้หลายครั้ง สุดท้ายนางยินดีติดตามเทียนซือใหญ่มาฝึกตนในภูเขามังกรพยัคฆ์ เพื่อเป็นของขวัญตอบแทน เทียนซือใหญ่จึงประทับตราอาคมกับมือตัวเอง ทำให้นางแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ได้
ขึ้นมาบนนี้อยู่ใกล้กับแผ่นฟ้าอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าเพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็สามารถเด็ดดวงดาวจับดวงจันทร์เอาไว้ได้
หลังจากที่จิ้งจอกฟ้าเลี่ยนเจินเดินขึ้นมาบนหอเด็ดดาวแล้ว นางกลับหยุดนิ่งไม่เดินหน้าต่อ ไม่ได้ขยับเข้าใกล้เทียนซือใหญ่ที่มีรูปโฉมเป็นคนหนุ่ม หลักๆ แล้วเป็นเพราะนางเกิดมาก็หวาดกลัวนักพรตเด็กสะพายกระบี่ที่ใช้นามแฝงว่าอู๋เล่ยผู้นั้นมากกว่า
ในฐานะที่ผู้ฝึกกระบี่คือผีตอแยยากอันดับหนึ่งในบรรดาสี่ผีใหญ่บนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่บินของเซียนกระบี่ที่ตัดหัว หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม สังหารศัตรูก็ดี กำจัดปีศาจปราบมารก็ช่าง ไม่ใช่การนั่งเทียนเขียนลอยๆ เหมือนอย่างที่เอ่ยถึงในนิยายเรื่องเล่าประหลาดหรือในเกร็ดพงศาวดาร
และนักพรตเด็กคนนั้นก็คือร่างมนุษย์ที่จำแลงมาจากกระบี่เซียน ‘ว่านฝ่า’
เลี่ยนเจินถูกหอเด็ดดาวสยบกำราบจึงเผยร่างจริงออกมาครึ่งหนึ่ง หางสีขาวหิมะขนาดใหญ่สิบหางลากระพื้นไปตามขั้นบันได แทบจะปิดเส้นทางการเดินขึ้นสู่หอเด็ดดาวทั้งหมด
นักพรตหนุ่มหันหน้ามาผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้กับจิ้งจอกฟ้า
เลี่ยนเจินรีบคารวะกลับคืน ใช้การกราบคารวะตามพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างห่างเหิน อยู่เบื้องล่างหอเด็ดดาว นางภาคภูมิใจในสถานะสาวใช้ข้างกายเทียนซือใหญ่ แต่พอขึ้นมาบนหอแล้ว อยู่ข้างกายอู๋เล่ยวิญญาณกระบี่ที่ใกล้ชิดกับคนยากมากที่สุด เลี่ยนเจินก็ได้แต่ต้องเรียกตัวเองว่าเป็นสหายผู้ฝึกตน หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเกิดความไม่สบอารมณ์
เลี่ยนเจินแทบไม่เคยพูดคุยกับอู๋เล่ยผู้นั้น และอันที่จริงโอกาสที่ทั้งสองจะได้พบเจอกันก็มีไม่มาก
เทียนซือใหญ่ล้วนเรียกทั้งสองท่านเป็นสหาย คบหากันดุจคนที่มีลำดับศักดิ์เท่าเทียม ไม่เคยเห็นเป็นข้ารับใช้หรือสาวใช้
เลี่ยนเจินรู้ว่าเหตุใดวันนี้เทียนซือใหญ่ถึงมาพบกับอู๋เล่ยที่นี่ ทอดสายตามองไกลไปยังฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของใต้หล้าไพศาลด้วยกัน ทว่าทุกวันนี้ฝูเหยาทวีปเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว เชื่อว่าต่อให้เทียนซือใหญ่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือก็ยังมิอาจเห็นได้ชัดเจนนัก
เทียนซือใหญ่พูดคุยต่อจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ “ข้าคิดว่าจะถือตราประทับไปเยือนใบถงทวีปสักครั้ง เจ้าอยู่เฝ้าประตูภูเขาที่นี่”
อู๋เล่ยยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา น้ำเสียงที่เอ่ยค่อนข้างจะเย็นชา “สถานการณ์ของใต้หล้าในทุกวันนี้คู่ควรให้เจ้าเสี่ยงอันตรายลงมือก็จริง แต่อย่าได้ไปตายด้วยน้ำมือของโจวมี่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหรือจะยังให้ข้าเป็นคนสังหารเจ้าด้วยมือตัวเอง”
เลี่ยนเจินรู้สึกเป็นกังวล นางอยากจะพูดเกลี้ยกล่อม แต่ไหนเลยจะกล้าชี้มือชี้ไม้ใส่เจ้านายในเรื่องใหญ่เช่นนี้
