กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 730.1 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 730.1 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม
เฉินผิงอันเคยพบเจอผู้ฝึกกระบี่ที่เรียกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่อย่างภาคภูมิใจมาสามคน คนแรกสุดคืออาเหลียง ต่อมาก็คือผูหรางแห่งหุบเขาผีร้าย จากนั้นก็เป็นจอมยุทธเคราดกที่อยู่ข้างกายผู้นี้
แรงกดดันที่หลิวชามีให้กับเฉินผิงอันเหนือกว่าหลงจวินที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีมากนัก
หนึ่งเพราะเวทกระบี่ปณิธานกระบี่ของหลิวชาสูงยิ่งกว่า หลงจวินนั้นเนื่องจากเรือนกายไม่ครบถ้วนสมบูรณ์จึงไม่อาจกลับคืนสู่ยอดเขาของขอบเขตได้เสียที
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะถึงอย่างไรหลงจวินก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์ ทว่าหลิวชากลับเป็นเผ่าปีศาจ เฉินผิงอันรับการเย็บผ้าแบกรับชื่อจริงมาก่อน จึงเกิดความสัมพันธ์อันลุ่มลึกคล้ายเกิดการสยบกำราบกันและกันอยู่กับหลิวชา
หลิวชามองประเมินอิ่นกวานชุดขาวผู้นี้ด้วยท่าทางสนอกสนใจ จู๋เชี่ยลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนเคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือของคนหนุ่มผู้นี้มาก่อน ก็ดีเหมือนกัน จะได้เลิกทำตัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นึกว่าใต้หล้าไพศาลนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีผู้ฝึกกระบี่อีกแล้ว
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่เปลี่ยนสีชุดคลุมอาคมบนร่างกลับมาเป็นสีแดงสดอีกครั้ง ถามว่า “นครบินทะยานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
หลิวชาหยิบเหล้าออกมากาหนึ่ง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งอึก ชำเลืองตามองคนหนุ่มที่เหมือนจะขยับแต่ก็เหมือนจิตใจสงบนิ่งดุจผืนน้ำ ย้อนถามว่า “เจ้ายังมีเวลามาสนใจคนอื่นอีกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีใจแต่ไร้กำลังจริงๆ”
หลงจวินชุดคลุมสีเทา เมื่อครู่ได้ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสังหารไปแล้ว
ปีนั้นเฉินชิงตูเคยบอกว่าขอแค่หลงจวินก้าวผ่านหัวกำแพงเมืองมาทางทิศเหนือก้าวเดียว จะต้องตาย
และความจริงก็เป็นเช่นนี้
น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่ได้เห็นภาพที่กระบี่สังหารหลงจวินกับตาตัวเอง
เพียงแต่เฉินผิงอันไม่รู้ว่าปลายกระบี่ท่อนนั้นคืออะไรกันแน่ มาจากกระบี่พกบางเล่มที่ยังไม่เคยเผยกายบนโลกของหลงจวินหรือ? หรือว่าจะเป็นของที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งไว้ที่นี่? หากสืบสาวไปตามภาพเหตุการณ์ผิดปกติของฟ้าดินก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะมาจากทางฝั่งประตูใหญ่ซากปรักของภูเขาห้อยหัว เพียงแต่ว่าใครจะโยนปลายกระบี่ท่อนหนึ่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่กันเล่า? หากเป็นวัตถุบางอย่างที่ออกเดินทางไกลจริง เหตุใดเซียนกระบี่จางลู่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็ไม่ขัดขวางเอาไว้?
ส่วน ‘เศษผ้าฝ้ายขาดวิ่น’ สีเทาขมุกขมัวกลุ่มนั้น มันห่อหุ้มปลายกระบี่เอาไว้ ก็คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่าหลงจวินตายไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นเศษชุดเทาที่หลงเหลืออยู่ก็คล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกวิชาอภินิหารดึงมาจากผู้ฝึกกระบี่บินที่บ้างก็ตายอย่างเฉียบพลันบ้างก็สละร่างจากโลกนี้ไป ดังนั้นต้องไม่ใช่ชุดคลุมอาคมอะไรแน่นอน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแค่บอกให้เขาเก็บรักษามันไว้ให้ดี ตั้งใจหล่อหลอม ไม่ใช่ให้หลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอะไร แต่ให้หลอมเป็นกระบี่พกเล่มหนึ่งที่เป็นวัตถุนอกกาย หลอมปลายกระบี่ให้เป็นกระบี่ยาว ส่วนผ้าฝ้ายก้อนนั้นก็ให้หลอมเป็นฝักกระบี่ ถึงเวลานั้นก็น่าจะเป็นกระบี่พกของมือกระบี่ที่ไม่เลวเล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันเปลี่ยนคำถามใหม่ “ลู่จือตายแล้วหรือ?”
