กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 733.2 ถามกระบี่ต่อตำแหน่งสูง
หนิงเหยารออยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้รอบด้านไร้ผู้คน นางจึงเล่นกระโดดข้ามช่องครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เหมือนเดิม จึงนั่งยองอยู่บนพื้น หาก้อนหินกองหนึ่งที่ขนาดพอๆ กันแล้วเอามาพลิกเล่นบนหลังมือ คอยคว้าหินเล่นสนุก
เพียงแต่รอกระทั่งหนิงเหยาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของกากเดนยุคบรรพกาลเหล่านั้น นางก็รีบลุกขึ้นยืน และสิ่งมีชีวิตที่ขยับเข้าใกล้ป้ายศิลาก่อนใครก็คล้ายว่าจะมีจิตสัมผัสกับกากเดนอีกสามตนที่เหลือได้ จึงไม่ได้รีบร้อนลงมือ กระทั่งเรือนกายใหญ่โตมโหฬารทั้งสี่ตนต่างก็ยึดครองพื้นที่หนึ่ง โอบล้อมป้ายศิลาก้อนนั้นไว้ได้พอดี พวกมันถึงได้ค่อยๆ เดินเข้าหาหนิงเหยาที่สูญเสียกระบี่เซียนเทียนเจินไป
หนิงเหยาปล่อยให้พวกมันโอบล้อมตัวเอง เพียงแค่ดีดปลายเท้าเบาๆ เตะก้อนหินออกไปก้อนแล้วก้อนเล่า
นางชำเลืองตามองกากเดนยุคบรรพกาลตนหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ นี่ต้องเท่ากับเฉินผิงอันตอนที่เพิ่งฝึกหมัดกี่พันคนกัน?
มุมปากหนิงเหยากระตุกน้อยๆ ก่อนจะถูกนางกดลงอย่างรวดเร็ว
นางยกมือขึ้น กระบี่เซียนเล่มหนึ่งออกจากฝักและออกจากกล่อง ถูกหนิงเหยากุมไว้ในมือ
ขณะเดียวกันนั้นหนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องถามกระบี่ต่อ ‘เทียนเจิน’ อีกแล้วอย่างจ่านเซียนก็ปรากฎตัวบนโลก
เพียงชั่วพริบตาก็แทงทะลุหัวของกากเดนยุคบรรพกาลตนหนึ่ง ฝ่ายหลังคล้ายกับถูกเส้นด้ายบางและยาวเส้นหนึ่งผูกห้อยเอาไว้
จ่านเซียนพุ่งไปอย่างรวดเร็ว กากเดนยุคบรรพกาลตนนั้นเหมือนถูกปราณกระบี่หลายเส้นกักขังให้อยู่ที่เดิม เพียงแค่ดิ้นรนเล็กน้อยก็ฉีกกระชากให้เกิดรอยแผลใหญ่ยักษ์นับไม่ถ้วน
จิตหยินของหนิงเหยาออกเดินทางไกล มือถือเจี้ยนเซียน
หนึ่งคือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ที่ราวกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหดย่อขุนเขาสาย หนึ่งคือเรือนกายเล็กจ้อยที่พลันขยายใหญ่อยู่เบื้องหน้ากากเดนบรรพกาลที่เรือนกายสูงพันจั้ง สองมือของนางถือกระบี่ แสงกระบี่ฟันเอียงไปถึง
ขณะเดียวกันนั้นบนพื้นดิน ปราณกระบี่เล็กบางแผ่ซ่านดุจไอหมอกที่ลอยอวลขึ้นมา ในรัศมีพันลี้ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางเมฆขาว
ตรงจุดสูงของท้องฟ้า ก้อนเมฆมารวมตัวกันกลายเป็นทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาลที่ค่อยๆ ลดตัวลงต่ำ
ไม่มีฟ้าดินเล็กอะไร ปณิธานกระบี่ก็ยิ่งเป็นธรรมชาติ
กากเดนตนหนึ่งปัดป่ายแขนสองข้างอุตลุด แสงสีทองล้อมวนไปทั่วร่าง เรือนกายใหญ่โตยังคงเหมือนตกอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆปราณกระบี่ ใช้สองแขนและแสงสีทองเข่นฆ่ากับแสงกระบี่ที่รวมตัวกลายเป็นของจริงเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง
เรือนกายใหญ่โตมโหฬารที่ถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งซึ่งจิตหยินของหนิงเหยาปล่อยไปผ่าเฉียงออกเป็นสองท่อน เลือดสดสีทองข้นหนืดเหมือนของผู้ฝึกตนต่างก็ชักดึงห่อหุ้มกันและกัน ช่วยชดเชยซ่อมแซมบาดแผลโดยอัตโนมัติ
