กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 738.3 สามชะตาหนึ่งสิบสี่
ตอนนั้นชุยตงซานไม่ยอมเชื่อ ถึงอย่างไรก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แล้ว ตอนอยู่บ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนจึงยืนกรานว่าจะต้องประชันเรื่องการวางแผนกับฉีจิ้งชุนให้จงได้ ผลคือขอบเขตถดถอยไม่หยุด ต้องปิดฉากลงอย่างอนาถ พ่ายแพ้ยับเยิน
คนหนุ่มสาวและเด็กทุกคนของถ้ำสวรรค์หลีจู หลังจากที่ฉีจิ้งชุนจากโลกนี้ไป โชคชะตาบู๊ของแจกันสมบัติทวีปเป็นเช่นไร? แล้วโชคชะตาบุ๋นล่ะเป็นเช่นไร?
ไม่ต้องพูดถึงโชคชะตาบุ๋นด้วยซ้ำ พูดถึงแค่โชคชะตาบู๊ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองเลื่อนเป็นขอบเขตสิบ หลี่เอ้อเลื่อนเป็นขอบเขตสิบ ผู้เฒ่าเรือนไม้ไผ่เกือบจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบเอ็ด เจิ้งต้าเฟิงตอนอยู่ที่นครมังกรเฒ่า ต่อจากนั้นก็มีเฉินผิงอัน เผยเฉียน จูเหลี่ยน…
นี่ก็คือการคิดบัญชีของฉีจิ้งชุน
มีข้าคนเดียวยืนเคียงบ่ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สู้ให้ตะเกียงใจในโลกมนุษย์ทยอยกันถูกจุดนับพันนับหมื่นดวง
วิถีทางโลกดี อบรมบ่มเพาะคุณธรรมเฉพาะตน ศึกษาหาความรู้อยู่ในห้องหนังสือ วิถีทางโลกไม่ได้ดีขนาดนั้น ร่วมกันปกครองใต้หล้า สละชีวิตไม่กลัวตาย เป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติมิควรเกี่ยงงอน
ชุยตงซานพลันนั่งแปะลงบนราวรั้ว ทอดถอนใจด้วยความเศร้าสร้อย พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงในใจ “ถึงท้ายที่สุดฉีจิ้งชุนก็ยังคงเหลือตบะขอบเขตสิบสี่ไว้ให้เจ้าตะพาบเฒ่า แล้วยังเห็นชุยฉานเป็นศิษย์พี่ ชุยฉานเจ้าคนสมควรโดนแทงพันครั้งผู้นี้ ถึงขนาดนี้แล้วยังจะวางแผนสถานการณ์ถามในใจทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วยังจะเขียนบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นอีก แล้วเจ้าตะพาบเฒ่ายังไม่เคยพูดเรื่องเหล่านี้ให้ข้าฟัง จงใจปิดหูปิดตาข้า ทำให้ข้าไม่รู้อะไรเลย”
ชุยฉานปิดบังเรื่องราวมากมายจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการขุดเจาะลำน้ำฉีตู้ รวมไปถึงเทียบตัวอักษรทั้งหลายเหล่านั้น ชุยตงซานคิดแค่ว่ามันคือวิธีรับมือเบื้องหลังของฉีจิ้งชุน ยกตัวอย่างเช่นทำให้หวังจูเดินลงน้ำประสบความสำเร็จ บนโลกจึงมีมังกรที่แท้จริงตัวแรกปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง บวกกับที่มีลำน้ำใหญ่ ทำให้โชคชะตาน้ำของแจกันสมบัติทวีปเพิ่มขึ้นพรวดพราด แล้วก็บวกกับห้าขุนเขาของหนึ่งทวีปที่แท้จริงแล้วได้ซ่อนค่ายกลขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่งเอาไว้ อันที่จริงชุยฉานได้แอบหลอมตราประทับอักษรน้ำและตราประทับอักษรภูเขาอย่างลับๆ ตลอดทั้งลำน้ำใหญ่ก็คือตราประทับอักษรน้ำ ส่วนขุนเขาใต้ของต้าหลีที่เกิดจากการสะสมดินทีละเล็กทีละน้อยจนก่อเกิดเป็นภูเขานั้น ก็คือตราประทับอักษรภูเขา หรือหากจะพูดตามความหมายที่เข้มงวด ก็คือตราประทับพลิกฟ้า สุดท้ายประทับลงที่ใด? ก็คือที่ตั้งเก่าของนครมังกรเฒ่า! ควบรวมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งรวมที่ตั้งเก่าของนครมังกรเฒ่าเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งก็คือขุนเขาสายน้ำทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป เมื่อตราประทับแตกสลาย จะไม่ยอมให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ขึ้นฝั่งมาได้ใช้โชคชะตาลมปราณมาสัมผัสกลืนกินพื้นดินของแจกันสมบัติทวีปแม้แต่ชุ่นเดียว!