ก็เหมือนอย่างที่เจ้านายเคยพูดเองในอดีต บนโลกมนุษย์มีความมหัศจรรย์ในทุกช่วงเวลา ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่การสยบกำราบ ผู้ฝึกตน ยิ่งมรรคกถาสูงเท่าไร เส้นทางใต้ฝ่าเท้าก็มีแต่จะยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น ส่วนลมบนภูเขาบนฟ้าก็จะยิ่งแรงมากเท่านั้น
ทุกคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกครั้งที่ตัดสินใจเองไม่ได้ ล้วนมีโอกาสที่จะกายดับมรรคาสลาย ความสง่างามมักจะถูกลมฝนพัดให้สลายหายไปเสมอ ต้องอยู่อย่างเดียวดายยาวนานเคียงคู่แม่น้ำแห่งกาลเวลา
ส่วนสีหน้าเย็นชาและเนื้อหาในคำพูดของนักพรตน้อยคนนั้น เลี่ยนเจินกลับไม่รู้สึกประหลาดใจแล้ว แม้ว่าวิญญาณกระบี่จะเป็นข้ารับใช้ในนาม แต่มหามรรคาบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด แทบจะไม่มีการแบ่งแยกดีเลวอย่างที่คนรุ่นหลังชอบพูดกันแม้แต่น้อย
นักพรตหนุ่มยื่นมือไปคว้าจับของสิ่งหนึ่งกลางอากาศเบาๆ ตรงเอวก็ปรากฎเป็นขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่ง ทว่าตัวอักษรที่แกะสลักไว้กลับเอามาจากบทนำแปดตัวอักษรของแท่นฝนหมึกอักษรโบราณจำลองในโลกมนุษย์ที่บอกว่า ‘ไอที่แผ่ออกมาจากผืนแผ่นดินนั้นเรียกว่าลม’
เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของภูเขามังกรพยัคฆ์ จ้าวเทียนไล่
หนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อันดับอยู่เหนือฝูลู่อวี๋เสวียน ต่อให้จะเป็นอันดับสิบคนไพศาลที่ผู้คนยังถกเถียงกันไม่หยุด ก็ยังต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับเขาอย่างแน่นอน
เวทห้าอสนีดั้งเดิมมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่าเป็นผู้นำแห่งหมื่นวิชาคาถา เทียนซือใหญ่แต่ละยุคแต่ละสมัยของภูเขามังกรพยัคฆ์ เดิมทีก็เป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านเวทสายฟ้าอย่างสมชื่อบนโลกอยู่แล้ว
หนึ่งกระบี่ฝ่าทลายหมื่นอาคม
ทว่า ‘ว่านฝ่า’ (หมื่นอาคม) หนึ่งในสี่กระบี่เซียน เดิมทีก็อยู่ในครอบครองของจ้าวเทียนไล่อยู่แล้ว
จ้าวเทียนไล่ไม่เพียงแต่เป็นคนที่อายุยืนที่สุดในบรรดาเทียนซือแต่ละรุ่นของภูเขามังกรพยัคฆ์ ความสูงของมรรคกถาเขาในทุกวันนี้ก็ยิ่งเป็นรองแค่บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาที่ออกเดินทางไกลไปยังนอกฟ้าไม่อาจกลับคืนมาได้อีกเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่จ้าวเทียนไล่ยังถูกใต้หล้าไพศาลมองเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่มากที่สุดอีกด้วย
เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลกนั้นผันแปรไม่แน่นอน ผู้ฝึกตนที่ได้ครอบครองกระบี่เซียนเล่มหนึ่งกลับกลายเป็นว่าจำนวนครั้งที่ออกกระบี่ยังสู้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปบนภูเขาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
มีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเคยนับจำนวนครั้งที่กระบี่เซียนทั้งสามเล่มปรากฏตัวบนโลกโดยเฉพาะ หลังจากที่ป๋ายเหย่ไปยืมกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ มาจากนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ จำนวนครั้งที่ปล่อยกระบี่น่าจะไม่เกินสิบครั้ง
ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวผู้นั้น ท่ามกลางชีวิตของการฝึกตนอันยาวนานก็ยิ่งมีจำนวนแค่มือเดียวนับได้ นอกจากนี้ยามที่ประมือกับศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ถือว่าอยู่บนยอดเขาที่แท้จริงก็ไม่จำเป็นต้องพก ‘เต้าจ้าง’ เล่มนั้นไปด้วยซ้ำ ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือกระบี่หล่นลงบนอารามเสวียนตู เต๋าเหล่าเอ้อสวมชุดคลุมอาคม ถามกระบี่ต่ออารามเสวียนตูใหญ่ที่บอกว่าตัวเองคือปฐมสำนักสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า ส่วนอาเหลียงที่บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้าคนนั้น ยามที่ทั้งสองฝ่ายงัดข้อกันกลับใช้มือเปล่าหมัดเน้นๆ เสียมากกว่า คนหนึ่งไม่มีกระบี่พกที่เหมาะมือ อีกคนหนึ่งหักใจยอมไม่ใช้กระบี่เซียน
ส่วนเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่บนหอเด็ดดาวผู้นี้ จำนวนครั้งที่ออกกระบี่ค่อนข้างจะมากหากเทียบกับสองฝ่ายแรก หลังจากลงเขาไปท่องเที่ยวแล้ว ทุกครั้งที่เลื่อนขอบเขตหนึ่งขั้นจะต้องออกกระบี่อยู่สามห้าครั้ง
ส่วนกระบี่เซียนเล่มที่สี่ ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่รู้เรื่องวงในของใต้หล้าไพศาลมีน้อยจนนับนิ้วได้ เนื่องจากจ้าวเทียนไล่มีวิญญาณกระบี่ตนหนึ่ง บวกกับที่เชี่ยวชาญการคิดอนุมาน ดังนั้นจึงคำนวณออกมาได้ ไม่เพียงรู้ว่ากระบี่เซียนเล่มนั้นชื่อ ‘เทียนเจิน’ ยังรู้ด้วยว่ากระบี่เล่มนี้ทั้งไม่อยู่ในหอสยบกระบี่ของทักษินาตยทวีป แล้วก็ไม่ใช่กระบี่ยาวที่ผู้พิฆาตมังกรเมื่อสามพันปีก่อนครอบครอง แต่ไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานหมื่นปีแล้ว
ส่วนผู้พิฆาตมังกรที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาแล้วก็เหมือนดาวตกที่ร่วงลงมาอย่างรวดเร็วผู้นั้น ทั้งตัวตนและชื่อต่างเป็นเรื่องต้องห้าม แล้วยังเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่เล็ก รู้แค่ว่าเขามาจากพื้นที่มงคลระดับสูงแห่งหนึ่งที่ทุกวันนี้ยังถูกปิดผนึก แต่กลับมีความเกี่ยวข้องกับมหามรรคาของบรรพบุรุษคนแรกสำนักการทหารอย่างคลุมเครือ ไม่ว่าจะอย่างไร ช่วงเวลาที่มีการพิฆาตมังกร ยังสามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเจิ้งจวีจงของนครจักรพรรดิขาวออกมาได้ คนผู้นี้ถือว่ามีชื่อเสียงยาวนานเป็นพันปีแล้ว ไม่แน่ว่าในเกร็ดพงศาวดารอันซับซ้อนของโลกรุ่นหลัง คนผู้นี้อาจได้ยึดครองบทความขนาดใหญ่และน้ำหมึกจำนวนมากอย่างถึงที่สุดก็เป็นได้
จ้าวเทียนไล่หันหน้ามายิ้มเอ่ย “สหายเลี่ยนเจิน ที่ใบถงทวีปเหมือนว่าจะมีคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้าอยู่ด้วยคนหนึ่ง”
เลี่ยนเจินพยักหน้ารับเบาๆ “ข้ากับนางอยู่บนเส้นทางเดียวกันแต่คนละสาย เป็นสายเดียวกับชิงอิงที่อยู่ข้างกายอาจารย์ป๋าย”
น้ำเสียงของจิ้งจอกฟ้าตนนี้นุ่มนวลตลอดเวลา ไม่กล้าพูดเสียงสูง นั่นเป็นเพราะปณิธานกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวสหายอู๋เล่ยน่าตะลึงเกินไป
ในฐานะหนึ่งในสี่วิญญาณกระบี่ เดิมทีพลังพิฆาตก็เท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานในยุคบรรพกาลท่านหนึ่งอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีนิสัยของมนุษย์ สำหรับถ้อยคำของภูตอย่างเลี่ยนเจินที่อยู่ข้างกายนี้ จึงมีการสยบกำราบบนมหามรรคาที่มีมาตามธรรมชาติอยู่แล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลสูงส่งอยู่บนฟ้า ก่อนที่เผ่ามนุษย์จะปรากฏตัว สิ่งที่สังหารบดขยี้ไปมากที่สุดก็คือเผ่าปีศาจมากมายที่อยู่บนพื้นดิน
ในบรรดานั้นมีเพียงพวกมังกรที่แท้จริงเท่านั้นที่ถึงจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองสูงขึ้นมาหน่อย และรวบรวมเอามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทั้งห้าท่านของสรวงสวรรค์
ผู้ครอบครองสรวงสวรรค์
