กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 728.3 ห้าสูงสุด สี่กระบี่เซียน หนึ่งป๋ายเหย่
เลี่ยนเจินที่ติดตามมาด้านหลังคนทั้งสองทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้จะให้เทียนซือใหญ่ต้องยอมสละชีวิตให้ได้ ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ปากตรงใจคด คุณธรรมน้ำใจไม่ใช่ของจริงก็ไม่อาจเอ่ยสองคำว่าคุณธรรมได้อย่างเต็มปาก ข้าหวังแค่ว่าเทียนซือใหญ่จะพยายามอย่างเต็มที่ แค่นี้ก็เพียงพอ เพียงพออย่างมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นต่อให้จะช่วยป๋ายเหย่ไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็ไปช่วยอวี๋เสวียนเสียหน่อย ลำพังเพียงแค่การกระทำนี้ วันหน้าภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายในพรรคยันต์ลัทธิเต๋าของพวกเจ้า เกี่ยวกับผู้ที่จะได้ครอบครองสองคำว่า ‘ฝูลู่’ นั้น ก็คงไม่ต้องทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงอีกต่อไป ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา เดี๋ยวก็มีคนตายเข้าจริงๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คนบนภูเขาและเรื่องราวด้านล่างภูเขาทำให้เกิดบัญชีเลอะเลือนน้อยใหญ่มากน้อยแค่ไหน? แน่นอนว่าข้าก็แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เทียนซือใหญ่ลำบากใจก็ทำอย่างนั้นเถิด”
จ้าวเทียนไล่พูดตรงไปตรงมายิ่งกว่า “ข้าคิดว่าจะไปเยือนใบถงทวีปสักรอบ คงไม่เปลี่ยนใจแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “ยอดเยี่ยม คู่ควรกับคำกลอนแนวนอนบทนั้น ข้าเชื่อว่าสายเต๋าของภูเขามังกรพยัคฆ์จะเป็นดั่งปณิธานของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่บอกว่า ‘นครแห่งเต๋าอยู่บนภูเขาของข้า ยิ่งนานยิ่งรุ่งเรือง’ จริงๆ”
จ้าวเทียนไล่ยิ้มเอ่ย “ซิ่วไฉเฒ่ายุ่งมากจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าทรุดตัวนั่งลงข้างกายนักพรตน้อย เอ่ยว่า “ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด แต่ไม่ได้ยุ่งจนถึงขั้นทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง ต่อให้จะทำสำเร็จได้แค่เรื่องเดียวก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว”
จ้าวเทียนไล่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง
นักพรตน้อยลุกขึ้นยืนแล้ว เพราะไม่ยินดีจะอยู่ใกล้ชิดกับซิ่วไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่าถาม “จะดื่มเหล้าไหม?”
จ้าวเทียนไล่เอ่ย “เจ้าจะเลี้ยงข้าหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก
ในมือจ้าวเทียนไล่ถือขลุ่ยไม้ไผ่เขียว เอ่ยว่า “เหล้าหมักกุ้ยฮวาพวกนั้น เจ้าดื่มไปไหหนึ่ง ถือว่าข้าเลี้ยงเจ้า ส่วนไหที่เหลือรบกวนเจ้าเอากลับไปวางไว้ที่เดิมด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่ากำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี เขาจึงยกมือขึ้น เหล้าไหหนึ่งกลิ้งไถลออกมาจากชายแขนเสื้อทันที แน่นอนว่าเขาไม่ได้ละโมบอยากได้ปราณวิญญาณของพืชหญ้าแห่งขุนเขาสายน้ำน้อยนิดแค่นี้ แต่เป็นเพราะกระหายในรสชาติของสุรานี้จริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าหนึ่งอึก “อันที่จริงตอนนั้นที่กระบี่ของป๋ายเหย่หล่นลงในหนึ่งทวีป ข้าก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร ตอนนี้ความต้องการเพียงอย่างเดียวในใจก็คือหวังให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดนั้นเปลี่ยนเป็นดีขึ้นอีกสักหน่อย”