ในใจกลับพร่ำพูดว่า อย่าตาย อย่าตายเด็ดขาด
เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตายกันไปมากมายเหลือเกินแล้ว กว่าจะได้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกผู้อาวุโสที่ออกเดินทางไกลซึ่งไม่ว่าจะกับกระบี่ กับบ้านเกิด หรือกับฟ้าดินก็ล้วนถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายอย่างพวกลู่จือนี้ ล้วนไม่ควรเป็นพวกคนที่ต้องตายเพียงแต่ตายช้ากว่าไม่กี่วันอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นนิสัยของเซียนกระบี่ใหญ่หญิงอย่างลู่จือผู้นี้ที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส หรือเกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในหลายใต้หล้าในอนาคต เฉินผิงอันก็ล้วนหวังว่าลู่จือจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกหลายพันปี ต่อให้ต่อจากนี้ลู่จือจะไปก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาล ตัดขาดความสัมพันธ์กับกำแพงเมืองปราณกระบี่และนครบินทะยานอย่างสิ้นเชิง แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่ เพราะนิสัยของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขามักจะเป็นตัวตัดสินขนบธรรมเนียมประจำภูเขาลูกหนึ่งไปได้นานร้อยปีพันปี
วันหน้าหากยังมีโอกาสได้พบเจอกับลู่จืออีกครั้ง ประโยคแรกที่เฉินผิงอันจะเอ่ยก็คือลู่จือเจ้างามล่มบ้านล่มเมืองจริงๆ ใครปฏิเสธ ข้าผู้อาวุโสก็จะเล่นแม่งมันเลย
หลิวชาเอ่ย “เปล่า ลู่จือกำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับหย่างจื่อและหยวนโส่ว แต่ศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ใกล้กับสนามรบแห่งนั้น บวกกับตอนที่เซียวสวิ้นทำหน้าที่เป็นอิ่นกวานเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับลู่จือ ลู่จือคิดจะกลับไปยังทักษินาตยทวีปก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก”
เฉินผิงอันถามอีกทันทีว่า “ฝูเหยาทวีป?”
หลิวชาเอ่ย “ป๋ายเหย่ตกหลุมพรางของอาจารย์โจว กระบี่เซียนไท่ป๋ายแตกสลายแล้ว ทว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างเองก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เล็ก ต้องเสียป๋ายอิ๋งและเชี่ยอวิ้นไป”
ผ่านศึกนี้ไป สิบสี่บัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่อจากนี้มีแต่จะมีคนหน้าใหม่มาเพิ่มมากขึ้น
ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล เซียวสวิ้นใช้กระบี่สังหารสวินยวนแห่งใบถงทวีป เหย้าเจี่ยสังหารโจวเสินจือแห่งแผ่นดินกลาง ป๋ายอิ๋งจับหวานเหยียนเหล่าจิ่งแห่งเกราะทองทวีปมาหล่อหลอม ขอบเขตบินทะยานในท้องถิ่นคนหนึ่งของฝูเหยาทวีปบาดเจ็บสาหัสจึงเผ่นหนีไปไกล ขอบเขตเกือบถดถอยสองขั้นติด กว่าจะรักษาสถานะเซียนเหรินไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่เป็นเพราะฉีถิงจี้ออกกระบี่ช่วยเหลือก็คงถูกสลักชื่อไว้บนกำแพงเมืองแล้ว ทุกวันนี้ไปหลบอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กป๋ายฉือของสำนักเบื้องล่างแห่งหนึ่งในหลิวเสียทวีป ปิดด่านรักษาตน
เฉินผิงอันคล้ายจะจมสู่ภวังค์ความคิด
มิน่าเล่า ปลายกระบี่ท่อนนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกระบี่เซียนไท่ป๋ายนั่นเอง
มิน่าเล่า หลงจวินถึงได้ข้ามหัวกำแพงหมายขัดขวางไม่ให้ปลายกระบี่เข้าใกล้ตน
เพียงแต่ว่าเหตุใดป๋ายเหย่ถึงได้มอบของสิ่งนี้มาให้? อีกทั้งยังเป็นปลายกระบี่ของกระบี่เซียนที่พลังพิฆาตสูงสุดอีกด้วย?
