กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 738.2 สามชะตาหนึ่งสิบสี่
ในศาลา ฉุนชิงรีบหยิบเหล้าหมักภูเขาชิงเสินกาหนึ่งออกมาดื่มเพื่อระงับความตกใจ ราชวงศ์ต้าหลีหรือควรจะพูดว่าซิ่วหู่ชุยฉาน สรุปแล้วสามารถหลอมโชคชะตาบุ๋นโชคชะตาบู๊ของหนึ่งทวีปอย่างสมบูรณ์แบบ สุดท้ายเอามาให้ตัวเองใช้เช่นนี้ได้อย่างไร?
ร่างกายมนุษย์ธรรมดา ถึงอย่างไรก็ยากจะทัดเทียมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้ หลังจากผ่านศึกนี้ไป คาดว่าข้อสรุปนี้คงไม่ใช่สำหรับผู้ฝึกตนในใต้หล้าไพศาลอีกต่อไปแล้ว
ก่อนหน้านี้องค์เทพเกราะทองที่เรือนกายสูงหมื่นจั้งปรากฏตัวจากเมืองหลวงแห่งที่สอง ในมือถือกระบองเหล็ก และยังมีเทพสวมเกราะอีกองค์ที่ในมือถือดาบรบของต้าหลี อยู่ดีๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาในโลกมนุษย์อย่างไม่มีลางบอกกล่าว หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา แม่ทัพบู๊สวมเกราะสองคนนี้ราวกับเป็นเทพทวารบาลของตระกูลหนึ่ง ทยอยกันปรากฏตัวตรงใจกลางของสนามรบ สกัดกั้นการบุกกระโจนไปเบื้องหน้าทะลวงขบวนรบอย่างดุร้ายดุจฝูงตั๊กแตนบินผ่านเมืองของเผ่าปีศาจ
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์โชคชะตาบู๊ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์ไปนับไม่ถ้วนทั้งสองนี้ ก็คือบรรพบุรุษของสองตระกูลพลเอกเสาค้ำยันแคว้นแห่งต้าหลีอย่างหยวนและเฉา พื้นที่ของหนึ่งทวีป ไม่ว่าจะมุมใดของขุนเขาสายน้ำ ทุกคนล้วนคุ้นชินกับใบหน้าทั้งสองนี้อย่างถึงที่สุด
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชะตาบู๊ที่เท่ากับว่าเป็นขอบเขตบินทะยานทั้งสองตนเอ่ยเสียงก้องกังวานแทบจะในเวลาเดียวกัน “ผู้ที่รุกรานบ้านเมืองข้า ต้องประหาร”
“ผู้ที่เหยียบย่ำขุนเขาสายน้ำของข้า ต้องฆ่าให้สิ้น”
ทว่าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเทพทั้งสอง ยังคงเป็นปัญญาชนสวมชุดสีเขียวที่แค่ฝ่ามือเดียวก็กดหัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลให้จมลงไปในมหาสมุทรใหญ่ได้แล้ว
จากนั้นยกเท้ากระทืบหนึ่งครั้ง คลื่นลูกยักษ์โถมตัวเทียมฟ้า เท้าเหยียบให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่เดิมทีราวกับว่าไม่มีใครต้านทานได้จมลงไปยังท้องน้ำของมหาสมุทร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงจากนอกฟ้าที่มาเป็นแขกในใต้หล้าไพศาลตนนั้นคิดจะดิ้นรนลุกขึ้นยืน พื้นที่ในรัศมีพันลี้ล้วนเป็นลำแสงแก้วใสที่แตกซ่านกระจายไปทั่ว แสดงให้เห็นถึงพลังการสู้รบที่ยิ่งใหญ่น่าตะลึงพรึงเพริดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ ผลกลับถูกปัญญาชนชุดเขียวกระทืบจมลงไปยังจุดที่ลึกยิ่งกว่าเดิมของท้องทะเล
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชะตาบู๊สวมเสื้อเกราะสองตนถูกเผ่าปีศาจขว้างวิชาคาถา ขว้างสมบัติอาคมด้านการโจมตีนับไม่ถ้วนใส่บนร่าง แม้ว่าจะยังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง แต่กระนั้นก็ยังมีความเสียหายด้านรูปลักษณ์เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