ยกตัวอย่างเช่นขอให้อวี๋เสวียนมีชีวิตรอดไปได้ และทางที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นฝูลู่อวี๋เสวียนผู้นั้น หรือยกตัวอย่างเช่นป๋ายเหย่ไม่ถึงขั้นตายไปอย่างสิ้นซาก ต่อให้นับจากนี้ไปใต้หล้าไพศาลจะสูญเสียเซียนกระบี่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดไปคนหนึ่ง ต่อให้ป๋ายเหย่ถึงขั้นไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว แต่ขอแค่ ‘ป๋ายเหย่’ ยังอยู่ จะดีจะชั่วซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ต้องดื่มเหล้าใจสลายเพิ่มอีกหนึ่งกา ป๋ายเหย่อยู่ที่ไหนล้วนคือป๋ายเหย่ ยังคงเป็นป๋ายเหย่ที่ทำให้ดอกหลีใต้หล้าบานสะพรั่งขาวโพลนผู้นั้น
จ้าวเทียนไล่เป่าขลุ่ยไม้ไผ่ สมกับเป็นเสียงสวรรค์จริงๆ (เทียนไล่แปลว่าเสียงสวรรค์หรือเสียงจากธรรมชาติ)
นกกระสาเหลืองบินวนล้อมอยู่รอบยอดเขา นกหลวนสีเขียวกางปีกกระพือเหนือทะเลเมฆ ราวกับไข่มุกสีเหลืองและสีเขียวมากมายที่กลิ้งพลิกแต่งแต้มอยู่บนม่านมุกสีขาว
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าพลางขับขานบทกวีสอดรับเสียงเพลงไปด้วย
ขุดเจาะทิวทัศน์งามเปิดพื้นที่อมตะ ฝึกตนร่างทองเรืองรองไม่แก่เฒ่า จวนม่วงชุดเหลืองภูมิลำเนาฟ้า ดอกท้องามผลิบานใต้หล้ารับวสันต์
สามยอดเขาสายฝนจำแลงมังกรบิน พวยพุ่งทะยานฟ้าพบราชาฟ้าร้อง ธาราแก้วใสอุ่นไอหมื่นขุม เจินเหรินขึ้นเขาขานเรียกว่าเซียน
นักพรตน้อยคนนั้นส่ายหน้า “โคลงกลอนตลกขบขันสู้บทเพลงจากขลุ่ยเสียงสวรรค์ไม่ได้”
แล้วก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยค “อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด สมกับเป็นอริยะปราชญ์ศาลบุ๋นจริงๆ หากจะพูดถึงความสามารถและพรสวรรค์ด้านการแต่งกลอนก็แพ้ให้กับพวกนักประพันธ์ในโลกมนุษย์หลุดลุ่ยเลย”
ก่อนหน้านี้เลี่ยนเจินยอบตัวคารวะอย่างแช่มช้อย จากนั้นจึงนั่งลงข้างกายเทียนซือใหญ่
รอกระทั่งจ้าวเทียนไล่เก็บขลุ่ยไม้ไผ่ลงไปแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหหนึ่งของจวนเทียนซือหมดพอดี
ซิ่วไฉเฒ่าตัดใจโยนกาเหล้าทิ้งไปในทะเลเมฆไม่ลง จึงเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ไม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น สิ่งเดียวที่จะทำมีเพียงคงสติมีปัญญาเท่านั้น (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภาษาจีนคือเสินหลิง คงสติมีปัญญาภาษาจีนคือเสินหมิง) ต่างกันแค่คำเดียวกลับต่างราวฟ้ากับเหว มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้นต้องการใช้การแบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอซึ่งเป็นการแบ่งที่ง่ายที่สุดมาทำให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป ตัดขาดสรรพชีวิตในฟ้าดิน ดังนั้นเจ้าเดินทางไปใบถงทวีปครั้งนี้ ระดับความอันตรายอาจไม่เป็นรองฝูเหยาทวีปที่มีป๋ายเหย่เฝ้าพิทักษ์เลย ต้องระวังเจี่ยเซิงผู้นั้นให้ดี ระวังแล้วระวังอีก”
จ้าวเทียนไล่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าเป็นคนหนุ่ม ทว่ากลิ่นอายบนตัวกลับเคร่งขรึมโบราณ
ลมภูเขาโชยมาปะทะใบหน้า หล่อเหลาสง่างามเหนือธรรมดา