การกระทำที่บ้าคลั่งเหมือนคนวิปลาสเช่นนี้ ใครกล้าทำ? ใครทำได้? ใต้หล้าไพศาลมีเพียงซิ่วหู่เท่านั้นที่กล้าทำ แล้วพอทำได้จริง แม่งยังสามารถทำให้ทั้งบนและล่างภูเขารู้สึกถึงเพียงความสะใจ กลัวหรือไม่? ขนาดชุยตงซานเองยังกลัวเลย
สิ่งเหล่านี้ชุยตงซานล้วนรู้ชัดเจนดี เพราะแผนการลึกล้ำยาวไกลพวกนี้เป็นกลยุทธที่ชุยฉานซึ่งดึงวิญญาณออกไปกับชุยตงซานร่วมกันวางแผนคิดคำนวณเหมือนตัวเองเล่นหมากล้อมกับตัวเองมานานแล้ว
ดังนั้นการที่วิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายปีมานี้ เป็นความทุ่มเทที่เขาเต็มใจอย่างยิ่ง
มีเพียงเรื่องที่ในศาลลำน้ำฉีตู้ซุกซ่อน ‘ฉีจิ้งชุน’ ที่ทั้งเหมือนบุคคลไร้ขอบเขต ทั้งยังเป็นขอบเขตสิบสี่เท่านั้นที่ชุยฉานไม่เคยบอกกล่าวชุยตงซานแม้แต่ครึ่งคำ
ฉีจิ้งฉุนที่เป็นศิษย์น้องแล้วค่อยมาเป็นอาจารย์ลุงผู้นี้ แม้แต่ศิษย์พี่และศิษย์หลานก็ยังหลอกได้ลงคอ หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด ผลคือเจ้าตะพาบชุยฉานกลับหลอกแม้กระทั่งตัวเอง
เดิมทีชุยตงซานคิดว่าการที่ฮ่องเต้ซ่งเหอป่าวประกาศแก่ใต้หล้า สนับสนุนให้สร้างวัดวาอารามขึ้นมา ยังคงเป็นแค่หนึ่งในเรื่องที่ชุยฉานวางแผนสำหรับใจคน คิดไม่ถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป สืบสาวราวเรื่องกันแล้วล้วนเพื่อวันนี้ ล้วนเพื่อให้ขอบเขตสิบสี่ของ ‘ฉีจิ้งชุน’ ในวันนี้มั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม
ดอกบัวสีทองที่ใช้พื้นที่ทั้งทวีปของแจกันสมบัติทวีปต่างกระถาง บวกกับการที่ให้เขาชุยตงซานทำหน้าหนาไปเชิญภิกษุเฒ่าน้ำแกงไก่ และก่อนหน้านี้นานยิ่งกว่า ในฐานะหมากสำคัญของการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี เหตุใดเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปถึงปล่อยให้เขาเดินทางลงใต้ไปยังราชวงศ์จูอิ๋ง? เหตุใดถึงได้มีสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนเกิดขึ้น? เจ้าชุยฉานหน้าไม่อายผู้นี้ แม้แต่อาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่อยู่ในสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ สามลัทธิขงจื๊อพุทธเต๋า บวกกับสำนักโองการเทพ เฮ้อเสี่ยวเหลียง คนพายเรือเฒ่าตระกูลฟ่าน เฉาหรงผู้ฝึกตนบนภูเขาของราชวงศ์ป๋ายซวง อันที่จริงล้วนถูกชุยฉานดึงเข้ามารวมอยู่ในแผนการหมดแล้ว
ทว่าชุยตงซานมั่นใจในเรื่องหนึ่ง ฉีจิ้งชุนไม่มีทางพูดคุยกับชุยฉานแม้แต่คำเดียวแน่นอน