มีเพียงกายธรรมของปัญญาชนชุดเขียวที่นครมังกรเฒ่าที่ถึงกับมองเมินการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอยู่ใจกลางของสนามรบที่มีกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจรวมตัวกัน วิชาคาถาพร่างพราวและสมบัติหนักในการโจมตีบนภูเขาแหลมคมจำนวนนับพันกลับหล่นลงบนความว่างเปล่าทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือปัญญาชนชุดเขียวสามารถลงมือสยบกำราบกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลตนนั้นได้ แล้วยังถึงขั้นสามารถเอาเศษชิ้นส่วนแก้วใสของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาทำเป็นอาวุธโจมตี ประหนึ่งเรือกระบี่หลายลำที่ระเบิดแตกต่อเนื่องและกระบี่บินจำนวนเหลือคณานับที่คอยสังหารกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจในรัศมีพันลี้อย่างกำเริบเสิบสาน ทว่าเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับเหมือนกำลังคุมเชิงอยู่กับศัตรูที่ไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
ภาพนี้ทำเอาฉุนชิงที่อยู่ห่างไกลจากสนามรบมองด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญผวา สูงกว่าขอบเขตบินทะยาน? นั่นก็ไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่หรอกหรือ? ตามหลักแล้วต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยานอย่างชุยฉานก็ยังมิอาจแบกรับได้ไหว โชคชะตาบู๊ยังพูดง่าย เพราะโชคชะตาบู๊ของสกุลซ่งต้าหลีโชติช่วง เทพทวารบาลเฉาหยวนสองตนก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป มีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในโลกมนุษย์ของหนึ่งทวีป แต่วัตถุอย่างชะตาบุ๋นนั้น ไม่ใช่วัตถุที่แค่ใส่กระบุงไว้ก็สามารถบรรจุได้เต็ม มีข้อเรียกร้องที่สูงมากต่อขอบเขตตอนยังมีชีวิตอยู่ของวิญญาณวีรบุรุษ ข้อเรียกร้องนั้นสูงมากจริงๆ แม้กระทั่งอริยะปราชญ์ทุกคนที่มีเทวรูปเว้นจากสี่อริยะของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ยังทำไม่ได้ ส่วนคนสี่คนที่มีเหวินเซิ่งเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ไม่ต้องพูดถึงแล้ว หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและซิ่วไฉเฒ่า คนทั้งสามล้วนมีความ ‘ใจกว้าง’ (ความหมายตรงตัวคือความจุของภาชนะ) นี้ เพียงแต่ว่าคนทั้งสามต่างเดินไปไกลบนเส้นทางของตัวเอง ก็เท่ากับว่าสะบั้นเส้นทางนี้ให้ขาดออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นลัทธิขงจื๊อก็คงใช้วิธีการนี้รับมือกับศัตรูจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานแล้ว สามเจ้าลัทธิหนึ่งหลักสองรองของศาลบุ๋นล้วนยินดีทำเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นที่ใบถงทวีปก็จะมีขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ฝูเหยาทวีปมีอีกคนหนึ่ง และทักษินาตยทวีปยังมีอีกคนหนึ่ง
ฉุนชิงหยิบเหล้าหมักออกมาอีกหนึ่งกา ถามชุยตงซานว่า “จะดื่มเหล้าไหม?”
ชุยตงซานยืนอยู่บนราวรั้ว หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าอะไรกัน เวลานี้ข้ากำลังดื่มเหล้าอยู่ไงล่ะ ดื่มจนข้าผู้อาวุโสเมามายไปหมดแล้ว!”
