กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 735.5 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ชุยตงซานรู้ดีอยู่แก่ใจ และไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ในความเป็นจริงแล้ว ชุยตงซานเชื่อว่าภูเขาลูกหนึ่ง เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้ ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้
หากทุกคนล้วนเป็นคนดี เป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรมเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น หรือทุกคนล้วนเป็นคนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์ กลอุบายในใจล้ำลึกยิ่งกว่าจวนเซียน แบบนั้นล้วนไม่เหมาะสม
ชุยตงซานมองไปยังขุนเขาสายน้ำนอกศาลา พึมพำเบาๆ ว่า “ลมเกิดมาจากไหน หิมะหล่นลงตรงที่ใด?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบอย่างขอไปที “กลางภูเขาฝูหรง?”
ในพื้นที่มงคลรากบัวมีภูเขาฝูหรงอยู่แห่งหนึ่ง ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสถานที่มองเมฆชมหิมะสี่แห่งใหญ่ในใต้หล้าคู่กับยอดเขาเหนี่ยวคั่น ตำหนักคลื่นวสันต์และพรรคหูซาน
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าจับตามองที่นั่นนานเป็นครึ่งๆ วัน น่าเสียดายไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด พ่อครัวเฒ่าเจ้าว่ามันน่ากลัดกลุ้มหรือไม่เล่า”
……
ใต้หล้าแห้งที่ห้า ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำห่างไกลอันเงียบสงบซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของพรรคเซียนจั้งและกองกำลังภูเขาปิงเจี่ย ผู้ฝึกตนอิสระของใต้หล้ามืดสลัวคนหนึ่งที่ไม่มีสถานะเป็นนักพรตเต๋าได้ไปเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล
คนหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื้อ ท่าทางเหมือนปัญญาชน
อีกคนหนึ่งมีนามว่าอวี๋เจินอี้ รูปร่างเป็นเด็ก เป็นขอบเขตหยกดิบที่เพิ่งเลื่อนขั้นอย่างเงียบเชียบอยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยม แต่กลับมาจากใต้หล้าไพศาล ตอนแรกไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว จากนั้นก็มาที่นี่
ปัญญาชนหนุ่มหาตัวอวี๋เจินอี้พบ ฝ่ายหลังกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ สูดลมหายใจเข้าออกเนิบช้า รูจมูกและหูทั้งสองข้างเหมือนมีงูขาวสี่ตัวห้อยย้อยลงมา
อวี๋เจินอี้ลืมตาถามว่า “สหายเข้ามาในภูเขาด้วยเรื่องอันใด?”
ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในอาณาเขตของลัทธิเต๋า แต่บุรุษเบื้องหน้ากลับกล้าสวมชุดลัทธิขงจื้อเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทิศเพียงลำพัง นี่ไม่สมเหตุสมผลมากแล้ว มองดูเหมือนว่ามีภาพปรากฏการณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่กลับสามารถฝ่าทะลุตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้นมาได้ตลอดทางจนกระทั่งหาตนพบ แน่นอนว่ายิ่งไม่สมเหตุสมผลมากกว่า
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เรียกข้าว่าเจิ้งห่วนก็พอแล้ว อันที่จริงเจ้าและข้าเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นสามารถเรียกชื่อกันตรงๆ ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
อวี๋เจินอี้พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “รีบกลับไปซะ”