เจี้ยนเซียนฟาดฟันแล้วฟาดฟันอีก เมื่อเทียบกับสนามรบแห่งอื่น กรงขังปราณกระบี่ของจ่านเซียนมีระบบระเบียบ ทว่ากระบี่ยาวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนเล่มหนึ่งกลับลากแสงกระบี่ยาวนับร้อยนับพันเส้น ไม่มีลำดับขั้นตอนใดๆ ให้พูดถึง
ใช้พลังพิฆาตรุนแรงของผู้ฝึกกระบี่รับมือกับศัตรูอย่างเดียวเท่านั้น
หนิงเหยาเผยกายธรรมพันจั้งที่สวมชุดคลุมอาคมสีทองไว้บนร่าง ทะยานลมออกไปจากป้ายศิลาตัวอักษรกระบี่ ในมือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่เกิดจากปราณกระบี่รวมตัวกัน กระบี่หนึ่งปาดศีรษะของกากเดนยุคบรรพกาลตนหนึ่ง จากนั้นค่อยปักตรึงเข้าไปในศีรษะของอีกฝ่าย กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญเสียศีรษะไปชั่วคราวล้มตึงหงายหลัง ถูกกายธรรมของหนิงเหยาเหยียบบนหัวใจ จากนั้นสะบัดข้อมือเอากระบี่ยาวที่แทงทะลุศีรษะของกากเดนแทงทะลวงเข้าไปอีก ฝ่ายหลังจึงเหมือนศพไร้หัวที่อุ้มศีรษะอยู่เบื้องหน้า
แขนข้างหนึ่งของกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ล้มกองอยู่บนพื้นถูกกายธรรมของหนิงเหยาเหยียบทับไว้ แขนอีกข้างพยายามจะฟันข้อเท้าของกายธรรมหนิงเหยา แต่กลับถูกหนิงเหยาที่ก้มตัวลงจับข้อมือแล้วกระชากอย่างแรง ก่อนจะโยนทิ้งไปไกลอย่างไม่ใส่ใจ
ส่วนร่างจริงของหนิงเหยายังคงอยู่ที่เดิม ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของการเข่นฆ่าครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่กากเดนบรรพกาลสี่ตนที่ยากจะสังหารอย่างแท้จริงนี้ แต่อยู่ที่ทัณฑ์สวรรค์มหามรรคาที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา
พวกมันต้องการฉวยโอกาสยามที่กระบี่เซียนเทียนเจินไม่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ ใช้ทัณฑ์ใหญ่แห่งฟ้าดินที่เดิมทีการฝ่าทะลุคอขวดของเซียนเหรินจะชักนำมา มาสยบกำราบหนิงเหยา
ร่างจริงของหนิงเหยาที่ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ทำเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม รอคอยทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้อย่างเงียบๆ นางเตรียมใจรอรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้ ‘เทียนเจิน’ จะสามารถกลับมาในสนามรบได้ทันเวลา แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะจงใจชะลอความเร็วในการกลับมา เพื่อรอให้มหามรรคาของหนิงเหยาได้รับความเสียหายซะก่อน เมื่อขอบเขตของนางถดถอยหลังเจอทัณฑ์สวรรค์มันก็จะสามารถหาโอกาสมาสลับสถานะ เปลี่ยนจากข้ารับใช้ถือกระบี่เป็นนายแห่งกระบี่
หนิงเหยาไม่คิดว่าจิตวิญญาณกระบี่ที่เหมือนเด็กหญิงเกเรผู้นั้นจะสมใจปรารถนา ไม่เสียแรงที่ชื่อเทียนเจิน (ไร้เดียงสา) ความคิดไร้เดียงสาจริงๆ
มองดูเหมือนว่าแม้กระทั่งร่างจริงของหนิงเหยา กากเดนยุคบรรพกาลทั้งสี่ตนก็ยังมิอาจเข้าใกล้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนิงเหยาเองก็ยากจะสังหารพวกมันให้สิ้นซากได้เช่นกัน เพราะพวกมันราวกับขี้เถ้ามอดที่กลับมาลุกโชนได้ใหม่อยู่เสมอ พื้นที่ในรัศมีพันลี้มีแม่น้ำลำธารสีทองน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา จากนั้นเพียงชั่วพริบตาก็สามารถสร้างร่างทองใหม่ได้อีกครั้ง แล้วค่อยแยกกันถูกจ่านเซียนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหนิงเหยา ปราณกระบี่ทะเลเมฆ กายธรรมของหนิงเหยา จิตหยินของหนิงเหยาที่ถือเจี้ยนเซียนฟาดฟันทุบตีให้แหลกสลาย