ชุยตงซานชูแขนขึ้นสูง กระโดดพลางโบกแขนร้องตะโกนดังลั่นไปด้วย อาจารย์ลุงเก่งกาจ อาจารย์ลุงแข็งแกร่ง อาจารย์ลุงห้าวหาญ อาจารย์ลุงไร้ศัตรูเทียมทานจริงๆ …
ฉุนชิงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เป็นอาจารย์ฉีผู้นั้นจริงๆ ด้วย สายของเหวินเซิ่งนอกจากหลิวสือลิ่วที่อำพรางตัวลึกล้ำที่สุดแล้ว อันที่จริงศิษย์พี่สองคนของฉีจิ้งชุนนั้นกลับมีชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่า ชุยฉานผู้มีสามเรื่องราวงดงามแห่งไพศาล จั่วโย่วที่ฝึกกระบี่ช้ามาก แต่กลับมีเวทกระบี่เป็นหนึ่งในใต้หล้า กลับกลายเป็นฉีจิ้งชุนที่ซิ่วไฉเฒ่าชอบมากที่สุดที่ข่าวลือบนภูเขาส่วนมากไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับความรู้ลึกตื้น ตบะสูงต่ำของเขาเท่าใดนัก ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งจวีจงเจ้านครจักรพรรดิขาวเป็นฝ่ายยินดีออกจากนครเพื่อมาเชื้อเชิญให้คนนอกคนหนึ่งไปเล่นหมากล้อมที่เมฆหลากสีด้วยกันตาหนึ่ง
ชุยตงซานพลันเงียบเสียงไป ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฉุนชิงว่า “ขอเหล้าดื่มสักกาสิ”
ฉุนชิงโยนเหล้ากาหนึ่งให้เขา ชุยตงซานแกะผนึกดินออก แหงนหน้ากระดกดื่มคำใหญ่จนเหล้ากระเด็นเต็มใบหน้า
คนชุดเขียวผู้นั้นเท้าหนึ่งเหยียบอยู่บนพื้นดินซากปรักเดิมของนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีป อีกเท้าหนึ่งกักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงยุคบรรพกาลให้อยู่ในท้องน้ำใต้ทะเลลึก ทุกครั้งที่ฝ่ายหลังพยายามจะดิ้นรนลุกขึ้นยืนก็จะต้องโดนกระทืบหนึ่งที เรือนกายใหญ่โตมโหฬารมีแต่จะจมผลุบเข้าไปลึกกว่าเดิม น่านน้ำมหาสมุทรทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป กระแสลมหอบเมฆม้วนตัว คลื่นลูกยักษ์โถมเทียมฟ้า เป็นเหตุให้การทะลวงขบวนรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่แต่เดิมเป็นระเบียบขั้นตอนถูกเขาคนเดียวฟันสะบั้นขาดกลางครึ่งท่อน
ภาพนี้ทำเอาวานรเฒ่าชุดขาวที่มองดูจากยอดเขาไฉ่จือหนังตากระตุก สองหมัดกำแน่น อีกนิดเดียวก็เกือบจะเผยร่างจริงออกมาแล้ว เพราะดูเหมือนว่ามีเพียงทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะพอสงบใจได้บ้าง
เรือนกายของปัญญาชนชุดเขียวยิ่งพร่าเลือนล่องลอยขึ้นทุกที ราวกับจิตหยินของผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนหนึ่งที่ออกเดินทางไกลซ้ำกันหลายร่าง กายธรรมร่างหนึ่งในนั้นพลันทำมุทราตราประทับเป็นท่าแจกันสมบัติก่อน จากนั้นก็ทยอยกันทำมุทราห้าปางได้แก่ธรรมจักรมุทรา (ปางปฐมเทศนา) อภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) วรทมุทรา (ปางประทานพร) ภูมิสปรรศมุทรา (ปางชนะมาร) ธยานมุทรา (ปางสมาธิ) จากนั้นเพียงชั่วพริบตาก็ทำมุทราตราประทับอีกสามร้อยแปดสิบหกปาง
ปัญญาชนชุดเขียวประหนึ่งปากอมกฎสวรรค์ของอริยะลัทธิขงจื๊อ ทว่ากลับเอ่ยภาษาพระธรรม “บารมีดุจราชสีห์คำราม”
ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สาดสะท้อนฟ้าดิน ส่องแสงสว่างเจิดจ้าโชติช่วงทั่วสิบทิศ
ปัญญาชนชุดเขียวอีกคนหนึ่งกลับทำมุทราของลัทธิเต๋า สร้างมุทราขึ้นมาสามร้อยห้าสิบแบบ แต่ละท่าล้วนเป็นดั่งยันต์ สุดท้ายรวมตัวกันขึ้นเป็นสถานการณ์ฟ้าร้องฟ้าแลบ
ปัญญาชนยกมือข้างหนึ่งขึ้น เอ่ยสามคำว่า ‘บ่อสายฟ้า’ อริยะเอ่ยถ้อยคำคาถาอาคมตามติด แต่กลับออกคำสั่งด้วยวิธีของลัทธิเต๋า โยกย้ายเจตนารมณ์สวรรค์ บ่อสายฟ้าสีทองขนาดใหญ่ยักษ์บ่อหนึ่งพลันปรากฎขึ้นตรงม่านฟ้า