ผู้ถือกระบี่ ฐานะคล้ายคลึงกับสิงกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในยุคหลัง หรือไม่ก็ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์บนภูเขา
ผู้สวมเสื้อเกราะ คล้ายคลึงกับอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองทะลุปรุโปร่งไปยังหมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่ง
เทพอัคคี ดูแลดวงดาวบรรพกาล
เทพวารี เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำแห่งกาลเวลา
นอกจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงอีกสิบสองท่านคอยค้ำยันฟ้าดิน ลากดึงดวงดาว ในบรรดานั้นมีสองท่านที่ดูแลหอบินทะยาน รับผิดชอบคอยรับตัวเซียนดิน ใช้สถานะของเผ่ามนุษย์กลายมาเป็นวิญญาณที่แท้จริงแห่งวิถีเทพ ซึ่งก็คือการเลื่อนลำดับเป็นเซียนอย่างที่กล่าวถึงในโลกยุคหลัง
อันดับแรกก็มีเวทคาถาและวิชาอภินิหารหล่นลงมายังโลกมนุษย์ก่อน เผ่ามนุษย์ลุกผงาดเดินขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง อาศัยหอบินทะยานกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จำนวนมากขึ้นทุกที
จากนั้นก็มีการช่วงชิงกันระหว่างน้ำและไฟ นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหยางเหล่าโถวถึงเอ่ยกับหร่วนซิ่วและหลี่หลิ่วว่า พวกเจ้าทั้งสองมีโทษทัณฑ์ร้ายแรงที่สุด
ต่อมาก็มีผู้ถือกระบี่รับผิดชอบคอยทำลายเสื้อเกราะ เล่าลือกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ดับสูญไปแล้ว อีกทั้งหากอิงตามหลักการทั่วไป ตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้จริงๆ และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมหยางเหล่าโถวถึงมองนางเป็นวิญญาณกระบี่มานานนับหมื่นปี บวกกับที่ตัวนางเองก็จงใจปรากฎตัวบนโลกด้วยรูปลักษณ์ของผู้ถือกระบี่ด้วย
สุดท้ายบรรพจารย์ของสามลัทธิและบรรพบุรุษสำนักการทหาร คนทั้งสี่จับมือกันเดินขึ้นสู่จุดสูงสุดของม่านฟ้า ทุบทำลายสรวงสวรรค์จนแหลกเละ
อู๋เล่ยลังเลใจอย่างที่หาได้ยาก
จ้าวเทียนไล่เอ่ยว่า “ล้วนได้รับการยอมรับแล้วไม่ใช่หรือ เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ค่อนข้างยากจริงๆ”
การผสานมรรคากับฟ้าดินของซิ่วไฉเฒ่าอาศัยคุณความชอบของอริยะปราชญ์กับการผสานมรรคาระหว่างขุนเขาสายน้ำ ขานรับกับฟ้าดิน
หย่าเซิ่งก็ยิ่งอาศัยสิ่งนี้มาผสานมรรคากับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเร็วยิ่งกว่า ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปก็คือแผ่นดินครึ่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาล
ขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเหย่ การผสานมรรคากลับเป็นบทกวีบทกลอนในใจของป๋ายเหย่เอง ทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจจริงๆ ในบางความหมายเมื่อเทียบกับการผสานมรรคากับฟ้าดินของพื้นที่หนึ่งแล้ว ทำให้คนเลียนแบบได้ยากกว่ามากนัก นักประพันธ์ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในโลกยุคหลังที่ถูกบัณฑิตมองเป็นผู้ที่มีความสามารถไล่ตามป๋ายเหย่ไปได้ติดๆ บุคคลผู้หนึ่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์ของหมื่นถ้อยคำ ก็ยังต้องเอ่ยด้วยความเสียใจประโยคหนึ่งว่า ‘กวีถึงป๋ายเหย่ ช่างเป็นความโชคดีของโลกมนุษย์ กวีมาถึงข้า เรียกได้ว่าโชคร้ายอย่างใหญ่หลวง’
ขนาดคนผู้นี้ยังดูถูกตัวเองเช่นนี้ จำต้องเปลี่ยนจากกวีเป็นถ้อยคำ แล้วคนนอกและคนในยุคหลังจะยังกล้าใช้ถ้อยคำบทกวีมาผสานมรรคาได้อย่างไร?