เลี่ยนเจินถามอย่างใคร่รู้ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าสามารถถามเรื่องหอบินทะยานได้ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “มีอะไรถามไม่ได้เล่า ในยุคบรรพกาลสรวงสวรรค์ตั้งอยู่ท่ามกลางธารดวงดาวที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง คำว่าทะยานลมของเซียนเหรินในทุกวันนี้ ไม่แน่ว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจไปไม่ถึง ในอดีตยามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาเยือนพื้นดินโลกมนุษย์ นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนมองเมินแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้แล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เหลือก็จำต้องเดินทางไปกลับผ่านหอบินทะยานนั่นเช่นกัน ดังนั้นหอบินทะยานจึงไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการชักนำเซียนดินให้บินทะยานเท่านั้น ชิงถงเทียนจวินเป็นผู้รับผิดชอบหอบินทะยานหนึ่งในนั้น ซึ่งอันที่จริงก็มีอยู่แค่สองแห่งเท่านั้น”
ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้น ก็คือภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั่นเอง
เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นหอบินทะยานอย่างสมชื่อมานานแล้ว ตอนนั้นที่เฉินชิงตู หลงจวินและกวนจ้าวพากันไปถามกระบี่ยังภูเขาทัวเยว่ ไม่ได้เป็นการกระทำที่ใช้แค่อารมณ์เท่านั้น
ทว่าเรื่องวงในที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่คิดจะปากมากพูดถึงมันอีก
ขนาดจ้าวเทียนไล่ยังไม่เล่าให้สหายเลี่ยนเจินฟัง แค่เหล้าหมักกุ้ยฮวาไหเดียวเท่านั้น ซื้อปฏิทินเหลืองเก่าแก่ได้แค่ไม่กี่หน้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีสหายอู๋เล่ยที่คิดว่าการยืนอยู่เพียงลำพังไม่เหน็ดเหนื่อย (ไม่เหน็ดเหนื่อยอ่านว่าอู๋เล่ยพ้องกับชื่อตัวละคร) ในฐานะหนึ่งในสี่วิญญาณกระบี่ของกระบี่เซียน คาดว่าคงรู้ความจริงมากกว่าเทียนซือใหญ่เสียอีก
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “แม้ว่าจะไม่ได้สมใจปรารถนา แต่ก็ได้พึ่งใบบุญแม่นางเลี่ยนเจินจริงๆ คราวก่อนได้ดื่มชาดีไปหนึ่งกา วันนี้ยังได้ดื่มเหล้าดีที่นี่อีกไห ข้าคนนี้เป็นแขกมาเยือนถึงบ้าน ก็เป็นซิ่วไฉเฒ่านี่นะ ย่อมต้องยากจนกระเป๋าฟีบแบน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเน้นย้ำในเรื่องมารยาทพิธีการเป็นที่สุด คราวก่อนมอบกลอนคู่กลอนแนวนอนให้ วันนี้ก็จะมอบตราประทับชิ้นหนึ่งให้กับคนหนุ่มคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สร้างกระท่อมถามมรรคามานานหลายปี วันหน้ารบกวนเทียนซือใหญ่หรือไม่ก็แม่นางเลี่ยนเจินนำไปมอบต่อให้เขาด้วย”
จ้าวเทียนไล่ลุกขึ้นยืน “พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นดั่งคำว่าน้ำดีไม่ไหลเข้านาคนอื่นนั่นเอง”
จ้าวเหยาที่ในอดีตนั่งรถลากเทียมวัวออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู คือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุน
ภายหลังเดินทางมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เคยมาฝึกตนอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อด้วยซ้ำ สถานะยังคงเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม สุดท้ายจ้าวเหยาก็ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า