คนผู้นี้ทั้งเหมือนจะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ด้วยการเป็นอรหันต์ผู้ตรัสรู้แห่งลัทธิพุทธ แล้วก็เหมือนกับว่าทั้งฝูลู่อวี๋เสวียนและเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ต่างก็อยู่ที่นี่ พากันร่ายวิชาอภินิหารในเวลาเดียวกัน
บ่อสายฟ้าพลันกระแทกหล่นลงมหาสมุทร อันดับแรกก็ใช้สถานการณ์ที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกักตัวกากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลให้จมลึกอยู่ในทะเล จากนั้นก็ใช้บ่อสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์มาหล่อหลอมมัน
นอกจากนี้มุทราตราประทับของลัทธิพุทธเกือบสี่ร้อยแบบ ครึ่งหนึ่งได้พากันหล่นลงหยั่งรากสู่พื้นดิน เป็นเหตุให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่รวมตัวกันหนาแน่นอยู่บนพื้นดินหายวับไปกลางอากาศ หายเข้าไปในฟ้าดินขนาดเล็กแต่ละแห่งนั้น
ตราประทับอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเกือบสองร้อยล้วนพากันหล่นในน่านน้ำมหาสมุทรอันกว้างขวางระหว่างสองทวีป น้ำวนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมองเห็นท้องน้ำใต้ทะเล เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพากันหนีตายเอาชีวิตรอด หากไม่พยายามหลบให้พ้นหายนะอย่างบ้าคลั่ง ก็พยายามที่จะเติมน้ำวนซึ่งทำให้เส้นทางบนมหาสมุทรปริแตกให้เต็ม
บนภูเขาของขุนเขาเหนือ ภิกษุน้ำแกงไก่สะบัดชายแขนเสื้อ จากนั้นไหล่ข้างหนึ่งของภิกษุเฒ่าก็พลันเอียงไปด้านหนึ่ง ร่างเซถลา ราวกับว่าชายแขนเสื้อค่อนข้างหนัก
ทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป ภูเขาบรรพบุรุษสำนักกุยหยก นักพรตหนุ่มคนหนึ่งยิ้มอย่างรู้ทัน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ที่แท้อาจารย์ฉีก็มีพรสวรรค์ด้านวิชาห้าอสนีดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์ข้าอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ลำพังแค่ค่ายกลที่กักตัวเจ้าของหอแก้วใสเอาไว้แห่งเดียวก็สามารถอนุมานจนกลายมาเป็นบ่อสายฟ้าเช่นนี้ได้ ความรู้ของอาจารย์ฉีเรียกได้ว่าสูงส่งดุจเทพยดา”
ฉุนชิงเริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง อาจารย์เจ้าขุนเขาพูดถูกแล้ว นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ฉุนชิงอายุน้อย แต่ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับความสัมพันธ์ควันธูปบนยอดเขาของภูเขาชิงเสินและพรสวรรค์อันโดดเด่นของตัวนางเอง สิ่งที่นางเรียนรู้นั้นหลากหลาย ทั้งยังได้รับคำชื่นชมว่ารู้ในแต่ละด้านอย่างลึกซึ้งถึงแก่น เพียงแต่ว่าวันนี้ได้เห็นวิธีการของปัญญาชนชุดเขียวท่านนั้นกับตาตัวเอง ฉุนชิงก็อดลำบากใจไม่ได้ ไม่ว่าเด็กสาวที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เป็นครั้งแรกจะถ่อมตัวอย่างไร จะรู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่มานานมากแค่ไหน ทว่าภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ได้เห็นอยู่ในสายตาตอนนี้ก็ยังคงทำให้จิตวิญญาณของฉุนชิงส่ายไหว รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้สึกราวกับว่าชั่วชีวิตนี้คงยากแล้วที่ตนจะเดินไปได้ถึงนครมังกรเฒ่า
ชุยตงซานพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่นางฉุนชิง อย่าได้ทดท้อไปเลย เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือศิษย์พี่ของอาจารย์ข้านี่นะ เวทคาถาจะสูงสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติมาก!”
