กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 741.2 จดหมาย
เพียงแต่ว่าเล่นงานโจวมี่เช่นนี้ ค่าตอบแทนก็คือจะต้องเผาผลาญความคิดและตบะของฉีจิ้งชุนอยู่ตลอดเวลา เพื่อใช้มันมาแลกเปลี่ยนเป็น ‘ทางลัด’ เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ของชุยฉานอย่างที่ใครก็คาดการณ์ไม่ถึง ทั้งยืมใช้ความรู้บนมหามรรคาของฉีจิ้งชุน ทั้งยังขโมยมหาสมุทรตำราของโจวมี่ไป ก่อนจะถูกชุยฉานเอามาซ่อมแซม ขัดเกลาความรู้ของตัวเองให้สมบูรณ์ ดังนั้นจุดที่ชุยฉานอำมหิตที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เลือกสนามรบอยู่บนที่ตั้งเก่าของนครมังกรเฒ่า แต่เลือกจะเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ด้วยการไปเยือนเรือเล็กที่ท่าเรือใบท้อของใบถงทวีป เผชิญหน้ากับโจวมี่โดยตรง
แน่นอนว่าชุยฉานไม่ได้ทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือสภาพการณ์อย่างในเวลานี้ ฉีจิ้งชุนยังมีความคิดบางอย่างหลงเหลืออยู่บนโลก ยังคงสามารถมาปรากฏตัวในศาลา มาพบหน้าชุยตงซานที่ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าศิษย์พี่หรือศิษย์หลานดี ขณะเดียวกันยังสามารถปูทางถอยให้ชุยฉานได้ย้อนกลับไปยังศาลลำน้ำใหญ่ของเมืองหลวงแห่งที่สองภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปได้อีกด้วย
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือโจวมี่มองความจริงออก ถ้าอย่างนั้นชุยฉานที่เป็นยอดเขาขอบเขตสิบสามก็จะต้องลากฉีจิ้งชุนขอบเขตสิบสี่ที่มีเวลาจำกัดให้ร่วมกันต่อสู้กับมหาสมุทรความรู้โจวมี่อย่างเอาเป็นเอาตาย ต้องรู้แพ้ชนะภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ด้วยนิสัยของชุยฉาน แน่นอนว่าต่อให้สู้กันจนใบถงทวีปทั้งแห่งจมลงไปใต้ทะเล เขาก็ไม่เสียดายแม้แต่น้อย แจกันสมบัติทวีปสูญเสียซิ่วหู่ไปคนหนึ่ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหลือมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่ฟ้าดินของทั้งร่างแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี
ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างนี้ ชุยฉานล้วนรับได้ทั้งสิ้น
ในศาลาเวลานี้ ปัญญาชนชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดขาว ไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะสกัดกั้นฟ้าดิน ถึงขั้นไม่ได้ใช้เสียงในหัวใจพูดคุยกันด้วย
ฉุนชิงรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด จะกินขนมก็ดูไม่ให้ความเคารพบัณฑิตทั้งสองคนเกินไป ไม่กินขนมก็อาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเงี่ยหูแอบฟังได้ ดังนั้นนางจึงอดไม่ไหวเปิดปากถามว่า “อาจารย์ฉี อาจารย์น้อยชุย ไม่สู้ให้ข้าไปจากที่นี่ดีไหม? ข้าเป็นคนนอก ฟังมามากพอแล้ว เวลานี้ในใจยังเหมือนมีกลองรัวไม่หยุด กระวนกระวายมากเลย”
ชุยตงซานพูดเหมือนแง่งอน “แม่นางฉุนชิงไม่ต้องจากไปไหน เชิญรับฟังได้ตามสบาย เจ้าขุนเขาฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราท่านนี้เป็นสุภาพชนที่สุดแล้ว ไม่เคยเอ่ยคำพูดอะไรที่คนนอกฟังไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ”
ร่างของฉีจิ้งชุนเปล่งวูบ ถึงกับมานั่งบนราวรั้วข้างกายชุยตงซาน หันหน้ามามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่อันที่จริงไม่ได้แปลกหน้าสำหรับเขาเลย