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทยอยกันตายไป เจ้าอารามดอกบัว หวงหลวน เหย้าเจี่ย ป๋ายอิ๋ง เชี่ยอวิ้น
ผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ ป๋ายเหย่กวีไร้เทียมทานผู้นั้นก็ตายด้วยหรือ?! เหตุใดสนามรบถึงอยู่ที่หรดีฝูเหยาทวีป ไม่ใช่เกราะทองทวีปที่อยู่ใกล้กับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมากกว่า? สรุปแล้วศาลบุ๋นแผ่นดินกลางวางแผนเรื่องการทำสงครามไว้อย่างไรกันแน่? แต่ก็ถูกนะ ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเหย่กับศาลบุ๋นนั้นธรรมดา ดูเหมือนว่าลัทธิขงจื๊อก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปเจ้ากี้เจ้าการบอกให้ป๋ายเหย่พกกระบี่ไปที่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝูเหยาทวีปกับเกราะทองทวีปมีสถานการณ์อย่างไรกันแน่ เฉินผิงอันไม่มีความสามารถพอที่จะทำนายล่วงรู้ ได้แต่อาศัยตัวอักษรที่ถูกแกะสลักบนหัวกำแพงเมืองอย่าง ‘โจวเสินจือ’ ‘หวานเหยียนเหล่าจิ่ง’ มาอนุมานเอาเท่านั้น
และการที่หลิวชาพูดแค่ว่าต้องเสียปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองคนไปด้วย บวกกับที่ตามหลังหลิวชามาติดๆ ก็คือปลายกระบี่ของกระบี่เซียนไท่ป๋ายที่พุ่งมาถึง นี่จะหมายความว่าการเข่นฆ่าที่เทียบได้กับยอดเขาสูงสุดของโลกมนุษย์ก็คือการล้อมฆ่าที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่ปรากฎขึ้นอีกในอนาคตใช่หรือไม่? ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อและทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีแผนการรับมือหรือไม่? สรุปแล้วหลิวชาผู้นี้ได้เข้าร่วมด้วยหรือไม่? หรือว่าโจวมี่โคจรวิชาอภินิหารคล้ายคลึงกับการพลิกกลับขุนเขาสายน้ำของชุยฉาน ส่งหลิวชาตรงมาที่นี่เลย? เพื่อป้องกันหนึ่งในหมื่นจึงคิดจะสังหารตนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเสียแต่เนิ่นๆ?
ข้อสงสัยมีมากเกินไป แต่กลับไม่มีคำตอบ ไม่รู้เรื่องจริงก็เพราะว่าเบาะแสน้อยเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่คำพูดของหลิวชา อย่างมากก็เชื่อได้แค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันกลับรู้เรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน ยิ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกระโจมเจี่ยจื่ออยากจะตัดรากถอนโคนหัวกำแพงเมืองอีกครึ่งหนึ่งนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในใต้หล้าไพศาลยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ต้องไม่มีทางถึงขั้นเละเทะเกินจะเก็บกวาดอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดทุกวันนี้ทักษินาตยทวีปและแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของตนก็ต้องยังพิทักษ์ไว้ได้อย่างมั่นคง หาไม่แล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง บวกกับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอย่างเขาอีกคนหนึ่งก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้หลิวชาอันดับสามของบัลลังก์ราชามาออกกระบี่ด้วยตัวเองแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันถูกหลิวชาปล่อยหมัดต่อยใส่เรือนกายและจิตวิญญาณขอบเขตยอดเขากะทันหัน
หลิวชาไม่ได้ออกกระบี่ อาศัยเพียงแค่การออกหมัดของเรือนกายผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น อีกทั้งยังใช้อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้าด้วย
เฉินผิงอันสามารถขัดขวางอีกฝ่ายได้แต่กลับไม่ทำ ฝืนแบกรับหมัดนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ไปรวมร่างในจุดที่ห่างไปไม่ไกล ในใจเกิดข้อสงสัยใหญ่หลวงที่ไม่อาจคลายลงได้ ไม่รู้ว่าหลิวชาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ผลลัพธ์ของการออกหมัดเช่นนี้เป็นผลลัพธ์เดียวกับการออกกระบี่ของหลงจวินในอดีต ไม่อาจสังหารตนที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งได้เลย ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นการออกหมัดที่คล้ายคลึงกับของเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวาน ทุกวันนี้สิ่งที่เฉินผิงอันขาดไปมากที่สุดก็คือการขัดเกลาเรือนกายที่ ‘ผู้ฝึกยุทธถามหมัดอยู่บนร่าง’ ประเภทนี้พอดี
แต่เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่กล้าละโมบอยากให้หลิวชาออกหมัดใส่ตนอีกหมัด
หลิวชาดื่มเหล้า ยิ้มเอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงสามารถทนรับการออกกระบี่หลายครั้งของหลงจวินได้ พื้นฐานเรือนกายของผู้ฝึกยุทธดีมาก”
ออกกระบี่หลายครั้ง? มารดามันเถอะ หลงจวินออกกระบี่ก่อนหลังทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าครั้ง!