ปัญญาชนที่เรียกตัวเองว่าเจิ้งห่วนยิ้มถาม “ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะทำไม จะฆ่าแกงกันหรือ ไม่กลัวหรือว่าเลือดจะไหลนองเต็มพื้น ทำให้สถานที่อันเงียบสงบแห่งนี้สกปรก”
อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยคำใด เพียงมองประเมินคนแปลกหน้าที่มีความกล้าหาญเต็มเปี่ยมผู้นี้อย่างละเอียด
ตอนนั้นอยู่ในพื้นที่มงคล เพราะเจ๋อเซียนหนุ่มคนหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ติงอิงตาย อวี๋เจินอี้จึงได้ฉวยโอกาสลุกผงาดขึ้นมา สุดท้ายกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อของพื้นที่มงคลดอกบัว จากนั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องราวใดๆ ของล่างภูเขาและของใต้หล้าอีกต่อไป เพียงแค่ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปอย่างต่อเนื่อง มองไปทั่วใต้หล้าคนที่สามารถเป็นศัตรูกับเขาได้ก็มีเพียงแค่ลู่ไถเจ้าลัทธิมารคนใหม่คนเดียวเท่านั้น
ส่วนผู้ฝึกยุทธจ้งชิวที่พอแยกทางกับเขา ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล ก็เพียงแค่เพราะอวี๋เจินอี้ไม่มีเวลาว่างไปหาเรื่องอีกฝ่ายที่แคว้นหนันเยวี่ยนก็เท่านั้น หลังจากที่เขาสร้างโอสถทองได้หนึ่งดวง ปิดด่านสามครั้ง สองครั้งล้วนถูกลู่ไถขัดจังหวะ ครั้งสุดท้ายบินทะยานออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้สำเร็จ เพียงแต่ว่าตอนนั้นพื้นที่มงคลเกิดเหตุฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสีไปแล้ว อวี๋เจินอี้จึงยิ่งคร้านจะไปสนใจแคว้นหนันเยวี่ยน ส่วนถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซานอะไรนั่นก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้อวี๋เจินอี้เก็บมาใส่ใจ
ครั้งสุดท้ายที่อวี๋เจินอี้ปิดด่าน ใต้หล้าก็มีผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มไม่ทราบนามไม่ทราบสัญชาติเพิ่มมาคนหนึ่ง ใช้กระบี่ แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ฝึกกระบี่อยู่ในภูเขามาหลายปี ตอนที่อวี๋เจินอี้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ก็คือช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มพกกระบี่ลงจากภูเขา ศึกแรกหลังจากเด็กหนุ่มเจอออกไปเผชิญโลกกว้าง เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงขั้นไปถามกระบี่ต่อพรรคหูซานโดยตรง
เพียงแต่ว่าคลื่นลมมรสุมเหล่านี้ล้วนถือเป็นเรื่องที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอวี๋เจินอี้เเล้ว เขาไม่สนใจเกียรติยศอัปยศความรุ่งเรืองความตกต่ำของพรรคหูซานแม้แต่น้อย
อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ถึงขั้นคิดจะขี่กระบี่จากไปโดยตรง “ในเมื่อสหายมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปเองก็ได้”
เจิ้งห่วนผู้นั้นยิ้มบางๆ พูดด้วยท่าทางราวกับว่าหากคำพูดไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ไปอะไรกัน เจ้าจะไปที่ไหนได้ ข้าแค่ถือโอกาสแวะมาดูหนึ่งในวิธีการของเจ้าอารามผู้เฒ่าเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเล่นงานเจ้าอวี๋เจินอี้ เป้าหมายที่แท้จริงในการมาเยือนครั้งนี้คือมาดูศิษย์ลูกศิษย์หลานคนหนึ่ง เจ้าก็รู้จักเขา คือหนึ่งในเจ๋อเซียนของพื้นที่มงคลพวกเจ้า ชื่อว่าลู่ไถ (台หอสูง) หรือจะเรียกว่าลู่ไถ (抬 ยกขึ้น) ก็ได้ ไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไร แต่กลับพูดจาวางโตไม่เบา ข้ากังวลว่าถึงเวลานั้นได้เจอกับเจ้าลูกหลานเนรคุณผู้นั้นแล้วจะไม่มีเรื่องให้พูดคุย ดังนั้นก็เลยมาเรียกเจ้าไปพูดคุยเรื่องวันวานกับเขาด้วย ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ให้หน่อย”
อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วประสานมือคารวะ ก้มหัวค้อมเอวเนิ่นนานก็ยังไม่ยืดตัวขึ้นมา ถึงขั้นไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ปัญญาชนเจิ้งห่วน
หนึ่งในการแสดงออกของห้าความฝันของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
ไม่เหมือนกับจิตหยินออกจากช่องโพรงหรือจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตน ลี้ลับมหัศจรรย์มากยิ่งกว่าจนไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ทุกวันนี้เจิ้งห่วนผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นบุคคลที่ไร้ขอบเขตคนหนึ่ง
อวี๋เจินอี้เกลียดแค้นเจ๋อเซียนที่สุด ดังนั้นจึงทำความเข้าใจต่อใบถงทวีปและใต้หล้าไพศาลมาอย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองชื่อเจิ้งห่วน อวี๋เจินอี้จึงคิดไปทางสายนั้น เพราะถึงอย่างไรอวี๋เจินอี้ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอให้เจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิงผู้หนึ่งขึ้นเขามาเยี่ยมเยือน
“พื้นที่มงคลเล็กๆ นายท่านเทพเซียนอย่างเจ้าคือหนึ่งหมื่น แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องคิดถึงหนึ่งในหมื่นอะไรให้มากมาย เพียงแต่ว่าความเคยชินเช่นนี้วันหน้าต้องแก้ไขเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นยืนอยู่สูงก็จะต้องตายเร็ว”
เจิ้งห่วนที่เป็นหนึ่งในร่างจำแลงของลู่เฉินคลี่ยิ้มยกมือขึ้น ทันใดนั้นกวานดอกบัวก็โผล่ออกมา ถูกเขานำไปวางไว้บนหัวตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่า “ทุกวันนี้ข้าสวมเจ้านี่ไม่เหมาะสม ไม่สู้เอาให้เจ้ายืมไปสวมดีไหม”
อวี๋เจินอี้ยิ่งค้อมเอวลงต่ำมากกว่าเดิม เอ่ยเสียงเบาว่า “มิกล้า”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “แค่ก้มหัวคารวะก็พอแล้ว ลัทธิเต๋าสืบทอดพิธีการนี้มาไม่ได้เพื่อให้เป็นวิชาที่ผู้ฝึกตนรุ่นหลังต้องเข่าอ่อนเสียหน่อย อวี๋เจินอี้เอ๋ยอวี๋เจินอี้ ยิ่งเจ้าขอบเขตสูงก็ยิ่งกลัวตาย มิน่าเล่าเจ้าอารามผู้เฒ่าถึงได้ดูแคลนเจ้า เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ให้เจ้าไสหัวออกมาแล้ว เพื่อที่จะได้ยกตำแหน่งที่ว่างให้กับคนอื่น ไม่เป็นไร เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่เห็นดีในตัวเจ้า แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นวัตถุดิบที่เอามาสร้างชิ้นงานได้ เดี๋ยววันหน้าจะมอบโชควาสนาให้เจ้าหนึ่งอย่าง ไม่เล็กไม่ใหญ่ เจ้าสามารถรับไว้ได้พอดี”
อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยคำใด พยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบนิ่งราวกับผิวน้ำ วิธีการก็ง่ายมาก แค่จำให้แม่นว่าอีกฝ่ายคือลู่เฉิน ถ้อยคำอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดต้องรีบลืมให้สิ้น
ลู่เฉินเห็นวิธีรับมือของเขาก็รู้สึกว่าไม่เลว จึงไม่สร้างความลำบากใจให้กับขอบเขตหยกดิบที่ฝึกตนอย่างยากลำบากอีก พาอวี๋เจินอี้ลงจากเขาออกเดินทางไกลมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับใจกลางของฟ้าดิน