นี่ก็คือปมของปัญหาเพียงหนึ่งเดียวของผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินก็ดี ปราณกระบี่ก็ช่าง ล้วนมีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่สิ่งเดียวที่กลัวมากที่สุดคือกลัวว่ากระบี่จะหล่นลงบนความว่างเปล่า
หากมีเวทอภินิหารชั้นยอดหลายบท หรือวิธีการที่คล้ายคลึงกับการสกัดกั้นฟ้าดิน แยกกักเลือดสดสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของรากฐานมหามรรคาเอาไว้ หรือไม่ก็หล่อหลอมมันทันที การเข่นฆ่าครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงได้เร็วขึ้น
เพราะว่าเลือดสดที่ไหลหลั่งนองเหมือนลำคลองแม่น้ำบนพื้นดินพวกนั้น ต่อให้กระบี่บินและปราณกระบี่ของหนิงเหยาจะเฉียบคมแค่ไหน ต่อให้จะสามารถฟันผ่า บดขยี้ได้อย่างกำเริบเสิบสาน แต่ในฐานะ ‘วัตถุอันเป็นรากฐานของร่างทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าปราณวิญญาณฟ้าดิน ก็ทำให้นางไม่อาจทำเหมือนยามรับมือกับศัตรูทั่วไปที่ขอแค่กระบี่บินแทงทะลุเรือนกายและจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามก็จะสามารถทิ้งปราณกระบี่ให้ล้อมวนอยู่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ และถือโอกาสบดขยี้ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งที่เหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลได้
แต่หากไม่มีทัณฑ์สวรรค์ที่ยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกให้เห็นถึงมหามรรคาได้มากเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเข้า ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะคุมเชิงกันด้วยสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป คนหนึ่งสูญเสียมหามรรคาร่างทอง อีกคนหนึ่งสูญเสียแรงใจและปราณวิญญาณ โอกาสชนะของหนิงเหยาก็ยังคงมากกว่าอยู่ดี
เพราะเลือดสดสีทองที่มองดูเหมือนผสานรวมกับมหามรรคาของฟ้าดินได้อย่างกลมกลืนพวกนั้น ต่อให้กระบี่บินจะไม่เสียหายแม้แต่เสี้ยว ทว่ากากเดนยุคบรรพกาลคิดอยากจะรวบรวมร่างทองขึ้นมาใหม่ก็จะเกิดการเผาผลาญแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง
กากเดนบรรพกาลสี่ตนนี้ เห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากหลายๆ ตัวที่หนิงเหยาเคยสังหารไปก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตก่อนหน้านั้นไม่ได้สังหารได้ยากเย็นถึงเพียงนี้
หนิงเหยาแหงนหน้ามองไป บนฟ้าคล้ายมีรัศมีสีทองทรงกลมวงหนึ่งลอยตัวอยู่ ราวกับดวงตาสีทองดวงหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตำแหน่งสูงที่คอยจับจ้องมายังตนเขม็ง
ส่วนบนพื้นดินกว้างใหญ่ กากเดนบรรพกาลทั้งสี่ตนกลับกลายร่างเป็นมหาสมุทรสีทองผืนหนึ่งเหมือนหิมะที่หลอมละลายได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองสูงหมื่นจั้งตนหนึ่งในทันทีทันใด รัศมีแสงสีทองประหนึ่งรัศมีทรงกลดของกายธรรมที่ลอยตัวอยู่ด้านหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกลับคืนสู่ร่างจริงตนนั้นพอดี
จากนั้นบนแขนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีเจียวหลงและงูเหลือมสีทองซึ่งเกิดจากการจำแลงตัวของมหามรรคาล้อมพันอยู่รอบแขน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลุบตาลงต่ำมองลงมายังโลกมนุษย์
ผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่แก่สรวงสวรรค์
หนิงเหยาแหงนหน้าขึ้นสูง จับจ้องประสานสายตากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ในที่สุดก็ไม่ปิดบังตัวตนตนนั้นอยู่ตลอดเวลา
ตามบันทึกลับที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน ในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสิบสองตน ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้สวมเสื้อเกราะมีเทพตาเดียว คอยควบคุมดูแล ให้รางวัลและลงโทษเผ่าพันธุ์เจียวหลง เซียนเผ่าพันธุ์น้ำในใต้หล้า หน้าที่ความรับผิดชอบหนึ่งในนั้นก็คือแบ่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงในกรมฟ้าร้องสร้างสระมังกรกับแท่นสังหารมังกร
เทพชั้นสูงที่มหามรรคาได้รับความเสียหายบนสนามรบยุคบรรพกาลตนนี้ หลังจากที่เก็บตัวเงียบอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ามานานนับหมื่นปี ก็ได้ซ่อมแซมบำรุงมหามรรคา แล้วก็ค่อยๆ ผสานมรรคากับฟ้าดินไปด้วย ดังนั้นตัวมันเองก็คือทัณฑ์สวรรค์
มิน่าเล่าถึงได้สังหารยากขนาดนี้
มิน่าเล่าตอนนั้นขนาดป๋ายเหย่ก็ยังไม่อาจออกกระบี่สังการกากเดนตนนี้ได้ เพราะมันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน
และในเวลานี้ในเหตุการณ์เช่นนี้ หากไม่ถามกระบี่ก็ไม่ใช่หนิงเหยาแล้ว
เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมังกรที่แท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ คนหรือไม่ใช่คน เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน หนิงเหยาล้วนขวางหูขวางตามานานมากแล้ว
จ่านเซียนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาหยุดลอยตัวอยู่ข้างไหล่ข้างหนึ่งของหนิงเหยา จิตหยินกลับคืนสู่ช่องโพรง หนิงเหยาสวมจินหลี่ ในมือถือเจี้ยนเซียน
และเวลานี้เอง หนิงเหยาพลันหรี่ตาลง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อันดับแรกก็มีแสงกระบี่จุดหนึ่งแหวกม่านฟ้าเข้ามา ทิศทางที่พุ่งไปคล้ายจะใกล้กับนครบินทะยาน
จากนั้นก็มีแสงกระบี่สีขาวหิมะที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าอีกเส้นหนึ่งพุ่งทะลุม่านฟ้า ทิ้งตัวตรงดิ่งแทงทะลวงท้ายทอยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนนั้น ยิ่งนานแสงกระบี่ก็ยิ่งชัดเจน ไม่นึกว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของเด็กหญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวหิมะ เพียงแค่ทะลวงผ่าน บนชุดสีขาวก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยเส้นด้ายสีทองเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน นางมึนๆ งงๆ เหมือนคนดื่มเหล้าเมามาย ทำเสียงกร้วมๆๆ ฟังอู้อี้ไม่ชัดเจน จากนั้นร่างที่ส่ายโงนเงนอยู่แล้วก็หัวทิ่มลงพื้น กระแทกลงบนพื้นดินข้างเท้าของหนิงเหยาอย่างแรงเหมือนคนปักต้นหอมลงดิน
มหามรรคาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลตนนั้นได้รับความเสียหายอีกครั้ง ร่างจึงหม่นแสงแล้วสลายหายไป
หนิงเหยาไม่มีความลังเลใดๆ รอให้บินทะยานก่อนค่อยว่ากัน
นางก้มตัวลงดึง ‘เทียนเจิน’ วิญญาณกระบี่ที่มีรูปลักษณ์เป็นแม่นางน้อยขึ้นมาเหมือนดึงหัวไชเท้า
หนิงเหยาเอ่ย “เป็นอย่างไร?”