ดูเหมือนว่าคนที่เขาคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาจะอยู่ในนครบินทะยานแห่งนั้น
เพราะเบาะแสบางอย่าง ตามการอนุมานของเจินเหรินอารามเต๋า จ้าวเหยาถึงขั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับป๋ายเหย่
จ้าวเทียนไล่เพียงแค่ใช้สองมือถือขลุ่ย คลี่ยิ้มไม่พูดไม่จา
เลี่ยนเจินรู้ว่าเจ้านายไม่ยินดีจะสัมผัสกับวาสนารักในโลกโลกีย์มากเกินไป นางจึงได้แต่รับหน้าที่นี้แทน ยื่นมือไปรับตราประทับเนื้อหยกขาวมาจากมือของเหวินเซิ่ง ในความเป็นจริงแล้วนางกับคนหนุ่มจ้าวเหยาผู้นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ซิ่วไฉเฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ของที่น่าอายต้องปิดบังหูตาคนอื่นเสียหน่อย แม่นางเลี่ยนเจินสามารถอ่านเนื้อหาบนตราประทับได้ตามสบาย ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อนนำไปส่งต่อให้กับจ้าวเหา จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้แทนเขาถึงเก้าสิบกว่าปี”
เลี่ยนเจินจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป ใช้สองนิ้วคีบตราประทับ ยกขึ้นดู
ตราประทับสี่ตัวอักษร
ตะเกียงใจไม่มืดมน
จ้าวเทียนไล่เหลือบตามองแล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน “ขุนเขาลำธารเปี่ยมชีวา เมฆาวารีคนในอดีต ตะเกียงใจไม่มืดมน พืชพรรณข้างทางเขียวชอุ่มตลอดกาล”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่น “พี่เทียนไล่ ตำราในโลกมนุษย์ใกล้จะถูกเจ้าอ่านครบหมดทุกเล่มแล้ว!”
อันที่จริงจ้าวเทียนไล่ยังมีประโยคดีๆ อีกประโยคหนึ่ง นั่นก็คือชื่นชมมีดแกะสลักสร้างอักษรได้ไม่เลว ในกลุ่มควันฟืนผุดกลิ่นอายเซียน ผลกลับถูกซิ่วไฉเฒ่าพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด
ซิ่วไฉเฒ่าถามหยั่งเชิง “หรือว่าคำประจบของข้าเกินเลยไปหน่อย? ข้าสามารถเปลี่ยนได้นะ จะให้เอาคำพูดกลับคืนมาก็ยังได้”
เลี่ยนเจินเก็บตราประทับไปแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ บัณฑิตอย่างนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งคนนี้ หาบนโลกได้ยากนัก
จ้าวเทียนไล่ถาม “ต่อจากนี้จะไปยุ่งอยู่ที่ไหนอีก?”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงไม่ถอดใจ ถามต่ออีกว่า “วันหน้าข้าจะให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายแกะสลักตราประทับชิ้นหนึ่งให้เจ้าโดยเฉพาะ เขียนเป็นคำว่า ‘ไม่ทันระวังอ่านตำราบนโลกจนหมด’ เป็นอย่างไร? ถูกใจไหม? หากรังเกียจว่าตัวอักษรมากเกินไปไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ขบคิดก็ไม่มีปัญหานะ สามารถแกะแค่สี่คำว่า ‘อ่านตำราถ้วนทั่ว’ ได้”
จ้าวเทียนไล่ยังคงไม่เอ่ยอะไร
ความสามารถในการหาบันไดลงให้กับตัวเองของซิ่วไฉเฒ่าก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล พลิกแพลงได้ดั่งใจปรารถนา จึงเริ่มลูบหนวดยิ้มเอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคน คนหนึ่งเป็นเสี่ยวฉีที่หามา อีกคนหนึ่งเป็นข้าที่หาให้ลูกศิษย์คนสุดท้าย กลายเป็นมีลำดับศักดิ์เดียวกัน เด็กสองคนนี้เอามารวมกันได้พอดี แน่นอนว่าข้าต้องไปเยี่ยมหาเสียหน่อย”
รอกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าแอบขยิบตาให้ เทียนซือใหญ่จึงได้แต่ร่ายวิชาอภินิหารช่วยซิ่วไฉเฒ่าหดย่อพื้นที่ ส่งเขาไปยังจุดที่ห่างไปไกลกว่าเดิม
นักพรตน้อยถาม “เหตุใดซิ่วไฉเฒ่าต้องทำเช่นนี้?”