สายตาชุยตงซานมองตรงไปข้างหน้าไม่หลุกหลิก สองมือตีหัวเข่าเบาๆ คิดไม่ถึงว่าฉีจิ้งชุนจะเหมือนน้ำเข้าสมอง มองบ้าอะไรนักหนา ยังมองไม่พออีกหรือ มองจนชุยตงซานรู้สึกตะครั่นตะครอ กำลังจะยื่นมือไปหยิบขนมหมาฮวาของภูเขาหวงหลีขึ้นมาชิ้นหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกฉีจิ้งชุนชิงหยิบไปก่อน แล้วก็เริ่มกิน ชุยตงซานพึมพำเบาๆ ว่า นอกจากกินหนังสือที่พอจะมีรสชาติบ้าง ทุกวันนี้กินอะไรก็ไร้รสชาติหมดแล้ว แบบนี้ไม่สิ้นเปลืองเงินทองหรือไร
ฉีจิ้งชุนเอ่ย “เมื่อครู่ตอนอยู่ในใจของโจวมี่ ช่วยชุยฉานกินตำราบางส่วน ถึงได้รู้ว่าถ้อยคำปลงอนิจจังของอาจารย์ผู้เฒ่าในสำนักศึกษาโลกมนุษย์ท่านนั้น มีเหตุผลจริงๆ”
ชุยตงซานรู้ว่าฉีจิ้งชุนพูดเรื่องอะไร
ที่แท้บนโลกก็มีตำราที่ข้าไม่อยากอ่านอยู่มากมายถึงเพียงนี้
ชุยตงซานพูดเบาๆ “อันที่จริงก็เคยมีคนพูดแบบนั้น”
ฉีจิ้งชุนก็รู้ว่าชุยตงซานกำลังพูดเรื่องอะไร
ข้าไม่อยากพูดอะไรให้มากความกับโลกใบนี้อีก
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เด็กหนุ่มชุยตงซานพูดจาล้อเล่นพูดจาเหน็บแนมมากมายเป็นกระบุงโกย มีเพียงถ้อยคำจากใจจริงเท่านั้นที่พูดออกมาไม่มาก คาดว่าคงพูดกับคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น น้อยจนนับนิ้วได้
นอกจากอาจารย์อย่างเฉินผิงอันแล้ว ดูเหมือนว่าก็มีแค่เป่าผิงน้อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่เผยเฉียน คนจิ๋วดอกบัว และหมี่ลี่น้อยเท่านั้น
ฉีจิ้งชุนคลี่ยิ้มดึงสายตากลับคืน
อันที่จริงตอนที่ชุยฉานเป็นเด็กหนุ่มเขาหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย มิน่าเล่าในอนาคตภายภาคหน้าถึงได้มีหนี้รักมีวาสนาครองคู่อยู่นับไม่ถ้วน อันที่จริงยังมีมากกว่าศิษย์พี่จั่วโย่วเสียอีก นับตั้งแต่สตรีขายเหล้าที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของอาจารย์ในปีนั้น ขอแค่ชุยฉานไปซื้อเหล้า ราคาที่นางขายก็จะถูกกว่าปกติเยอะมาก ไปถึงในสำนักศึกษาสถานศึกษาที่บางครั้งจะมีเค่อชิงหญิงมาสอนวิชาให้กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไปจนถึงเทพธิดาสำนักอักษรจงมากมายที่ต่างก็พยายามคิดหาสารพัดวิธีมาขอจดหมายหนึ่งฉบับ หรือไม่ก็จงใจส่งจดหมายให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง พูดอย่างสวยงามว่ามาขอความรู้ อาจารย์จึงรับเอาไว้อย่างรู้ทัน ทุกครั้งจะต้องให้ลูกศิษย์คนแรกเป็นผู้เขียนจดหมายตอบกลับคืน พอพวกสตรีทั้งหลายได้รับจดหมายไปแล้วก็จะเอาไปเข้ากรอบทำเป็นเทียบอักษรอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี กระทั่งแต่ละครั้งที่อาเหลียงกลับมาจากเดินทางไกลพร้อมกับเขา จะต้องร่ำร้องระบายทุกข์กับตนว่าตัวเองกลายเป็นไม้ประดับ ฟ้าดินเป็นพยาน จิตวิญญาณของพวกแม่นางทั้งหลายล้วนถูกชุยฉานล่อลวงไปหมดแล้ว ถึงกับไม่ชายตามองพี่อาเหลียงเลยสักนิด
ฉุนชิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์ฉี”
พอความคิดของอาจารย์ฉีมากขึ้น ตบะก็จะเสียหายเพิ่มมากขึ้น
ฉีจิ้งชุนหันหน้ากลับมา ยื่นมือไปกดศีรษะของชุยตงซานเอาไว้แล้วผลักไปด้านหลัง ใครใช้ให้เจ้าศิษย์หลานผู้นี้เกะกะสายตาเล่า จากนั้นเขาก็ยิ้มเอ่ยกับนาง “แม่นางฉุนชิง อันที่จริงหากมีเวลาว่างล่ะก็ สามารถไปเที่ยวเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วได้จริง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดี ภูเขาเขียวน้ำใส คนมากความสามารถ”
ฉุนชิงพยักหน้ารับ “ตกลง! ข้าเชื่ออาจารย์ฉี”
ใบหน้าชุยตงซานเต็มไปด้วยความเศร้าระคนเจ็บแค้น “ฉุนชิง เจ้านี่ยังไงกัน ข้าต้องเปลืองแรงแทบตายก็ยังไม่อาจหลอกเจ้าไปที่ภูเขาลั่วพั่วได้ ทำไมเจ้าคนแซ่ฉีแค่เอ่ยง่ายๆ คำเดียว เจ้าก็ตอบรับรวดเร็วขนาดนี้แล้ว?!”