เฉินฉุนอันผู้รอบรู้แบกตะวันจันทราไว้บนบ่า ในใจมีแสงสว่างเจิดจ้า เพราะจะผสานมรรคากับหลักการเหตุผลที่แท้จริงของอริยะปราชญ์ในใจ
เจ้าอารามดอกบัวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่รบตายไปบนสนามรบแล้ว ได้หลอมจิตวิญญาณดวงจันทร์อย่างยากลำบาก นั่นก็เพราะอยากจะเข้ามาในใต้หล้าไพศาล ผสานมรรคารวมเป็นหนึ่งกับดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์จำนวนมากกว่าเดิม
ฮว่อหลงเจินเหริน ในฐานะเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ที่ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ครึ่งตัว ถูกผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลขนานนามว่าสามสุดยอดแห่งวิชาอัคคี วิชาวารีและวิชาอสนี กลับกลายเป็นว่าผสานมรรคาได้ไม่ง่ายนัก
วัตถุที่ฝูลู่อวี๋เสวียนคิดจะนำมาใช้ผสานมรรคา คือ ‘ธารดวงดาว’ จิตธรรมกึ่งจริงกึ่งเท็จในน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนั้น
ลัทธิเต๋าในยุคบรรพกาลเคยมีพรรคโหลวกวนแห่งหนึ่งที่เอาหญ้ามาสร้างเป็นหอเรือน เชี่ยวชาญการดูภาพบรรยากาศดวงดาว เป็นเหตุให้มีชื่อว่าโหลวกวน ระดับความรู้ที่อวี๋เสวียนมีต่อคาถาเต๋าสายนี้ลึกซึ้งมาก อีกทั้งสายของโหลวกวานก็มีบุญสัมพันธ์บนมหามรรคาที่ไม่ตื้นเขินกับฮว่อหลงเจินเหริน ฮว่อหลงเจินเหรินและฝูลู่อวี๋เสวียน คนทั้งสองกลายเป็นสหายรักกันได้ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่นิสัยเข้ากันได้เท่านั้น การประลองมรรคกถา การช่วยกันขัดเกลาวิชาความรู้ ก็ไม่ใช่เพราะมีความคิดที่ว่าเดินร่วมทางบนมหามรรคาก็น่าจะจับมือกันเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสี่หรอกหรือ
จ้าวเทียนไล่ถอนหายใจเบาๆ สะบัดชายแขนเสื้อเล็กน้อย คลายตราผนึกออก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ใครบางคนหาข้ออ้างมาร้องทุกข์ได้
นักพรตน้อยถึงกับอดไม่ไหวเหลือกตามองบน
เลี่ยนเจินรู้สึกตัวช้าสุด และนางเองก็เป็นคนที่จนใจที่สุดเช่นกัน
เลี่ยนเจินถามเสียงเบา “ให้ข้าไปรับรองแขก?”