จ้าวเทียนไล่ยิ้มเอ่ย “ไม้เด่นเกินไพรยามลมพัดต้องหักโค่น ลูกศิษย์โดดเด่นเกินไป คนเป็นอาจารย์ก็ต้องกลัดกลุ้มอย่างมาก ก็แค่ว่าความเหนื่อยใจเช่นนี้ให้รสชาติที่แตกต่างออกไป คนทั่วไปอยากจะเป็นแบบนี้บ้างก็เป็นไม่ได้”
นักพรตน้อยพลันขมวดคิ้วแน่น
ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นยังไม่ได้คืนสุรามาให้เลยนะ!
จ้าวเทียนไล่ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นข้าถึงได้ตอบแทนคืนด้วยคำว่าไม่ทันระวังอย่างไรล่ะ”
ซิ่วไฉเฒ่ามาปรากฎตัวอยู่ตรงจุดที่ห่างไปไกลยิ่ง ร่างทิ้งดิ่งพุ่งตรงเข้าหาน้ำในลำคลองสายหนึ่ง
พอซิ่วเฒ่าว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด จากนั้นค่อยทะยานลมออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
เขาไปหาเป่าผิงน้อยและเผยเฉียนที่มาพบเจอกันในสำนักศึกษาของราชวงศ์แห่งหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่ได้ปรากฏตัวทันที เพียงแค่มองแม่นางน้อยในอดีตที่ไม่ทันรู้ตัวก็เติบใหญ่ ทุกวันนี้กลายเป็นหญิงสาวเรือนร่างเพรียวระหงแล้วอยู่ไกลๆ
อาจารย์อาน้อยและอาจารย์พ่อของพวกนาง
ขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยความระมัดระวัง ช่วยเหลือคนไปมากมาย มากมายจริงๆ ไม่เคยเป็นฝ่ายทำร้ายใครก่อน ไม่เคยเลยแม้แต่คนเดียว
ขุนเขาเขียวสายน้ำใสพันหมื่นลี้กลับมาพบกันใหม่ เด็กหนุ่มผู้องอาจจิตยังคงไร้นิวรณ์
คำพูดบางอย่างที่ในใจซิ่วไฉเฒ่าถือสาอย่างแท้จริง เขาหักใจพูดให้คนนอกฟังไม่ลงด้วยซ้ำ
กลัวว่าคนอื่นจะรู้ แต่บางครั้งก็กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหันหน้าไปมองทิศตะวันตกเฉียงใต้ของใต้หล้าไพศาลแวบหนึ่ง
……
ใต้หล้าแห่งที่ห้า นครบินทะยานเพิ่งจะบุกเบิกภูเขาแดนบินแห่งหนึ่งที่ห่างจากนครบินทะยานไปไกลมาก ทว่าตอนนี้แค่เพิ่งจะมีเค้าโครงของนครเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานมีมากมาย ทว่าต่อให้จะรับเอาตัวผู้ฝึกลมปราณของฝูเหยาทวีปกลุ่มหนึ่งที่เดินทางไกลมาพึ่งพานครบินทะยานเอาไว้ นอกจากการเข่นฆ่าแล้ว จำนวนคนยังคงไม่พอ ยังคงพบเจอกับอุปสรรคในทุกๆ เรื่องราว ในขั้นตอนระหว่างนี้ เติ้งเหลียงผู้ถวายงานที่มีชาติกำเนิดจากธวัลทวีปมีคุณความชอบไม่น้อยจริงๆ เขาแบกรับหน้าที่สำคัญในการสมัครรวบรวมผู้ฝึกตนของฝูเหยาทวีป ยามรับรองดูแลผู้คนก็รอบคอบรัดกุมมากยิ่งกว่าคนสองสายอย่างสายสิงกวานและสายอิ่นกวานเสียอีก
