กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 743.2 ตีเกราะเคาะไม้ลาดตระเวนยามค่ำคืน
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า บัณฑิตอย่างป๋ายเหย่นี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนมีอิสระเสรี ล้วนสง่างามมีเสน่ห์ ป๋ายเหย่เคยพบเจอคนโบราณเคยพบเจออริยะปราชญ์ หรือควรจะบอกว่าอริยะปราชญ์ยุคโบราณ คนรุ่นหลังได้พบเจอเขาป๋ายเหย่ ป๋ายเหย่ก็ยังคงเป็นป๋ายเซียนที่นับแต่โบราณพันปีมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
นักพรตซุนกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “วันนี้อารามเสวียนตูใหญ่มีชุมนุมในป่าท้อครั้งนี้ ป๋ายเซียน ซูจื่อ ต้นกำเนิดวลีหลิ่ว หมู่บุปผาเฉา โชคดีนักที่คนทั้งสี่ได้มารวมตัวกัน ไม่เป็นรองกระบี่เซียนทั้งสี่เล่มที่รวมตัวกันได้แม้แต่น้อย แล้วยังเหนือกว่าอีกด้วย นี่เป็นความโชคดีของทางอาราม และยิ่งเป็นเรื่องโชคดีในใต้หล้า หากนักพรตผู้เฒ่าไม่ใช้วิชาการคัดลอกลายเก็บภาพนี้ไว้ให้แก่โลกยุคหลังนานพันปี ก็เท่ากับว่าเป็นคนผิดที่มีโทษมหันต์จริงๆ …”
ป๋ายเหย่หันหน้ามามอง นักพรตเฒ่ารีบหัวเราะร่าทันใด “น้องป๋ายวางใจได้ร้อยพันดวงเลย ยังคงเป็นรูปลักษณ์ของป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่แห่งไพศาลเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องให้น้องป๋ายเอ่ยอะไรมาก ข้านักพรตเฒ่าทำอะไรซื่อสัตย์เชื่อถือได้ที่สุดแล้ว อีกทั้งจะต้องรอให้ผ่านไปอีกร้อยกว่าปีเสียก่อน ทางอารามเสวียนตูใหญ่ถึงจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนนอก”
ซูจื่อเคราดกกับหลิ่วชีและเฉาจู่ คนทั้งสามแทบจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเจ้าอารามผู้เฒ่าในเวลาเดียวกัน “ขอคนละภาพ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าบ่นพวกเขา “ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย จะพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร”
ส่วนเยี่ยนจั๋วนั้นใช้เสียงในใจเอ่ยกับต่งฮว่าฝู “หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วย?”
ต่งฮว่าฝูคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คำประจบปลิวว่อน ประเด็นสำคัญคือจริงใจอย่างมาก บทกวีของอาจารย์ป๋าย ถ้อยวลีของหลิ่วชี ภาพวาดของเฉาจู่ บทประพันธ์ของซูจื่อ ตราประทับของเจ้าอารามผู้เฒ่า ไม่มีอะไรหนีรอดไปได้แม้แต่อย่างเดียว”
……
ร้านยาตระกูลหยาง
หลี่หลิ่วทิ้งชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ไว้บนทะเล ให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้รับผิดชอบเฝ้าดูแลสะพานกลางมหาสมุทรที่เชื่อมต่อระหว่างสองทวีปต่อไป ส่วนตัวนางย้อนกลับมาที่บ้านเกิดเพียงลำพัง มาหาหยางเหล่าโถว
ผู้เฒ่าสูบยาสูบคำใหญ่พ่นควันโขมง หัวคิ้วขมวดแน่น บนใบหน้าแก่ชราเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ราวกับว่าด้านในได้ซุกซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากมาย อีกทั้งยังไม่เคยคิดจะระบายให้ใครฟัง
เมฆหมอกลอยอวลล้อมวนปกคลุมร้านยา ต่อให้ชุยฉานในทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจลอบมองที่แห่งนี้ได้