ฉุนชิงกะพริบตาปริบๆ ตอบไปตามสัตย์จริง “ก็เจ้าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ แต่อาจารย์ฉีเป็นวิญญูชนนี่นา”
ฉีจิ้งชุนมองไปทางใบถงทวีป ยิ้มเอ่ย “จำต้องยอมรับว่า ถึงแม้โจวมี่จะทำอะไรกำเริบเอาแต่ใจไปหน่อย แต่บนเส้นทางเดินขึ้นสู่ที่สูงเพียงลำพัง ก็ได้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับใต้หล้า ชวนให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”
จิตใจของชุยตงซานพลันสะท้านไหว นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขามองไปยังภาพปรากฎการณ์อันเสื่อมถอยอ่อนแอของฉีจิ้งชุนแล้วถามว่า “ฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปล้วนเป็นดินแดนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว หรือว่าเมื่อครู่?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้า ช่วยยืนยันการคาดเดาของชุยตงซาน
ชุยตงซานถอนหายใจ โจวมี่เชี่ยวชาญการควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลา และนี่ก็คือกุญแจสำคัญในการล้อมฆ่าป๋ายเหย่
ดูท่าน่าจะพ่ายแพ้ทางวิธีการแล้ว สุดท้ายฉีจิ้งชุนก็ไม่ได้ทำให้โจวมี่สมปรารถนา
เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นี้ต่อให้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีวิธีการเช่นนี้แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเพิ่มวิชาอภินิหารลงไปในแผนการเข่นฆ่าที่วางแผนมานานแล้วมากกว่า
ฉีจิ้งชุนลุกขึ้นยืน ต้องการจะไปพบลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ศิษย์น้องเล็กรับมาสักหน่อย ดูเหมือนว่าอาจารย์จะช่วยเลือกให้ด้วย ศิษย์น้องเล็กต้องเหนื่อยใจมากแน่ๆ
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ฉีจิ้งชุนยื่นมือมากดบ่าชุยตงซาน “วันหน้าหากศิษย์น้องเล็กยังรู้สึกละอายใจ ทั้งรู้สึกว่าตัวเองทำได้น้อยเกินไป ถึงเวลานั้นเจ้าก็ช่วยบอกกับศิษย์น้องเล็กแทนข้าสักคำว่า คนจิ๋วควันธูปสีทองตนนั้น ได้โชควาสนามาจากที่ใด”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที ท่าทางเซื่องซึมไม่มีชีวิตชีวา
ฉีจิ้งชุนพลันตบป้าบลงบนหัวของเขาเต็มแรง จนชุยตงซานเกือบจะพลัดตกเข้าไปในศาลา ฉีจิ้งชุนพูดกลั้วหัวเราะว่า “อยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ปีนั้นศึกษาเล่าเรียนอยู่กับอาจารย์ ก็เจ้านี่แหละที่มีความสามารถในการยุแยงกระพือไฟมากที่สุด เก้าสิบกว่าครั้งที่ข้าต่อยตีกับจั่วโย่ว อย่างน้อยก็ต้องมีเจ้าคอยกระพือไฟอยู่แปดสิบครั้ง นิสัยเสียๆ มากมายของอาจารย์ที่บ่มเพาะมาในภายหลัง เจ้ามีคุณความชอบใหญ่ที่สุดเลย”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “แล้วเรื่องขี้ฟ้องล่ะ? ชอบจดลงสมุดบัญชีล่ะ? นิสัยพวกนี้ของอาจารย์และศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้าล้วนไปเรียนรู้เอามาจากใคร?”