ไม่เพียงเท่านี้ เติ้งเหลียงยังช่วยปรับปรุงแก้ไของค์กรในส่วนของจวนเฉวียนฝู่นครบินทะยานให้สมบูรณ์ และจวนเฉวียนฝู่ที่มีเกาเหย่โหวเป็นผู้นำ ทุกวันนี้ขนบธรรมเนียมเป็นอย่างไร ผู้คนทั่วทั้งนครล้วนรับรู้ เรียกได้ว่าเห็นเงินตาโตจนถึงขั้นเสียสติ อะไรที่บอกว่าผู้ฝึกตนของจวนเฉวียนฝู่มาถึง ฟ้าสูงสามฉื่อดินบางหนึ่งจั้ง อะไรคือผ่านที่ใดไม่เหลือต้นหญ้าแม้สักตน หยุดแต่พอสมควร คำพูดติดปากแต่ละคำแพร่สะพัดไปนับไม่ถ้วน
และเติ้งเหลียงยังเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่สายของอิ่นกวานมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมต้องมีความสามารถที่ได้รับการถ่ายทอดจากอิ่นกวานคนก่อนมาหลายส่วน ดังนั้นยามอยู่กับผู้ฝึกตนของจวนเฉวียนฝู่ที่เที่ยวกวาดหาค้นเก็บของตกหล่นตามขุนเขาแม่น้ำทั้งหลายด้วยความฮึกเหิมตื่นเต้น เติ้งเหลียงจึงได้นั่งตำแหน่งของแขกผู้ทรงเกียรติอย่างมั่นคง
เนื่องจากภูเขาที่อาณาเขตการปกครองขยับออกไปเป็นวงกว้างอย่างมองไม่เห็นอีกครั้งลูกนี้แทบจะตั้งอยู่ตำแหน่งใจกลางของนครบินทะยานและทิศใต้ของใต้หล้าแล้ว ดังนั้นจึงเกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่พากันผลักดันรุดหน้าไปทางเหนือ ยึดครองเอาภูเขาไปเป็นของตัวเองอย่างบ้าคลั่งตลอดทางหลายครั้งแล้ว
แดนบินที่นครบินทะยานเลือกเฟ้นอย่างตั้งใจแห่งนี้เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่สมชื่ออย่างแท้จริง นอกจากจะมีแม่น้ำใหญ่ยาวหมื่นลี้สายหนึ่งแล้ว ยังสามารถสร้างขุนเขาทั้งห้าขึ้นมา ขุนเขาสายน้ำอิงแอบเคียงข้าง หากนำไปวางไว้ในใบถงทวีป ไม่แน่ว่าอาจเป็นพื้นที่มังกรลุกผงาดของราชวงศ์แห่งหนึ่งก็เป็นได้
แดนบินที่เหลืออีกสามแห่งใช้สำหรับช่วยนครบินทะยานขยับขยายอาณาเขตไปเป็นวงกว้าง อันที่จริงล้วนไม่เผด็จการป่าเถื่อนเหมือนกับแถบทิศใต้แห่งนี้ที่เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าอยู่ใกล้นครบินทะยานที่ตั้งอยู่ใจกลางของฟ้าดินมากกว่า
หากเอ่ยตามคำพูดที่เซียนกระบี่ใหญ่หญิงซึ่งเป็นผู้นำสายอิ่นกวานชั่วคราวบางคนทิ้งไว้หลังผ่านการถามกระบี่ไปครั้งหนึ่ง ก็คือ ‘จะรังแกใบถงทวีปพวกเจ้าแล้วจะทำไม’
สำหรับเรื่องนี้ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวในฐานะผู้นำของสองสายอย่างสิงกวานและจวนเฉวียนฝู่ก็รู้สึกจนใจมากเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่กำแพงมืองปราณกระบี่ก็มีความทรงจำที่ย่ำแย่ต่อใบถงทวีปอย่างถึงที่สุดจริงๆ
สุดท้ายก็ลงมือตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งที่สอง นั่นคือตั้งป้ายศิลาแผ่นหนึ่งไว้บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขา แกะสลักคำง่ายๆ ว่า ‘ปราณ’ เอาไว้
นอกจากนี้ยังตั้งป้ายคำว่า ‘กระบี่’ ไว้ทางทิศตะวันออก คำว่า ‘กำแพง’ ไว้ทางทิศตะวันตก คำว่า ‘เมือง’ ไว้ทางทิศเหนือ
เรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่ที่สุดก็คืออาณาเขตของป้ายศิลาอักษร ‘กระบี่’ นั้น นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าซานชิง ไม่เพียงแต่ใช้กระบี่ฟันป้ายหิน ยังขับไล่ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานออกจากพื้นที่ทั้งหมดด้วย
บนซากปรักอักษร ‘กระบี่’ แห่งนั้น หนิงเหยาขี่กระบี่มาถึงยอดเขา จากนั้นก็ขี่กระบี่ตรงไปหาซานชิงผู้นั้น ไปถึงอาณาเขตของใต้หล้ามืดสลัว หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ถามกระบี่ทันที สุดท้ายใช้หนึ่งกระบี่ฟันตราประทับอักษรภูเขาที่เคยเป็นภูเขาห้อยหัวให้หล่นร่วงลงพื้น ไม่เพียงเท่านี้ หนิงเหยายังใช้กระบี่เกี่ยวตราประทับอักษรภูเขาขึ้นมา ย้ายป้ายศิลาตัวอักษร ‘กระบี่’ กลับมาไว้บนภูเขา ก่อนที่นางจะย้ายตราประทับไปได้ทิ้งอีกประโยคหนึ่งให้กับซานชิงที่หน้าซีดขาวว่า วันหน้าอยากจะถามกระบี่อีกก็บอกข้าสักคำ ใต้คมกระบี่แบ่งเป็นตาย
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าที่ใช้กระบี่ทำลายตัวอักษร ‘กระบี่’ ยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย จากนั้นก็จำต้องปิดด่านพักรักษาตัวชั่วคราว
ผ่านศึกครั้งนี้ บุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าใหม่เอี่ยมที่เดิมทีผู้คนยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้าง ย่อมต้องเป็นหนิงเหยาอย่างมิต้องสงสัย
ระหว่างที่หนิงเหยาไปกลับป้ายศิลาอักษรกระบี่ก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวฉบับหนึ่งจากนครบินทะยานว่า อาณาเขตป้ายศิลาอักษร ‘ปราณ’ ทางทิศใต้ได้เกิดข้อพิพาทกับผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ของใบถงทวีป
เนื่องจากการประชุมในศาลบรรพจารย์ก่อนหน้านี้บรรยากาศตึงเครียด ระหว่างนั้นสายอิ่นกวานจึงพูดถึงเรื่องที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับคนนอกอาณาเขตอย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าออกกระบี่เต็มสังหารศัตรูอย่างกำลัง
ดังนั้นหนิงเหยาจึงได้แต่ขี่กระบี่เดินทางไปยังทิศใต้ ออกกระบี่กับคนนอกอีกครั้ง
นับแต่นั้นมาตลอดทั้งนครบินทะยานซึ่งรวมถึงผู้ฝึกกระบี่ที่สร้างนครทางทิศใต้ล้วนเข้าใจแล้ว มีเพียงกับผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเท่านั้นที่ไม่ต้องเกรงใจกันเกินไป ขอแค่เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ก็สามารถทำให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใบถงทวีปกลุ่มนี้ ‘โมโห’ (ชี่ อ่านเสียงเดียวกับคำว่าปราณ) ตายทั้งเป็นโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตได้
——