อวี๋เจินอี้รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก
เล่าลือกันว่าคนผู้นี้ทยอยมีความฝันทั้งหมดห้าแบบ ฝันเป็นอาจารย์ลัทธิขงจื๊อเจิ้งห่วน ฝันหมอนกระดูกซ้อนฝัน ฝันเป็นต้นลี่ (ต้นโอ้ค) มีชีวิต ฝันเป็นหลิงกุยตาย ฝันว่ากลายร่างเป็นผีเสื้อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
คนรุ่นหลังมีการไขความฝันเหล่านี้เป็นพันหมื่นรูปแบบ
ก่อนที่อวี๋เจินอี้จะได้รับเอกสารผ่านด่านออกมาจากใต้หล้ามืดสลัว เจ้าอารามผู้เฒ่าเพียงแค่บอกให้เขาตั้งใจฝึกตนอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า ใช้ชีวิตให้สงบก็พอ
แต่ระหว่างทางที่ไปยังประตูใหญ่บานนั้นอวี๋เจินอี้ได้เปิดอ่านตำราจากสายเต๋าใหญ่หลายสายของใต้หล้าไปไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีการวิเคราะห์มหามรรคาของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงไว้มากมาย ความเหมือนเพียงอย่างเดียวคงหนีไม่พ้นเรื่องที่ลู่เฉินโดยสารเรือกลวงออกเดินทางอย่างอิสระเสรี ตำราเต๋าหนึ่งในนั้นมาจากอารามเสวียนตูใหญ่ คำบรรยายเกี่ยวกับลู่เฉินก็ยิ่งแปลกประหลาด บอกว่าลู่เฉินผู้นี้ไม่เคยใช่คนผู้นี้ตัวจริงอย่างที่ทุกคนเห็น ในความคิดของอวี๋เจินอี้ นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเห็นหรูไหลแต่ไม่ใช่หรูไหล (พระยูไลหรือตถาคต เป็นนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า) ในลัทธิพุทธ เป็นคำกล่าวที่คลุมเครือตามแบบฉบับดั้งเดิมของลัทธิเต๋าอีกประโยคหนึ่ง ทำให้อวี๋เจินอี้รู้สึกจนใจอย่างมาก และหลังจากนั้นเขาก็คอยติดตามบัณฑิตเจิ้งห่วนหรือควรจะเรียกว่าเจ้าลัทธิลู่เฉินไปตลอดทาง ร่วมกันหดย่อพื้นที่ เดินทางไกลไปยังใจกลางฟ้าดินด้วยกัน นี่ยิ่งทำให้อวี๋เจินอี้จนใจอย่างถึงที่สุด
อวี๋เจินอี้ไม่กล้าขี่กระบี่ ได้แต่ทะยานลมติดตามเจ้าลัทธิลู่ไป หลีกเลี่ยงไม่ได้โดนกล่าวหาว่าไม่ให้ความเคาพรพ เจ้าลัทธิสามท่านของป๋ายอวี้จิง เจ้าลัทธิใหญ่ถูกขนานนามว่ามรรคกถาเป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนเต๋าเหล่าเอ้อนั้นแน่นอนว่าคือผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง ส่วนลู่เฉินกล่าวกันว่าเป็นคนที่จิตใจแปรปรวนมากที่สุด หากเอ่ยตามคำกล่าวของอารามเสวียนตูใหญ่ที่เคยชินกับการไม่ไว้หน้าป๋ายอวี้จิงมาโดยตลอดก็คือ ในหัวสมองของลู่เฉินคิดอะไรอยู่ อันที่จริงแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด
วันนี้ในที่สุดลู่เฉินก็หยุดฝีเท้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา วาดยันต์ฝ่าสิ่งกีดขวางที่ธรรมดาที่สุดหนึ่งแผ่น ด้านหน้าก็มีประตูบานใหญ่ปรากฏขึ้น เขาหันหน้ามายิ้มเอ่ย “อีกเดี๋ยวก็จะได้กลับคืนบ้านเกิดแล้ว เดินวนอ้อมไกลอย่างยากลำบาก ได้กลับไปเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ดีใจหรือไม่”
อวี๋เจินอี้กล่าว “ไม่มีความผูกพันใดๆ กับบ้านเกิด”
ลู่เฉินส่ายหน้า สีหน้าเวทนา “ยิ่งเป็นคนที่วิ่งออกไปข้างนอกไกลเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจเหตุผลน้อยลงเท่านั้น”
อวี้เจินอี๋เอ่ยอย่างจริงใจ “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
ไม่ออกจากบ้านก็รู้หลักการเหตุผลของใต้หล้า ไม่มองไปนอกหน้าต่างก็รู้การโคจรของวิถีฟ้า