สายเหวินเซิ่งในอดีต สองศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเจ้าอารมณ์นิสัยแย่กันทั้งคู่ อย่าได้เห็นว่าจั่วโย่วมีนิสัยพยศดุร้าย พูดคุยด้วยยาก ในความเป็นจริงแล้วในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่ง จั่วโย่วต่างหากถึงจะเป็นคนที่พูดง่ายมากที่สุด อันที่จริงพูดง่ายกว่าศิษย์น้องอย่างฉีจิ้งชุนมากนัก ง่ายกว่ามากๆ เลยจริงๆ
เขาฉีจิ้งชุนแค่วางหมากหนึ่งเม็ดบนกระดานเท่านั้น ชุยฉานรับเอากระดานหมากมาเล่นต่อ เล่นหมากล้อมประชันกับตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลังจากนั้นจะวางหมากมากกว่าเดิมลงบนขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปอย่างไร ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของซิ่วหู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เรื่องที่ฉีจิ้งชุนกายดับมรรคาสลาย เหมาเสี่ยวตงกลับเป็นได้แค่รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย สุดท้ายให้ชุยฉานมารับตำแหน่งเจ้าขุนเขา แล้วค่อยพาสำนักศึกษากลับคืนสู่เจ็ดสิบสองอันดับของสำนักศึกษาอีกครั้ง ก็ล้วนเป็นแผนการที่ฉีจิ้งชุนคิดคำนวณเอาไว้นานแล้ว
ชุยตงซานนั่งเหม่ออยู่บนรั้ว โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งไปนานแล้ว แต่ใบหน้ากลับยังมีคราบสุราติดอยู่ตลอด
รู้แล้ว คือตราประทับอักษรชุนชิ้นนั้น
ปีนั้นฉีจิ้งชุนมอบตราประทับชิ้นนี้ให้กับลูกศิษย์อย่างจ้าวเหยา ภายหลังได้ถูกชุยตงซานไปดักชิงมากลางทาง ‘บดขยี้’ มันทิ้งได้อย่างง่ายดาย เป็นเหตุให้ปณิธานลมวสันต์ของตราประทับตัวอักษรชุนกระจายไปทั่วฟ้าดิน
และปีนั้นตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล
ตนก็น่าจะถูกฉีจิ้งชุนและเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานวางแผนเล่นงานร่วมกัน
ชุยฉาน ฉีจิ้งชุน ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่แตกหักไม่พูดคุยกันแม้แต่ครึ่งคำมานานแล้วสองคนนี้ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้คล้ายกำลังเล่นหมากล้อมด้วยกันอยู่ตลอด แต่กลับอยู่ฝ่ายเดียวกัน ใช้สถานการณ์หมากเดียวกัน แน่นอนว่านี่ต้องยิ่งพิถีพิถันในเรื่องฝีมือการวางหมากของนักเล่นทั้งสองคนด้วย สุดท้ายคนทั้งสองร่วมกันเผชิญหน้ากับศัตรู เผชิญหน้ากับสถานการณ์ของสองใต้หล้า
ชุยตงซานพึมพำ “เคยมีปีหนึ่ง ใบไม้ผลิจากไปช้ามาก ฤดูร้อนมาเยือนช้ามาก”
เขาพลันหันหน้ามาถาม “ฉุนชิง รู้หรือไม่ว่าอักษรตัวชุนมีกี่ขีด?”
ฉุนชิงตอบอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าไม่ใช่เก้าขีด?”
ชุยตงซานถามอีก “ใต้หล้าไพศาลมีกี่ทวีป?”
ฉุนชิงเอ่ยอย่างระอาใจ “แกล้งถามทั้งที่รู้ ก็มีเก้าทวีปไงล่ะ?”
ชุยตงซานพยักหน้า พึมพำเบาๆ “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”
ยอดเขาของขุนเขาใต้ บรรพจารย์สำนักการทหารสองคนที่ถูกชุยฉานเรียกด้วยความเคารพว่าบรรพบุรุษเจียงและอาจารย์เว่ย หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดที่ซากปรักของนครมังกรเฒ่าแล้วก็หันมาสบตากันทันที
ส่วนชุยฉานที่ก่อนหน้านี้ขอกระดาษไปปึกใหญ่ เวลานี้กำลังก้มหน้าพลิกเปิดกระดาษอ่านทีละแผ่น ล้วนเป็นกระดาษข้อสอบในการสอบใหญ่ครั้งหนึ่งของลูกศิษย์สำนักการทหารที่จัดขึ้นในปฐมสำนักแผ่นดินกลางเมื่อปีก่อน บรรพจารย์เจียงเป็นผู้ออกข้อสอบ เป็นข้อสอบที่เรียบง่ายมาก หากพวกเจ้าเป็นราชครูชุยฉานของต้าหลี แจกันสมบัติทวีปควรจะรับมือการโจมตีจากเผ่าปีศาจที่ใบถงทวีปอย่างไร ส่วนชุยฉานนั้นเหมือนทำหน้าที่เป็นอาจารย์ขุนนางหลักผู้คุมการสอบเคอจวี่ ทุกครั้งที่เห็นถ้อยคำที่เหมาะสมจนจิตขยับไหว ก็จะเขียนคำอธิบายไว้ด้านข้างบรรทัดสองบรรทัด ชุยฉานพลิกอ่านและตรวจสอบอย่างว่องไว เพียงไม่นานก็ดึงข้อสอบออกมาสามฉบับ จากนั้นค่อยเอากระดาษข้อสอบปึกที่เหลือยื่นส่งคืนให้กับบรรพบุรุษเจียง ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามคนนี้ วันหน้าขอแค่ยินดีอุทิศตนให้กับต้าหลี ข้าจะให้คนช่วยปกป้องมรรคาพวกเขามากหน่อย แต่หวังว่าพวกเขามาที่นี่แล้วจะไม่ทำลายกฎ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว สุดท้ายเดินไปถึงตำแหน่งใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง และหากมีใครที่เป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน ต้องการจะพูดถึงเบื้องหลังอะไรกับต้าหลีข้า ก็ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไร มีแต่จะทำให้ภูเขาเบื้องหลังตัวเองล้มครืนลงเท่านั้น ต้องพูดประโยคไม่น่าฟังกับบรรพบุรุษเจียงและอาจารย์เว่ยไว้ก่อน เพราะเมื่อกินรสขมหมดสิ้นก็จะได้ลิ้มรสความหวานนี่นะ”
ผู้เฒ่าแซ่เว่ยยิ้มกล่าว “แค่นี้น่ะหรือ?”