ฉุนชิงพึมพำ “แต่นี่ก็สูงเกินไปแล้ว ทำตามอย่างไรก็ทำไม่ได้”
ชุยตงซานหิ้วกาเหล้าที่เหลือเหล้ารสเลิศให้ดื่มอีกแค่ไม่กี่อึก ขยับเท้าเดินไปในแนวขวาง กระทั่งไหล่พิงแนบติดกับเสาศาลาถึงได้เริ่มเงียบเสียงไป
มารดามันเถอะ ฉีจิ้งชุนเป็นขอบเขตสิบสี่มาตั้งนานแล้ว
ผสานมรรคา ผสานมรรคาอะไร ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี? อย่างฉีจิ้งชุนนั่นต้องเรียกว่าคนคนเดียวผสานมรรคากับรากฐานของสามลัทธิแล้ว!
ศึกในปีนั้นเรียกได้ว่าโดนซ้อมไม่เอาคืน แค่ใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตมาต้านทานทัณฑ์สสวรรค์ สลายผลกรรมไปเท่านั้น
เหตุใดเจ้าตะพาบเฒ่าต้องให้ตนไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เพื่อป้องกันหนึ่งในหมื่น หากทำให้ฉีจิ้งชุนโมโหจนไปกระตุ้นนิสัยของเด็กหนุ่มที่หายไปนานขึ้นมาจริงๆ เขาอาจคว่ำกระดานหมากแล้วลงไม้ลงมือนอกกระดานโดยตรงเลยก็เป็นได้ ไม่ถึงขั้นว่าต้องมีคนตาย แต่เจอกับความยากลำบากนั้นย่อมเลี่ยงไม่ได้ และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีความยากลำบากน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนตกลงบนร่างและ…บนหัวของเขาชุยตงซานคนเดียวจริงๆ ตอนแรกก็ขอบเขตถดถอยที่บ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนถ้ำสวรรค์หลีจู กว่าจะออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังต้องโดนซิ่วไฉเฒ่าตีมืออีก ต่อมาก็ได้ไปยืนอยู่ในบ่อน้ำเย็นๆ อุตส่าห์ปีนขึ้นมาถึงปากบ่อก็ดันถูกเป่าผิงน้อยเอาตราประทับกระแทกใส่หน้า ไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยถูกเหมาเสี่ยวตงทั้งด่าทั้งตีก็ช่างเถิด ยังจะถูกหลานคนหนึ่งที่ชื่อว่าไช่เสินจิงรังแกเอาอีก แต่ละเรื่องแต่ละราว น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเศร้าใจหากเอามาทำเป็นน้ำหมึกก็เขียนละครบทโศกได้หลายตอนแล้ว
แต่ว่าตอนนั้นเจ้าตะพาบเฒ่าก็ไม่แน่ใจในขอบเขตที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนเหมือนกัน ขอบเขตเซียนเหริน? ขอบเขตบินทะยาน?