ลู่เฉินพาอวี๋เจินอี้เดินเข้าไปในพื้นที่มงคลที่ยังไม่มีคน ‘บินทะยาน’ แห่งนี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันฟาดแขนออกมาในแนวขวาง หลังมือตบเข้าที่ใบหน้าของอวี๋เจินอี้ บนใบหน้าของฝ่ายหลังมียันต์ใสแวววาวส่องประกายสะดุดตาโผล่ออกมาทันที แต่เพียงวูบเดียวก็จางหาย เป็นเหตุให้ลมหายใจของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งไม่รื่นไหล คล้ายกับว่าขอบเขตถดถอยไปยังถ้ำสถิตโดยตรง ร่างของอวี๋เจินอี้เซวูบ กว่าจะหยัดยืนให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตหลายช่องปิดแน่น ไม่เพียงเท่านี้ อวี๋เจินอี้ลองปล่อยจิตไปสำรวจภายในก็ให้ตะลึงพรึงเพริด ปราณวิญญาณในช่องโพรงหลายแห่งของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ อันดับแรกได้หยุดชะงักเหมือนน้ำนิ่งก่อน จากนั้นก็ก่อตัวกันเหมือนหยกทองแล้วพากันร่วงหล่นลงบนพื้น ดังนั้นถึงได้ทำให้ฝีเท้าของอวี๋เจินอี้หนักอึ้งเหมือนเด็กเล็กร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งที่ต้องแบกไม้ท่อนยักษ์เดินขึ้นเขา
ประตูใหญ่ด้านหลังคนทั้งสองปิดลงเองโดยอัตโนมัติ ลู่เฉินเดินเนิบช้าไปเบื้องหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “สุดท้ายแล้วเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ลำเอียงเข้าข้างคนของตัวเองอยู่ดี พื้นที่มงคลที่มอบให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของข้าคนนั้นเป็นแค่ระดับกลาง ขอบเขตหยกดิบอย่างเจ้าก็เหมือนวัตถุใหญ่โตมโหฬารก้าวลุยผ่านน้ำ ไปกระตุ้นชักนำปรากฎการณ์ของดวงดาว นี่มิใช่คิดจะสร้างคลื่นยักษ์โหมซัดสาดหรอกหรือ พวกเรามีกันอยู่แค่สองคน เจ้าคิดจะขู่ใครกันล่ะ รีบปรับตัวให้ชินกับขอบเขตถ้ำสถิตซะ หากเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นมัธยัสถ์ได้ยากเหมือนมนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา ยังจะเป็นผู้ฝึกตนอะไรได้อีก”
อวี๋เจินอี้รีบสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาทันที เดินตามมาด้านหลังลู่เฉิน
ลู่เฉินถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกอริยะที่ใกล้ชิดกับสายน้ำถึงต้องข้ามภูเขาด้วยตัวเองให้มาก?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ขอเจ้าลัทธิโปรดช่วยไขข้อข้องใจ”
ลู่เฉินเอ่ย “พระพุทธเจ้าพิศน้ำในบาตร มองเห็นแมลงสี่หมื่นแปดพันตัว อาจารย์ผู้เฒ่าเดินเข้าใกล้น้ำแล้วถอนหายใจ สายน้ำที่พุ่งตะบึงไปเบื้องหน้ายุ่งมากขนาดนี้เชียวหรือ กลางวันกลางคืนถึงไม่เคยหยุดพัก อาจารย์ของข้าเองก็บอกว่าน้ำอยู่ใกล้ทาง เส้นทางมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพราะอะไร? เจ้าลองมองดูสิ พอพูดถึงน้ำ บรรพจารย์ของสามลัทธิต่างก็สามัคคีปรองดองกัน ไม่ทะเลาะกันแม้แต่น้อย แล้วเจ้าลองมองย้อนไปอีกที อะไรคือ ‘ผู้ที่ให้ความสำคัญกับมารยาทพิธีการ คือสาเหตุหลักของภัยพิบัติ’ การโต้วาทีของสามลัทธิ น่าตกใจหรือไม่? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ก่อนที่สามลัทธิจะโต้วาทีกัน อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวได้มีดินแดนพุทธะสุขาวดีที่ต่างคนต่างพูดถึงวิถีทางของตน ต่างคนต่างอธิบายพระธรรมคำสอนของตน? เป็นครั้งหนึ่งที่ป๋ายอวี้จิงกับสำนักสายเต๋าใหญ่เจ็ดแห่งพ่ายแพ้อนาถที่สุด เคยได้ยินมาบ้างกระมัง?”