แม่นางน้อยนั่งขัดสมาธิบนพื้น ยกสองแขนกอดอก สองข้างแก้มพองป่อง เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ไม่บอกเจ้าหรอก”
……
ในนครบินทะยาน
คนหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ไปหาเถ้าแก่เจิ้งที่กำลังโม้น้ำลายแตกฟองอยู่ในร้านเหล้าแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “จ้าวเหยาคารวะอาจารย์เจิ้ง”
วันนี้กิจการของร้านเหล้าเจริญรุ่งเรือง นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการเซ่นกระบี่และการเดินทางไกลของแม่หนูหนิง คนในนครบินทะยานแตกตื่นฮือฮากันยกใหญ่ จึงพากันมาดื่มเหล้า
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “น่ายินดีน่าปลาบปลื้ม”
จ้าวเหยาพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านั้น
รูปโฉมอ่อนเยาว์ ทว่าอายุที่แท้จริงกลับเข้าใกล้เลขสี่แล้ว
อันที่จริงตอนแรกสุดที่เจิ้งต้าเฟิงยังเป็นคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจู ในบรรดาเด็กหลายคน เขาชอบจ้าวเหยามากที่สุด ตอนที่จ้าวเหยานั่งรถเทียมวัวออกไปจากถ้ำสวรรคืหลีจู เจิ้งต้าเฟิงยังได้คุยเล่นกับจ้าวเหยาอยู่หลายคำ
หนึ่งเพราะทุกครั้งที่เจิ้งต้าเฟิงไปที่โรงเรียนเพื่อขอความรู้จากอาจารย์ฉี มักจะได้เล่นหมากล้อมด้วยกันบ่อยๆ จ้าวเหยาเองก็จะยืนชมอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยคำใด บางครั้งก็จะเติมเหล้าใส่จอกให้กับ ‘อาจารย์เจิ้ง’
เจิ้งต้าเฟิงเอาแขนคล้องคอจ้าวเหยา “จ้าวเหยาเอ๋ย แม่นางหน้าตาดีของที่นี่ เจ้ามาช้าไป จึงเหลือไว้ให้เจ้าไม่เยอะแล้ว อาเจิ้งช่วยเลือกไว้ให้เจ้าสองสามคน ชื่อแซ่อะไร บ้านอยู่ที่ไหน อายุเท่าไร นิสัยเป็นอย่างไร ขอบเขตสูงหรือต่ำ ล้วนมีครบถ้วนหมด ข้าเขียนเป็นสมุดเล็กๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ขายให้เพื่อนต้องคิดเงิน แต่กับเจ้านั้นช่างเถิด ขอแค่แวะมาอุดหนุนกิจการที่ร้านเหล้าบ่อยๆ มานั่งที่นี่บ่อยๆ ก็พอ บัณฑิตเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถแล้วยังหล่อเหลาคมคาย อาเจิ้งอย่างข้าก็แค่เสียเปรียบเรื่องอายุเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นก็ตกมาไม่ถึงมือเจ้าหรอก”
จ้าวเหยายิ้มเจื่อนเอ่ย “อาจารย์เจิ้งอย่าได้หยอกเย้าผู้เยาว์เลย”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แตกกิ่งก้านสาขา สืบทอดควันธูป เรื่องใหญ่เช่นนี้จะเอามาล้อกันเล่นได้อย่างไร?”