หลี่หลิ่วถาม “กุ้ยฮูหยินมาที่นี่แล้วหรือ?”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ
กุ้ยฮูหยินแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นั้นคือสหายเก่าแห่งตำหนักดวงจันทร์ในอดีต นางไม่ค่อยเหมือนกับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาจุติเกิดใหม่สักเท่าไร ในฐานะเผ่าพันธุ์ตำหนักดวงจันทร์แท้ดั้งเดิม หลังจากลงมายังโลกมนุษย์ เนื่องจากในอดีตหลี่เซิ่งได้ขอร้องเอาไว้ แม้ว่าสถานะของนางจะพิเศษอย่างมาก แต่กลับไม่ได้มีสภาพการณ์เหมือนพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลของภูเขาเจินอู่ ไม่ได้ถูกปฐมสำนักของสำนักการทหารแผ่นดินกลางกักขังเอาไว้ ดังนั้นตลอดหมื่นปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงกุ้ยฮูหยินจึงได้มองดูความขึ้นๆ ลงๆ ของโลกมนุษย์ด้วยสายตาเย็นชามาโดยตลอด ความดีความเลวของวิถีทางโลกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง เพียงแต่ว่าครั้งนี้กุ้ยฮูหยินมาเยือนที่แห่งนี้ ข้างกายมีคนพายเรือเฒ่าติดตามมาด้วย คือลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่เฉิน ดูเหมือนว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงของต้าหลีแล้วได้เจอกับบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งที่ชื่อว่าป๋ายหมาง อยู่ดีไม่ว่าดีก็ถูกซ้อมอย่างหนักมารอบหนึ่ง คาดว่าคนพายเรือเฒ่าคงรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว ปากจึงด่ากราดไปไม่น้อย ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด ถึงอย่างไรเจ้ามีปัญญาก็ซ้อมข้าให้ตายไปเลยสิ อีกทั้งคนพายเรือเฒ่ายังรักษากฎเก่าแก่ที่เคยมีชื่อเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านั่นคือ แค่ขยับปากไม่ขยับมือ ขยับมือถือว่าข้าแพ้
หลี่หลิ่วถามอีก “นางล่ะ?”
หยางเหล่าโถวกล่าว “หร่วนซิ่วไม่เหมือนกับเจ้า นางมาหรือไม่มาล้วนเหมือนกัน”
หลี่หลิ่วเปลี่ยนเรื่องพูด “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่เคยเดินออกไปจากที่นี่ ไม่แหกกฎเพื่อหลี่ไหว? จะดีจะชั่วก็ไปพบหน้ากันครั้งสุดท้ายเถอะ”
หลี่ไหวน้องชายและมารดาของหลี่หลิ่วล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังทำให้ผู้เฒ่าปวดหัว ฝ่ายแรกกลับทำให้หยางเหล่าโถวรักและเอ็นดู ดังนั้นโชควาสนาบางอย่างที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ก็เหมือนไม้ทำโลงศพที่หยางเหล่าโถวเคยพูดเล่นกับหลี่ไหว ล้วนถูกผู้เฒ่าโยนให้เจ้าลูกกระต่ายหลี่ไหวรวดเดียวหมด ผู้เฒ่าเหมือนกับคนแก่หง่อมในหมู่ชาวบ้านที่รู้ว่าอายุขัยของตนมาถึง จึงมองหลี่ไหวเป็นดั่งลูกหลานเด็กรุ่นหลังในตระกูลตัวเอง นอกจากนี้หลี่เอ้อ เจิ้งต้าเฟิง รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่รับมาใหม่อย่างซูเตี้ยน สือหลิงซาน ต่อให้บวกกับลูกศิษย์กลุ่มก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษสองตระกูลเฉา หยวนที่ถือเป็นขุนนางผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของต้าหลี กระทั่งที่ว่าแม้แต่หร่วนซิ่ว หลี่หลิ่ว และหม่าขู่เสวียน ล้วนไม่มีใครทัดเทียมหลี่ไหวได้ แล้วก็เพราะว่าหลี่ไหวไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ จึงกลับกลายเป็นว่าหยางเหล่าโถวยินดีมอบโอกาสมอบโชควาสนาให้โดยไม่คิดว่าเป็นภาระเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อคนบางคนชะตาดี ก็ย่อมต้องมีบางคนที่ชะตาไม่ดี นับแต่โบราณมาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกพันปีหมื่นปีก็จะยังคงเป็นเช่นนี้