เทียนซือใหญ่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “รับรองแขกอะไรกัน เขาเป็นเจ้าบ้าน ข้าต่างหากที่เป็นแขก”
สถานศึกษาสามแห่ง ภูเขาสุ้ยซานแห่งแผ่นดินกลาง หอสยบป๋ายเจ๋อ กระท่อมที่ป๋ายเหย่สร้างขึ้นในใต้หล้าแห่งที่ห้า…มีครั้งใดบ้างที่คนผู้นี้ไม่ทำตัวเปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้าน แสดงตัวเป็นเจ้าบ้านยิ่งกว่าเจ้าบ้านตัวจริงเสียอีก ถึงขั้นนึกอยากจะใช้ตัวตนของเจ้าบ้านเอาทรัพย์สมบัติออกมาช่วยรับรองแขกเลยด้วยซ้ำ
พื้นที่ต้องห้ามซึ่งเป็นเรือนด้านในของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์
สถานที่แห่งนี้มีตราผนึกป้องกันเข้มงวดเหนือกว่าภูเขาบรรพบุรุษของฝูลู่อวี๋เสวียนไปมาก
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ เดินทางมาถึง ตอนแรกก็ยังไม่ไปที่หอเด็ดดาว แต่เอ่ยเรียกอยู่ในใจหลายรอบ เห็นเจ้าของบ้านไม่ตอบก็ถือว่าตกลงแล้ว เขาจึงมาที่เรือนส่วนตัวของเทียนซือใหญ่ทันที และในที่สุดก็ไม่กล้าข้ามธรณีประตูตรงเข้าไปด้านใน แต่ยืนอยู่นอกห้องโถงด้านหน้า หยุดยืนแหงนหน้าขึ้น ด้านบนแปะกลอนคู่แซ่ซ้องมาดแห่งเซียนและความสูงส่งมีคุณธรรมของเทียนซือใหญ่แต่ละรุ่น ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากอย่างมหัศจรรย์ใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าใต้หล้านี้มีใครที่จรดพู่กันดุจบุปผาผลิบานได้เช่นนี้ เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันก็เป็นคนที่แววตาดีเช่นกัน ถึงได้ตัดใจปลดกลอนคู่ที่เนื้อหาธรรมดาก่อนหน้านี้เปลี่ยนมาใช้กลอนบทนี้แทน
เนื้อหาในกลอนคู่ ถ้อยคำที่ใช้วางโตอย่างมาก
เต้าจวินคุณธรรมสูงส่งมรรคายอดเยี่ยมเทียมฟ้า ข้าอยู่ในภูเขาลูกนี้ สวมชุดขนนกอวี่เซียงพกกระบี่นั่งสำรวม มาดแห่งเซียนเย็นฉ่ำชื่น ข้าไม่รู้แล้วใครเล่าจะรู้
สยบปีศาจกำจัดมารใจผูกติดอยู่กับโลกมนุษย์ หมื่นความชั่วร้ายจงถอยหนี ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อห้อยตราทะยานลม กระดูกเทพกดข่มห้าขุนเขา ใครไม่ฝึกตนข้าฝึกตน
ส่วนคำกลอนที่อยู่ในแนวขวางคือ ‘ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง’
หากเข้าประตูไปยังห้องโถงกลางก็คือสถานที่ฝึกตนของจิ้งจอกฟ้าตัวนั้นแล้ว
ส่วนห้องโถงด้านหลังนั้นคือสถานที่ถามมรรคาของเทียนซือใหญ่คนปัจจุบัน
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล อาจารย์กับลูกศิษย์ทั้งหลายนั่งยองดื่มเหล้าที่มุมกำแพง ในมือถือพัดโบกแรงๆ หวังให้กลิ่นเหล้าจางหาย ระหว่างนั้นก็ได้คุยกันถึงจิ้งจอกฟ้าของจวนเทียนซือตัวนี้ บ้างก็เดาว่าจะมีเก้าหางหรือสิบหาง บ้างก็เดาว่าเซียนจิ้งจอกตนนั้นมีใจอยากผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเทียนซือใหญ่แต่กลับมิอาจได้สมใจปรารถนาหรือไม่ สุดท้ายจึงถามอาจารย์ ตอนนั้นชื่อเสียงของซิ่วไฉเฒ่ายังไม่โด่งดัง ไหนเลยจะมีเงินเคยไปเยือนจวนเทียนซือ คำกล่าวบางอย่างล้วนยกเอามาจากตำราเบ็ดเตล็ดเกร็ดพงศาวดาร แม้แต่ตัวซิ่วไฉเฒ่าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ ทั้งยังไม่อาจพูดส่งเดชให้ลูกศิษย์ฟัง เพียงแค่เอ่ยว่าขงจื๊อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับเหนือธรรมชาติ ทำเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งผิดหวังอย่างมาก ภายหลังซิ่วไฉเฒ่ามีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว ออกจากบ้านล้วนไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ย่อมมีคนออกเงินให้เอง จึงมีการเชื้อเชิญเหวินเซิ่งอย่างยิ่งใหญ่ให้ไปอบรมสั่งสอนถ่ายทอดความรู้ให้แก่สถานที่ต่างๆ ซิ่วไฉเฒ่าจึงตั้งใจไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์มารอบหนึ่ง แล้วก็ไม่นั่งเรือแจวไม้ไผ่ตระกูลเซียน แต่เลือกจะถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว เดินอาดๆ ก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนภูเขา ตอนนั้นขบวนที่จวนเทียนซือจัดมารอต้อนรับนับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ มิกล้าพูดว่าในอดีตไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ในอดีตก็มีคนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซิ่วไฉเฒ่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย
——