ฉีจิ้งชุนหัวเราะอย่างชอบใจ เสียงหัวเราะล้วนกลายเป็นลมวสันต์ เรือนกายล่องลอยหายไป ประหนึ่งสายลมวสันตฤดูในโลกมนุษย์ที่ไปมาไร้ร่องรอย
ชุยตงซานพึมพำ “ทำไมไม่อยู่คุยกันนานๆ อีกหน่อย”
ฉุนชิงกินขนมในกล่องอาหารชั้นหนึ่งหมดไปเงียบๆ แล้ว ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรของหอถิงอวิ๋นผู้นั้นจะทำอย่างไร? จะถูกเจ้าขังอยู่ในชายแขนเสื้อแบบนี้ต่อไปหรือ?”
ชุยตงซานกลอกตามองบน “เจ้าพูดเรื่องอะไร ไม่มีคนผู้นี้ ไม่มีเรื่องนี้เสียหน่อย!”
แม่นางน้อยไร้คุณธรรมจริงๆ หากรู้แต่แรกคงไม่เอาขนมออกมารับรองแขกแล้ว
ฉุนชิงกล่าว “ไปถึงภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าให้ไปที่ร้านในตรอกฉีหลงก่อนหรือ?”
ชุยตงซานรีบยิ้มประจบทันใด “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
จู่ๆ ฉุนชิงก็เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นว่า “ยังจะดื่มเหล้าอีกไหม?”
ชุยตงซานเงียบเสียงไป ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
บนยอดเขาของภูเขาไฉ่จือ วานรเฒ่าชุดขาวเดินลงจากเส้นทางเทพไปเพียงลำพัง
รู้สึกแปลกตงิดๆ ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงผู้นี้กวาดตามองรอบด้านอย่างว่องไว แต่ก็ไม่มีความผิดปกติอะไร น่าประหลาดนัก
เผยเฉียนถลึงตากว้าง ปัญญาชนชุดเขียวผู้นั้นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องส่งเสียง ใช้เสียงในใจสอบถามนางว่ามีปมในใจอะไร สามารถพูดให้อาจารย์ลุงฟังได้
นอกศาลซานจวินขุนเขาใต้ ซ่งจี๋ซินนั่งอยู่ในห้องหนังสือที่สร้างขึ้นชั่วคราวเพียงลำพัง นวดคลึงหว่างคิ้ว แต่แล้วอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่กุมอำนาจหนาหนักผู้นี้ก็พลันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอาจารย์
ในศาลลำน้ำฉีตู้นอกเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี หลินโส่วอีเพิ่งจะเก็บ ‘ตำราเหนือเมฆพร่างพราว’ ฉบับล่างลงไป ปัญญาชนชุดเขียวก็คลี่ยิ้มแล้วนั่งลง บอกให้หลินโส่วอีหยิบเอากระดาษและพู่กันออกมา เขาจะเป็นคนเขียนคำอรรถาธิบายไว้ด้านข้างให้เอง
กลางจวนวารีที่อยู่ใกล้กับลำน้ำใหญ่ หวังจูที่ได้กลายเป็นมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของโลกมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความดื้อดึง เชิดหน้าขึ้นสูง
ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลิวเสี้ยนหยางกำลังงีบหลับ จิตใจกำลังท่องไปในสนามรบโบราณที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดแห่งหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าบนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กข้างกายมีอาจารย์ฉีที่นั่งหลับตาทำสมาธิเช่นเดียวกันมานั่งอยู่ กำลังปกป้องมรรคาให้แก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย
ทางฝั่งของโรงเรียนในเมืองเล็ก ปัญญาชนชุดเขียวยืนอยู่ในห้องเรียน เรือนกายค่อยๆ สลายหายไป ฉีจิ้งชุนมองไปนอกประตู ราวกับว่านาทีถัดมาก็จะมีเด็กหนุ่มรองเท้าสานขี้อายคนหนึ่งที่ก่อนจะปลุกความกล้าเปิดปากพูด จะต้องแอบยกมือขึ้นมา เอาฝ่ามือชื้นเหงื่อเช็ดกับชายแขนเสื้อตัวเก่าให้สะอาดก่อน แล้วค่อยใช้ดวงตาใสกระจ่างทั้งคู่มองเข้ามาในโรงเรียน เอ่ยเสียงเบาว่า อาจารย์ฉี มีจดหมายของท่าน