พออวี๋เจินอี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็พยายามที่จะอ่านตำราของลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัวให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องนี้ เขาเอ่ยว่า “การโต้วาทีสิบเจ็ดครั้ง ใต้หล้ามืดสลัวแพ้ทั้งหมด เจินเหรินสิบเจ็ดท่านนั้นล้วนปลดกวานโกนหัวเป็นพระ สุดท้ายกลายเป็น ‘สิบเจ็ดภิกษุอู้อู่’”
ลู่เฉินเปิดเผยความลับสวรรค์ให้อวี๋เจินอี้ฟัง “ในอดีตห้าผู้สูงศักดิ์แห่งสรวงสวรรค์ หนึ่งในนั้นคือผู้ครองแม่น้ำและทะเลสาบ นอกจากจะคอยดูแลแม่น้ำลำคลองลำน้ำใหญ่ทั้งหมดของห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรแล้ว อันที่จริงสิ่งที่ดูแลอย่างแท้จริงยังคงเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ทุกครั้งที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หายไป โครงกระดูกจะกลายไปเป็นดวงดาวนอกฟ้า ดวงจิตหลอมรวมเข้ากับกาลเวลา รวมตัวกันกลายเป็นลำคลอง และจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์พวกเรา อันที่จริงก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากในน้ำนี้ ดังนั้นระหว่างฟ้าดินถึงได้มีเพียงร่างกายของเผ่ามนุษย์ที่ใกล้เคียงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด หากฝึกตนจะเดินขึ้นสู่ที่สูงได้เร็วที่สุด ทำให้พวกเผ่าปีศาจที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์น้ำลายสออยากจะจับกิน เห็นคนเมื่อไหร่ก็จับกินเมื่อนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วกินไปกินมาก็ยังคงไม่ใช่หนึ่งนั้น ไม่เพิ่มไม่ลด จะมีความหมายที่ตรงใด ต่อให้กินหนึ่งนั้นไปครึ่งหนึ่งแล้วจะอย่างไร”
ลู่เฉินเพียงแค่ก้าวเดินเนิบช้าไปในผืนป่า ไม่ได้ทะยานลม เขาเอ่ยเนิบนาบว่า “ปีนั้นข้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ไม่ได้รีบร้อนไปที่ป๋ายอวี้จิง เพียงแต่ว่าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยเก็บรวบรวมคำสวดของลัทธิพุทธไว้โดยเฉพาะ ความสามารถทางการประพันธ์โดดเด่น ทั้งยอดเยี่ยมไพเราะ ทั้งงดงามจนเกินบรรยาย ข้าเคยเห็นวัดทั้งหมดที่เหลืออยู่ไม่มากในใต้หล้ามืดสลัว แล้วก็เคยได้ยินภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งร้องคำว่า ‘ดอกไม้หล่นสายน้ำไหลจากไป เปลี่ยวเหงาฟ้าดินว่างเปล่า’ กับหูตัวเอง จากนั้นเขาก็โยนไม้ปัดฝุ่นทิ้ง หลับตาลงแล้วจากไป เป็นตายทิวาราตรี ไม่มีมี มีไม่มี ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ลู่เฉินก็หันหน้าไปมองอวี๋เจินอี้ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชาย หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “แล้วลองมาดูเจ้าสิ เปรียบเทียบได้หรือ? ความต่างของจิตแห่งมรรคาระหว่างเจ้ากับข้า เป็นแค่ความต่างระหว่างขอบเขตสูงกับต่ำจริงๆ หรือ?”
อวี๋เจินอี้รับคำสั่งสอนด้วยอาการใจฝ่อ ขบคิดความนัยในถ้อยคำนี้อย่างละเอียด
จากนั้นจึงหันไปมองบัณฑิตเจิ้งห่วนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายที่ก้าวเดินอย่างผ่อนคลายอยู่ในผืนป่า ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเต๋าโบราณเรียบง่าย ประหนึ่งแสงจันทร์สายลม หลอมรวมขึ้นเป็นความสง่างามโดดเด่น