เฉินผิงอันถาม “นครบินทะยานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
คำถามเดียวกัน อดไม่ไหวต้องถามหลายครั้ง
หลิวชาตอบ “นครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมไม่เพียงแต่หยัดยืนได้อย่างมั่นคง ตอนนี้ยังอยู่ท่ามกลางกลุ่มอิทธิพลใหญ่ห้ากลุ่ม เป็นฝ่ายที่บุกเบิกที่ดินได้มากที่สุด”
เฉินผิงอันโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
ต่อมาก็ถอนหายใจหนึ่งที ถามอะไรหลิวชาก็ตอบอย่างนั้น ดูท่าสภาพการณ์ของตนคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ตนเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินตัวเล็กๆ ที่ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จะต้องถึงขั้นรบกวนให้หลิวชาออกกระบี่ฟันใส่กำแพงเมืองด้วยตัวเองเชียวหรือ?
แล้วก็จริงดังคาด หลิวชายิ้มกล่าว “เจ้าถามกี่คำถาม ข้าก็จะส่งกระบี่ออกไปมากเท่านั้น ดังนั้นเจ้าลองถามหลายๆ คำถามก็ได้ ถึงอย่างไรอย่างมากสุดก็แค่ออกกระบี่สามครั้งก็คงสิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว”
เฉินผิงอันถึงกับตั้งคำถามอีกครั้งจริงๆ “โจวมี่มีสัญญากับบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ใช่หรือไม่ ถึงทำให้โจวมี่ไม่เพียงแต่เป็นผู้บงการหลักที่อยู่เบื้องหลัง แล้วยังเป็นผู้ที่มีพลังการสู้รบสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย?”
หลิวชายิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันกล่าว “เสียป๋ายอิ๋งกับเชี่ยอวิ้นไป? คงเป็นครึ่งหนึ่งมากกว่ากระมัง คำถามที่สามของข้า อาจารย์หลิวไม่ยอมตอบ คำถามที่สอง อาจารย์หลิวก็ยิ่งทำเกินกว่าเหตุ ถามแล้วกลับเล่นลูกไม้ ดังนั้นจึงปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาให้พอเป็นพิธี ไม่อย่างนั้นหากข้ายังถามต่อไปอีก ไม่แน่ว่าอาจารย์หลิวอาจจะฟันข้าอีกหลายทีก็เป็นได้”
หลิวชาไม่ได้สนใจเฉินผิงอันอีก เขาหดย่อพื้นที่อย่างไม่ใส่ใจ เดินไปบนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้
ส่วนเฉินผิงอันก็คอยเดินตามติดมือกระบี่ที่มีตำแหน่งสูงเป็นอันดับสามของบัลลังก์ราชาในอดีตผู้นี้อยู่ตลอด
หลิวชาทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือข้างหนึ่งไปวางไว้บนหัวกำแพงมุมหนึ่ง กดลงเบาๆ แล้วไม่นานก็ลุกขึ้น ไปยังที่แห่งอื่น หลิวชาเอ่ยชวนอิ่นกวานชุดขาวที่อยู่ข้างกายคุยไปด้วยว่า “ถือว่าติดค้างเจ้าไว้สองกระบี่ก็แล้วกัน เชิญออกกระบี่ยี่สิบครั้งได้ตามสบาย หลังจากนั้นข้าค่อยออกกระบี่”
ระหว่างที่หลิวชาพูดก็กวาดตามองไปรอบด้านด้วย ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน ปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว
หลิวชาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เกรงใจกันจริงๆ รึนี่”
หลิวชาโยนกาเหล้าทิ้งไป “ช่างเถิด ก่อนหน้านี้แค่จงใจขู่ให้เจ้าตกใจกลัวเท่านั้น แล้วก็จงใจพูดให้เฒ่าตาบอดฟัง โจวมี่ต้องการใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อ ตกให้เฒ่าตาบอดติดเบ็ดพาตัวมาตายที่นี่”
หลิวชาเคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองเพราะถูกโจวมี่ใช้ ‘สัจธรรมใหญ่แห่งใต้หล้า’ มาทำให้ซาบซึ้งใจ บวกกับคำสั่งของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่ ‘ชี้แจงให้เข้าใจด้วยเหตุผล’ ไปแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่มีทางออกกระบี่ต่อคนหนุ่มคนหนึ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแน่นอน แต่หากให้เขาออกกระบี่พิฆาตเฒ่าตาบอดขอบเขตสิบสี่ หลิวชาก็ไม่ถือสาหากต้องออกกระบี่อีกครั้ง ขอแค่เฒ่าตาบอดออกมาจากขุนเขาใหญ่แสนลี้ หลิวชาก็จะลงมืออย่างเต็มกำลัง
กาเหล้าไม่ได้หล่นลงพื้น กลับกันยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วพลันไปปรากฏตัวตามจุดต่างๆ
ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นก็ยิ่งมองไม่เห็นเงา
หลิวชาหัวเราะ เจ้าเด็กนี่ระมัดระวังตัวจน…เหมือนโจวมี่
หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม หลีเจินลุกขึ้นนั่ง สีหน้าคลางแคลงใจ
โจวมี่พลันปรากฏตัว ยิ้มเอ่ย “เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่ทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาขยับพ้นจากท้องน้ำเดิมไปเล็กน้อย”
หลีเจินถอนหายใจ “ถึงเวลาเข้าจริง ข้าต่างหากที่เป็นคนโง่ผู้นั้น”
โจวมี่ส่ายหน้า “ในอดีตตอนที่ข้าเปิดปฏิทินเหลืองเล่มนั้นบนภูเขาทัวเยว่ ก็เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าในบรรดาผู้ฝึกกระบี่บรรพกาล ไม่ว่าจะรบตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ กวนจ้าวก็ยังถูกคนประเมินต่ำเกินไปมากๆ การประชุมริมลำคลองในครั้งนั้นควรจะมีตำแหน่งที่ทางของเจ้าด้วย เพียงแต่คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีใครอยากให้ข้างกายของตนมีบุคคลที่เหมือนกับยืนรอคอยคนที่ท่าเรือของตอนล่างแม่น้ำแห่งกาลเวลายืนอยู่หรอกกระมัง”
“ปีนั้นข้าตั้งใจอนุมานผลลัพธ์มากมายแทนเจ้า สรุปแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยตัวเองได้ พยายามอดทนไปให้ถึงท่าเรือบางแห่งที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ยากมากที่จะได้แผนการที่รัดกุมทุกด้าน ความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันก็คือมันทำให้ข้าเกิดความคิดขึ้นมา ดังนั้นถึงได้มีการล้อมฆ่าครั้งนี้ เพียงแต่ว่าปีนั้นคนที่ข้าอยากจะล้อมสังหารคือหลี่เซิ่งที่พุ่งชนจากนอกฟ้าเข้ามาในใต้หล้าไพศาลพร้อมกับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมากมาย หากทำสำเร็จ บนโลกก็จะไม่มีจอมปราชญ์น้อยอีกต่อไป และป๋ายเจ๋อก็อาจจะเปลี่ยนความคิด”
หลีเจินขมวดคิ้ว “ป๋ายเจ๋อมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับหลี่เซิ่ง คงไม่ได้ทรยศใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสิ้นเชิงเพราะเหตุนี้กระมัง”
โจวมี่ยิ้มเอ่ย “ระหว่างแพ้และชนะ ไม่ว่าช่วยใครก็ล้วนเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ยึดครองโอกาสชนะหกส่วน ไม่ว่าใต้หล้าไพศาลจะมีคนตายน้อยเพียงใด ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังสามารถหยัดยืนได้มั่นคงอยู่ดี ถึงเวลานั้นการเลือกของป๋ายเจ๋อก็จะเหลือแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น รวดเร็วฉับไว รีบรบรีบจบ มีเพียงสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้ามั่นคงถึงจะมีโอกาสพักรักษาตัว แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นข้าจะต้องเป็นฝ่ายไปหาป๋ายเจ๋อด้วยตัวเองก่อน ตอบตกลงเรื่องบางอย่างกับเขาแล้วยอมถอยให้ก้าวใหญ่”