ชุยฉานย้อนถามด้วยรอยยิ้ม “หรืออาจารย์เว่ยอยากจะเขียนตำราพิชัยยุทธอีกสักเล่มล่ะ?”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ หากมีแค่ตำราเล่มก่อนหน้านี้ เขาชุยฉานอ่านจนปรุโปร่งไปหมดแล้ว สนามรบของแจกันสมบัติทวีปก็ไม่ต้องได้เปิดตำรากันอีกแล้ว
บรรพบุรุษเจียงถอนหายใจ “พูดถึงแค่รากฐานบนหน้ากระดาษ อันที่จริงใบถงทวีปก็ไม่ได้เลวร้าย”
ผู้เฒ่าแซ่เว่ยที่อยู่ด้านข้างยิ้มเอ่ย “ก็ไม่มีซิ่วหู่นี่นา”
คิดไม่ถึงว่าชุยฉานจะส่ายหน้า “คนเรามักต้องมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลง ใบถงทวีปมีชุยฉานสองคนก็ยังช่วยอะไรไม่ได้”
ขอบเขตของผู้ฝึกตน ในยุคที่วิถีทางโลกสันติรุ่งเรือง จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะมีความหมายสักเท่าใด รอกระทั่งถึงช่วงกลียุค จะมีความหมายอย่างมาก แต่กลับอาจไม่ได้น่าสนใจเสมอไป
บรรพบุรุษเจียงถาม “ข้ารู้ชัดเจนดีว่า โชคชะตาบุ๋นที่อยู่บนร่าง ‘ฉีจิ้งชุน’ ผู้นี้เป็นแค่เวทอำพรางตาของเจ้าซิ่วหู่ ปีนั้นเขาทำได้อย่างไร?”
ชุยฉานเงียบไปนาน สองมือไพล่หลังยืนพิงราวรั้ว มองไปทางทิศใต้ แล้วก็พลันหัวเราะขึ้นมา ก่อนตอบว่า “ก็อยากถามลมวสันต์ แต่ลมวสันต์ไม่เอื้อนเอ่ย”
ผู้เฒ่าแซ่เว่ยมีสีหน้าเคร่งเครียด “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจี่ยเซิงที่เก็บซ่อนตัวเงียบมาโดยตลอดผู้นั้น ในที่สุดก็น่าจะลงมืออย่างโจ่งแจ้งเป็นครั้งแรกแล้ว”
ร่างของชุยฉานหายวับไป จิตหยินออกเดินทางไกล กำลังจะกลับไปยังกลางอากาศเหนือเมืองหลวงแห่งที่สองอีกครั้ง เพียงแค่คลี่ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งกับบรรพจารย์สำนักการทหารทั้งสองท่าน “ป้ายถ่อมตัวยอมถอยให้แด่บรรพชนในใต้หล้าของนครจักรพรรดิขาวนั่น ควรจะถอดออกไปได้นานแล้ว”
จิตหยินของชุยฉานกลับคืนมายังกลางอากาศ ผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างจริง
วันนี้เขาไม่ไปสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ กลางอากาศเหนือทะเลเมฆไร้ผู้คน ชุยฉานยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตราประทับชิ้นหนึ่งที่เคยปริแตกแล้วถูกชุยฉานรวบรวมขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ลอยขึ้นมา ตัวอักษรเดิมที่แกะสลักไว้ก็คือ ‘ใต้หล้ารับวสันต์’
เพียงแต่ว่าหลังจากถูกชุยตงซานทำลายไป บนตราประทับจึงเหลืออักษรคำว่า ‘ชุน’ (วสันต์) โดดเดี่ยวเพียงตัวเดียว
หลินโส่วอีทะยานลมมาจากศาลลำน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงแห่งที่สอง เขาอาจจะเป็นเพียงข้อยกเว้นหนึ่งเดียวของราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ เพราะคนนอกไม่มีใครกล้าขยับเข้าใกล้ทะเลเมฆในเวลานี้เลย หลินโส่วอีสามารถรับตำแหน่งคนเฝ้าศาลฉีตู้ได้ชั่วคราว ก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้ว
หลินโส่วอีประสานมือคารวะ จากนั้นก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่บนทะเลเมฆห่างจากราชครูชุยฉาน ซิ่วหู่ผู้เป็นอาจารย์ลุงมาไม่ไกล ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ลุง ท่านอาจารย์?”