กระทั่งชุยตงซานกับชุยฉานร่วมกันพลิกเปิดม้วนภาพแม่น้ำแห่งกาลเวลาใหม่อีกครั้งถึงได้เห็นภาพหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนนั้นฉีจิ้งชุนกับเด็กหนุ่มรองเท้าสานยืนอยู่ใต้ต้นไหวโบราณด้วยกัน
พอเอาไปเชื่อมโยงกับ ‘ธุระหลังตาย’ ทั้งหมดที่ฉีจิ้งชุนจัดการไว้ ยกตัวอย่างเช่นออกเดินทางไกลไปเยือนถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา นั่งลงถกปัญหากับมรรคาจารย์เต๋า สุดท้ายเอาดอกบัวดอกหนึ่งมาช่วยบดบังความลับสวรรค์ให้กับกระบี่โบราณ
หากขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งกายดับมรรคาสลาย หลงเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ จะยังสามารถบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้อย่างไร?
แล้วฉีจิ้งชุนจะสามารถใช้หนึ่งนิ้วต่างกระบี่ผ่าแท่นสังหารมังกรง่ายๆ ได้อย่างไร?
ฉีจิ้งชุนไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย ในมือก็ยิ่งไม่มีอาวุธเหมาะมือ ใช้หนึ่งนิ้วผ่าแท่นสังหารมังกร ก็ลองให้อริยะหร่วนฉงสำนักการหทารที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินลองทำดูบ้างสิ?
ชุยตงซานนั่งลง เอนศีรษะพิงเสา กอดเหล้ากานั้นไว้ในอก ชุดสีขาวหิมะทิ้งตัวนิ่งไม่ขยับประหนึ่งตุ๊กตาหิมะที่ถูกปั้นวางไว้บนภูเขา
อริยะปราชญ์ของสายหย่าเซิ่งในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางบางทีอาจจะยังเป็นกังวล กังวลว่ากิจการพันปีของสายบุ๋นสุดท้ายแล้วต้องเดินไปยังทิศทางใด จะมีอย่างอื่นมาปะปนจนไม่แจ่มชัดหรือไม่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นการทำให้ต้นกำเนิดเดิมสกปรก จึงเป็นเหตุให้เลือกจะนิ่งดูดายในท้ายที่สุด อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แล้วปรมาจารย์มหาปราชญ์ล่ะ? รวมไปถึงหลี่เซิ่งที่ชื่นชมฉีจิ้งชุนมานานมากแล้วล่ะ? เหตุใดพวกเขาถึงไม่ลงมือขัดขวางเช่นกัน?
เหตุใดตอนนั้นถึงได้มีคนหวังให้ฉีจิ้งชุนไปยังดินแดนพุทธะสุขาวดี?
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ขอแค่ตัวฉีจิ้งชุนเองอยากจะมีชีวิตอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ศาลบุ๋นมาช่วยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่า ‘หันมาฝึกเข้าฌาน’ (นิกายฌานหรือนิกายเซน นิกายหนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน) ก็จะมีชีวิตรอดได้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะหลบหายนะเข้าไปอยู่ในปิ่นเล่มนั้นของซิ่วไฉเฒ่า แต่เป็นขอแค่ฉีจิ้งชุนยินดีจะลงมืออย่างแท้จริง ก็มีชีวิตรอดได้ แล้วยังจะชนะอีกด้วย
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉีจิ้งชุนออกแรงเต็มกำลังเพื่อเอาชนะศัตรู นอกจากจะเดือดร้อนไปถึงโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปแล้ว วิถีสวรรค์ของถ้ำสวรรค์หลีจูที่สั่งสมมานานสามพันปีก็จะเกิดการแว้งกลับ โทษทัณฑ์และผลกรรมนับไม่ถ้วนก็จะยิ่งหล่นลงสู่พื้นดิน
นี่ก็คือทางแยกบนรากฐานมหามรรคาระหว่างซิ่วหู่กับฉีจิ้งชุน หากกล่าวตามทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศที่ชุยฉานอาศัยเวลานานถึงร้อยปีเต็มมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อคนอื่นเพื่อตัวเอง เพื่อใต้หล้าเพื่อวิถีทางโลก ดูเหมือนว่าฉีจิ้งชุนก็ไม่น่าจะเลือกทำเช่นนี้
แต่ในเมื่อฉีจิ้งชุนไม่ยินดีคิดบัญชีเช่นนี้ คนนอกจะทำอะไรได้เล่า?
——