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “มีอะไรต้องให้พูดมากอีก อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว”
แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่หลี่หลิ่วกลับสัมผัสได้ถึงความเสียใจของผู้เฒ่า ราวกับคนเฒ่าคนแก่ในตระกูลเล็กที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดที่ไม่อาจอยู่จนได้เห็นความรุ่งเรืองของลูกหลาน จึงรู้สึกเสียดาย เพียงแต่ว่ามาดของผู้เฒ่าวางอยู่ตรงนั้น จึงไม่อาจพูดอะไรได้มากนัก
หลี่หลิ่วนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวนอกห้อง พยายามอยู่เป็นเพื่อนผู้เฒ่าคนนี้ให้ได้มากที่สุด
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “ในที่สุดก็เริ่มมีความรู้สึกของมนุษย์บ้างแล้ว”
สิบนิ้วของหลี่หลิ่วสอดประสานกัน แหงนหน้ามองม่านฟ้า
บนภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียน วันนี้หร่วนฉงเจ้าสำนักทำอาหารโต๊ะใหญ่กับมือตัวเอง บุตรสาวหร่วนซิ่ว ลูกศิษย์ต่งกู่ สวี่เสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิง หลิวเสี้ยนหยาง ล้วนอยู่กันครบ
หลังจากที่ทางสำนักสร้างจวนขึ้นมาบนภูเขาลูกเก่าก็น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสที่ทุกคนมารวมตัวกันครบถ้วนเช่นนี้
หลิวเสี้ยนหยางคีบอาหารให้กับอาจารย์อย่างกระตือรือร้น ทางหนึ่งก็หันหน้าไปยิ้มกล่าวกับหร่วนซิ่วด้วยว่า “แม่นางซิ่วซิ่ว กินอาหารสำคัญที่สุดนะ”
หร่วนซิ่วคลี่ยิ้มบางๆ ขยับตะเกียบไม่ช้า
อันที่จริงพวกต่งกู่ต่างก็นับถือ ‘ศิษย์น้อง’ บนทำเนียบขุนเขาสายน้ำอย่างหลิวเสี้ยนหยางมาก ไม่ว่าอะไรก็ล้วนกล้าพูดกับอาจารย์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนกล้าทำ แม้แต่กับสตรีขายเหล้าในเมืองเล็ก หลิวเสี้ยนหยางยังกล้าเอามาพูดล้อหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์ หากเปลี่ยนมาเป็นต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียว ต่อให้มอบดีนี้มาให้ยืม พวกเขาก็ไม่กล้า อันที่จริงหากจะอิงตามลำดับก่อนหลังในการเข้ามาอยู่สำนักกันจริงๆ หลิวเสี้ยนหยางที่ในอดีตถูกสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปยืมตัวไปชั่วคราวก็ควรจะเป็นศิษย์พี่ของพวกเขาถึงจะถูก เพียงแต่ว่าหลิวเสี้ยนหยางผู้เกียจคร้านไม่สนใจเรื่องนี้จริงๆ พวกเขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก
หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้เฝ้าอยู่ที่ร้านตีเหล็กนอกภูเขาเพียงลำพัง ว่างงานอย่างแท้จริง นอกจากนั่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาแล้วก็มักจะไปนั่งยองอยู่ริมลำคลองหลงซวี หอบใบไม้กอบใหญ่เอาไปโปรยทิ้งในน้ำ มองดูเรือลำเล็กแต่ละใบเหล่านั้นล่องตามน้ำจากไปไกล มักจะไปนั่งอยู่ที่ริมฝั่งเพียงคนเดียว ตอนแรกก็ปล่อยกระบวนท่าหมัดหวังปาที่ท่วงท่าน่าเกรงขามก่อน จากนั้นจึงตวาดเสียงดังหลายที กระทืบเท้าแรงๆ แล้วตะเบ็งเสียงเอ่ยประโยคทำนองว่าอสนีบาตใต้ฝ่าเท้า ฝนบินผ่านนทีอะไรพวกนั้น แสร้งใช้มือหนึ่งทำมุทรากระบี่ อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังข้อศอก พึมพำประโยคว่าจงมารับคำสั่งบัดเดี๋ยวนี้ด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง ทำให้พวกใบไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำตั้งขึ้นมา แล้วก็พล่ามกลอนในตำราทำนองว่าหนึ่งใบไม้บินมาคลื่นเล็กบังเกิดอยู่อีกหลายคำ
กินข้าวบนภูเขาเรียบร้อยแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็เดินเรอลงจากภูเขาไปตลอดทาง รอกระทั่งเขากลับไปถึงร้านริมลำคลองก็เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว ระหว่างทางที่ผ่านเมืองเล็กได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้บอกเวลา คืนหนึ่งมีทั้งหมดห้าช่วงยาม ยามแรกที่หลิวเสี้ยนหยางได้ยินคือยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม)
คนตีฆ้องบอกเวลาเดินตรวจตรายามค่ำคืน บอกเตือนแก่คนบนโลกว่า พระอาทิตย์ขึ้นลุกมาทำงาน พระอาทิตย์ตกได้เวลาพักผ่อน อันที่จริงเมื่อก่อนเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้พิถีพิถันในเรื่องนี้
ผลคือเขาได้เห็นสหายคนหนึ่งมานั่งดื่มเหล้าอยู่ที่เก้าอี้ไม้ไผ่รออยู่ก่อนแล้ว คือใต้เท้าผู้ตรวจการงานเตาเผา เฉาเกิงซินที่มีชาติกำเนิดจากตรอกฉือเอ๋อร์เมืองหลวงต้าหลี ถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งขุนนางใหญ่สุดในบรรดาสหายที่หลิวเสี้ยนหยางคบหาด้วย
หลิวเสี้ยนหยางวิ่งตุปัดตุเป๋เหยาะๆ ไปตลอดทาง ผู้ตรวจการเฉาค้อมเอวไปหยิบกาเหล้าใบหนึ่งที่วางไว้ข้างเท้าขึ้นมา เดิมก็เก็บเอาไว้ให้หลิวเสี้ยนหยางอยู่แล้ว เขาโยนไปให้อีกฝ่ายเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หากปรากฎตัวช้ากว่านี้อีกหนึ่งเค่อ ข้าก็จะจากไปโดยไม่ลาแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางรับสุรามา นั่งลงด้านข้าง ยิ้มกล่าว “เลื่อนตำแหน่งแล้วหรือ?”
เฉาเกิงซินพยักหน้ารับ แล้วขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ พูดอย่างจนใจว่า “ถือว่าใช่กระมัง ยังคงเป็นเพื่อนบ้านกับคนแซ่หยวนอยู่เหมือนเดิม พอคิดถึงใบหน้าของเทพทวารบาลที่แสดงอารมณ์แตกต่าง แต่ยืนนิ่งไม่ขยับซึ่งได้เห็นมาตั้งแต่เด็กนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดใจแล้ว”
หลายปีที่ผ่านมานี้ผู้ตรวจการเฉาเป็นผู้ตรวจการเฉามาโดยตลอด ส่วนเจ้าคนที่เปลี่ยนจากนายอำเภอหยวนเป็นเจ้าเมืองหยวนคนนั้นกลับได้เลื่อนขั้นตั้งแต่เมื่อปีก่อน ได้ออกไปจากวงการขุนนางของจังหวัดหลงโจว ไปทำหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมครัวเรือนในที่ว่าการหกกรมเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี
ราชวงศ์มากมายมักจะสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองขึ้นมา อีกทั้งที่ว่าการของเมืองหลวงแห่งที่สอง ระดับขั้นมากสุดก็แค่ลดมาหนึ่งขั้น ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งขุนนางเหมือนกับเมืองหลวงหลัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสถานที่ที่พวกขุนนางผู้มีคุณูปการอายุมากใช้พักผ่อนในบั้นปลายชีวิต โดยมักจะถูกใช้ข้ออ้างว่า ‘เมืองหลวงสำรองไม่มีเรื่องยุ่งยาก’ มาขับไล่ให้ออกไปจากเมืองหลวง ไปรับหน้าที่ในเมืองหลวงแห่งที่สอง มีชื่อแขวนไว้ให้เป็นเกียรติ แต่กลับไม่มีหน้าที่ที่แท้จริง หรือไม่ก็เป็นพวกขุนนางในเมืองหลวงที่ถูกลดระดับขั้น ถือว่าทางราชสำนักพยายามรักษาหน้าตาไว้ให้อย่างเต็มที่แล้ว
เพียงแต่ว่าราชวงศ์ต้าหลีย่อมแตกต่างไปจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งชัยภูมิของเมืองหลวงแห่งที่สองหรือตำแหน่งขุนนาง ล้วนแสดงให้เห็นว่าสกุลซ่งต้าหลีให้ความสำคัญกับเมืองหลวงแห่งที่สองนี้มาก
ที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงแห่งที่สอง นอกจากเจ้ากรมที่ยังคงเลือกผู้เฒ่าที่มีความสุขุมหนักแน่นแล้ว รองเจ้ากรมของแต่ละฝ่ายล้วนเป็นขุนนางหนุ่มแน่นมากความสามารถอย่างพวกหยวนเจิ้งติ้งทั้งสิ้น
อีกทั้งกรมกระทรวงต่างๆ ของเมืองหลวงแห่งที่สองยังกุมอำนาจใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ากรมกลาโหมของเมืองหลวงสำรองที่เลือกให้เจ้ากรมในเมืองหลวงต้าหลีไปเป็นโดยตรง ถึงขั้นที่ว่ายังไม่ใช่คนที่กลุ่มขุนนางในราชสำนักคาดการณ์กันเอาไว้ด้วย แต่มอบให้แม่ทัพบู๊ทูตผู้ตรวจการบางคนมารับหน้าที่นี้ นี่พูดได้แค่ว่าแท้จริงแล้วอำนาจในการเชิญตัวและคัดเลือกของกรมกลาโหมได้ย้ายจากเมืองหลวงต้าหลีลงใต้ไปยังเมืองหลวงแห่งที่สองแล้ว อีกทั้งผู้อำนวยการกั๋วจื่อเจียนคนแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแห่งที่สองก็ยังมอบให้เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง
เฉาเกิงซินใช้เสียงในใจกล่าว “เกี่ยวกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าและสหายเจ้า เริ่มมีข้อมูลใหม่ๆ มาบ้างแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ จิบเหล้าหนึ่งอึก “ติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่ง”
ทางฝั่งของร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง สือโหรวคลอเพลงพื้นบ้านฉบับไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดมาจากแคว้นสู่โบราณ
เมฆขาวอยู่บนฟ้า เนินสูงพ้นพื้นราบ หนทางยาวไกล ขุนเขาพบสายน้ำ หวังว่าเจ้าจะยังไม่ตาย ยังได้กลับมาพบกันใหม่
ทุกวันนี้ในร้านมีลูกจ้างตัวน้อยมาช่วยงานเพิ่มอีกคนหนึ่ง พูดได้แต่กลับไม่ชอบพูด คล้ายกับคนใบ้น้อย ยามที่ไม่มีลูกค้า เด็กชายมักจะไปนั่งเหม่อบนธรณีประตูเพียงลำพัง สือโหรวกลับชอบ นางไม่เคยส่งเสียงเอะอะรบกวนเขา