ชุยฉานเอ่ยภาษาธรรมของลัทธิพุทธตอบมาหนึ่งประโยค “แม้แสงสว่างจะดับสิ้น แต่ตะเกียงยังคงอยู่”
แม้ว่าร่างของฉีจิ้งชุนจะตายไปแล้ว ตายไปอย่างไร้ข้อสงสัย ทว่ามหามรรคากลับยังไม่สลายหายไป โคจรอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะลัทธิขงจื๊อคำว่า ‘จิ้ง’ จากนั้นใช้วิชาการเข้าฌานของลัทธิพุทธอยู่ในท่วงท่าของคนที่ไร้ขอบเขตรักษาดวงจิตเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ในตราประทับอักษร ‘ชุน’ มีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้ สุดท้ายถูกเอาไปวางไว้ในศาลลำน้ำ ‘ฉี’ ตู้
น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตาของหลินโส่วอี “อาจารย์มีอักษรแห่งชะตาชีวิตสามตัว?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ในอดีตไม่เคยมีใครทำได้ และในอนาคตก็จะไม่มี”
ชุยฉานผลักตราประทับชิ้นนั้นออกไปเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไปเถิด”
เก้าทวีปของไพศาล ระหว่างขุนเขา ในสายน้ำ บนหนังสือ ในใจคน ทุกหนทุกแห่งของโลกมนุษย์ล้วนมีลมวสันต์
ลมวสันต์ไพศาลเก้าขุม ปรากฏขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก่อน อีกแปดทวีปที่เหลือของไพศาลก็ทยอยกันผุดตามมา แล้วไปรวมตัวกันอยู่ในเก้าจุดอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายลมวสันต์แปดขุมแปดทวีปล้วนพากันมายังแจกันสมบัติทวีปอย่างพร้อมเพรียง โอบล้อมวนเวียนอยู่รอบชายแขนเสื้อสองข้างของปัญญาชนชุดเขียว
สุดท้ายก่อตัวขึ้นกลายเป็นตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวหนึ่ง ชุน
ไพศาลมีสองผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจ
ป๋ายเหย่กวีไร้เทียนทาน
ลมวสันต์ฉีจิ้งชุน
กายธรรมหมื่นจั้งหายวับไป กลายมาเป็นชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา มองไปยังจุดหนึ่งของใบถงทวีป
กายธรรมรวมตัวกันเป็นตัวอักษรจิ้ง
เฟยเฟยใช้วิชาอภินิหารเคลื่อนย้ายน้ำที่ไม่ด้อยไปกว่าการใช้น้ำท่วมนครมังกรเฒ่าก่อนหน้านี้กระแทกเข้าใส่บัณฑิตที่เรือนกายเล็กจ้อย
ปัญญาชนเพียงประกบสองนิ้ว ใช้อักษรตัว ‘ฉี’ ฟันลงไป ทำลายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งให้แหลกสลาย จากนั้นจึงโบกชายแขนเสื้อง่ายๆ ขับไล่น้ำของมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่แบ่งออกเป็นสองส่วนให้ถอยห่างไปไกล
ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสามตัว หนึ่งขอบเขตสิบสี่
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งที่ไม่เคยมีชื่อเสียงด้านวิชาอภินิหาร ตบะขอบเขตหรือการเข่นฆ่าสังหารเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าผู้นี้มองเมินเฟยเฟยไปอย่างสิ้นเชิง ชายแขนเสื้อสองข้างของบัณฑิตมีลมวสันต์ หัวเราะเสียงกังวานถามว่า “เจี่ยเซิงอยู่ที่ใด?!”
——