ตัวกระบี่ของกระบี่ไท่ป๋ายหนึ่งในสี่กระบี่เซียนถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน มอบให้คนสี่คน
เฉินผิงอัน หลิวไฉ เฝ่ยหราน จ้าวเหยา
ปลายกระบี่ที่มีพลังพิฆาตสูงที่สุด ตัวกระบี่ท่อนหนึ่งที่ซุกซ่อนปราณกระบี่ไว้มากที่สุด ด้ามกระบี่ที่ปณิธานกระบี่เข้มข้นที่สุด ตัวกระบี่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งซึ่งรองรับการสืบทอดเวทกระบี่ของป๋ายเหย่ไว้ส่วนหนึ่ง
สุดท้ายคนหนุ่มทั้งสี่คนต่างก็ได้ไปครองกันคนละหนึ่งส่วน
เจิ้งต้าเฟิงใช้ก้นเบียดผีขี้เหล้าสองคนที่สนิทคุ้นเคยกันออกไป ดึงจ้าวเหยาให้นั่งลงบนโต๊ะเหล้า สั่งเหล้าที่ดีที่สุด แน่นอนว่าต้องแพงที่สุดในร้านมาสองชาม
เจิ้งต้าเฟิงถามเสียงเบา “มาที่นี่ได้อย่างไร?”
จ้าวเหยายิ้มเอ่ย “เพราะค่อนข้างสนใจใคร่รู้ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนี้ ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดเป็นพิเศษ”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจเบาๆ ช่างเถิดๆ ที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เงินประเภทนี้ชวนให้กลัดกลุ้มมากที่สุด ก็อย่าไปลากดึงคนอื่นมาเลย
ดื่มเหล้าไปแล้วชามหนึ่ง จ้าวเหยาพลันหันหน้ามองไปยังทิศไกลแล้วขอตัวลาจากไป เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ได้รั้งไว้
ดูเหมือนว่าจ้าวเหยาจะเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยจนมาถึงหน้าประตูของถนนใหญ่แห่งหนึ่ง
หนิงเหยาขี่กระบี่เร็วมาก อีกทั้งยังร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ เพราะด้านหลังมีแม่นางน้อยคนหนึ่งนั่งมาด้วย
หลังจากหนิงเหยาพลิ้วกายลงตรงหน้าประตูก็เก็บกระบี่ใส่ฝัก แม่นางน้อยยังนั่งอยู่บนพื้น
หนิงเหยาเดินขึ้นบันได แม่นางน้อยจึงได้แต่ลุกขึ้นด้วยตัวเองแล้วเดินตามไปด้านหลังหนิงเหยา
เดิมทีจ้าวเหยาคิดว่านางจะหันมามองตนสักแวบ เขาจะได้ถือโอกาสเอ่ยทักทาย คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นกลับไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของเขาเลย จ้าวเหยาจึงได้แต่ส่งเสียงเรียก “แม่นางหนิง”
หนิงเหยาหยุดเดิน หันหน้ามาถาม “เจ้าคือ?”
จ้าวเหยายิ้มเอ่ย “จ้าวเหยาแห่งถ้ำสวรรค์หลีจู”
หนิงเหยาถาม “แล้ว?”
จ้าวเหยาบื้อใบ้พูดต่อไม่ออก กำลังจะเปิดปากพูดก็เห็นเพียงว่าแม่นางน้อยประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้นกระตุกชายแขนเสื้อของหนิงเหยา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา “ท่านแม่ ท่านพ่อของพวกเรายังมีชีวิตดีอยู่ นี่ก็เพิ่งจะได้ปลายกระบี่ของกระบี่เซียนไท่ป๋ายไปท่อนหนึ่งไม่ใช่หรือ ท่านแม่ปรึกษากับท่านพ่อหน่อยเถอะ วันหน้าเอามาเป็นสินเดิมของข้าได้หรือไม่?”
——