ทุกวันเด็กชายจะต้องฝึกหมัดเดินนิ่งตรงตามเวลาตามจำนวน ราวกับเลียนแบบเผยเฉียนที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวอย่างไรอย่างนั้น เขาเองก็ต้องคัดตัวอักษรเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเด็กชายมีนิสัยดื้อร้น ไม่มีทางฝึกหมัดเกินมาหนึ่งหมัด เดินเกินไปหนึ่งก้าวเด็ดขาด และคัดหนังสือก็ไม่ยินดีเขียนเพิ่มแม้แต่ตัวเดียว ทำอย่างขอไปทีเท่านั้น เพื่อที่ว่าพอเผยเฉียนกลับมาแล้วเขาจะได้เอาท่าหมัดและกระดาษทั้งหลายมาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ส่วนกระดาษที่ใช้คัดตัวอักษรก็ล้วนถูกเด็กชายที่มีชื่อเล่นว่าอาหมานโยนใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ทุกวัน พอเต็มหีบแล้วก็จะย้ายเอาใส่ไว้ในกระบุงไม้ไผ่ใบใหญ่ตรงมุมห้อง ตอนที่สือโหรวทำความสะอาดห้องเคยค้อมเอวเหลือบมองกระบุงไม้ไผ่อยู่สองสามที เห็นตัวอักษรยึกยือเหมือนไส้เดือนเลื้อย เขียนได้แย่กว่าเผยเฉียนตอนเป็นเด็กมากนัก
สือโหรวชอบชีวิตที่เงียบสงบเช่นนี้มาก เมื่อก่อนเฝ้าร้านอยู่เพียงลำพัง บางครั้งก็จะรู้สึกว่าเงียบเหงาเกินไป มีอาหมานน้อยเพิ่มมาอีกคนก็กำลังดี ในร้านทั้งมีกลิ่นอายของมนุษย์มากขึ้น แต่ก็ยังคงเงียบสงบดังเดิม
ทุกวันนี้การค้าของเมืองเล็กรุ่งเรืองขึ้นทุกที สือโหรวจึงชอบซื้อพวกผลงานประพันธ์ส่วนตัว นิยายเรื่องเล่าแปลกพิสดารมาอ่านฆ่าเวลา หนังสือแต่ละเล่มล้วนเรียงทับซ้อนกันอยู่ในชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ บางครั้งอาหมานน้อยก็เปิดอ่านบ้างสองสามหน้า
วันนี้การค้าของที่ร้านธรรมดา สือโหรวกับอาหมานต่างคนจึงต่างอ่านหนังสือของตัวเอง เด็กชายยืนเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก แล้วยังต้องเขย่งเท้าถึงจะได้
เด็กชายพลันขยับบันทึกเล่มนั้นออกไปสองสามชุ่น ใช้นิ้วจิ้มไปบนหน้าหนังสือ สือโหรวก้มหน้าลงมองก็เห็นประโยคหนึ่งของปราชญ์ผู้ล่วงลับ
เริ่มเดิมมนุษย์ ฟ้าเชื่อมล่าง มนุษย์เชื่อมบน เช้าขึ้นฟ้า เย็นขึ้นฟ้า ฟ้าและคน เช้าพูดจา เย็นพูดจา
สือโหรวคลี่ยิ้มหวาน เพียงแต่รู้สึกว่าไม่เหมาะ ทุกวันนี้ตนมีรูปร่างอย่างไร นางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ จึงรีบเก็บสีหน้ากลับคืน เอ่ยอธิบายกับเด็กชายเสียงเบาว่า “พวกนายท่านเทพเซียนที่ขึ้นไปฝึกวิชาเซียนบนภูเขาทั้งหลาย ต่างก็เชื่อกันว่าเมื่อนานมากๆๆ มาแล้ว ฟ้าดินเชื่อมโยงถึงกัน เทพและมนุษย์อยู่อาศัยร่วมกัน จะว่าอย่างไรดีล่ะ…ยกตัวอย่างเช่น ก็เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราในทุกวันนี้ที่ไปมาหาสู่กันได้ เพียงแต่ว่าบางบ้านก็ธรณีประตูสูง ก็เหมือนกับบ้านบนถนนฝูลวี่และในตรอกเถาเย่ของเมืองเล็กที่คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ ต่อให้เคาะประตูก็ไม่มีคนตอบรับ ทว่าในตรอกฉีหลงของพวกเรา แน่นอนว่าธรณีประตูต้องไม่สูง เพียงแต่ว่าเส้นทางที่เชื่อมโยงฟ้ากับคนเข้าด้วยกันอยู่ที่ไหนกันแน่ เป็นอย่างไรกันแน่ ในหนังสือบอกไว้ว่าลี้ลับอย่างมาก บ้างก็บอกว่าเป็นหอบินทะยาน บ้างก็บอกว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ บ้างก็บอกว่าเป็นขุนเขาลูกหนึ่ง สรุปก็คือไม่มีคำกล่าวที่แน่ชัด”
เด็กชายพยักหน้า น่าจะฟังเข้าใจแล้ว
บนภูเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียน
หร่วนซิ่วเดินมาที่ริมหน้าผาเพียงลำพัง หันตัวกลับแล้วทิ้งตัวหงายหลังร่วงดิ่งลงไปจากหน้าผา ไล่สายตามองตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนหน้าผาเหล่านั้น สวรรค์สร้างเสินซิ่ว
——