กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 750.1 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด
เจียงซ่างเจินโน้มตัวมาด้านหน้า สายตาอ้อมผ่านเฉินผิงอันที่อยู่ตรงกลางไปยิ้มถามลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ “บัณฑิตท่านนี้มาจากสำนักศึกษาต้าฝูหรือ? มียศวิญญูชนแล้วหรือยัง?”
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวรีบลุกขึ้นยืนทันใด เดินลงบันไดสองสามขั้นมาประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “หยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษาต้าฝูคารวะเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง”
“เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว ข้าไม่ใช่บัณฑิตเสียหน่อย”
เจียงซ่างเจินนั่งลงกุมหมัดคารวะกลับคืน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้าใจในฉับพลัน “หยางผู่ พอจะมีความทรงจำอยู่บ้าง เป็นบุรุษที่พกไอ้จ้อนมาด้วย วันหน้าก็ถือว่าข้าคุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าแล้วนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกอย่างอดไม่อยู่ “พี่โจวเฝย ทุกวันนี้ชื่อเสียงดีเยี่ยมเลยนะ คงไม่ใช่ว่าขายตำรารักประโลมโลกไปจนถึงสำนักศึกษาแล้วหรอกนะ?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ “หลายปีมานี้เรื่องบนภูเขามีมากมาย ถ่วงรั้งเรื่องเป็นการเป็นงานไปไม่น้อย”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าสำนักผู้เฒ่า?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ให้เป็นสุนัขเฝ้าบ้านสามปียังรังเกียจเลย ข้าผู้นี้หน้าบาง ไม่อาจทนรับการถูกคนชี้หน้าด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้ ก็เลยยกตำแหน่งให้เจ้าเด็กเหวยอิ๋งผู้นั้น”
ก่อนที่เจียงซ่างเจินจะปิดด่านได้ปลดระวางตำแหน่งเจ้าสำนักในศาลบรรพจารย์ที่ทุกวันนี้แทบจะมีแต่คนโฉมหน้าใหม่หมด เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยกในทุกวันนี้ก็คือเจ้าของยอดเขาจิ่วอี้ในอดีต ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน เหวยอิ๋ง ส่วนเหวยอิ๋งนั้นก็ถือโอกาสสละสถานะเจ้าสำนักเจินจิ้ง ยกตำแหน่งให้กับผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวเหล่าเฉิง
ดังนั้นหยางผู่แห่งสำนักศึกษาถึงได้เรียกว่า ‘เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง’
แน่นอนว่าอายุที่แท้จริงของเจียงซ่างเจินก็ไม่ถือว่าหนุ่มแล้วจริงๆ
หลังจากยืดเอวตรงแล้ว หยางผู่ก็เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ศึกษาหาความรู้ยังตื้นเขิน ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์ และผู้เยาว์ก็ยิ่งไม่กล้าบอกว่าตัวเองคุ้นเคยกับเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง”
เจียงซ่างเจินเอ่ยสัพยอก “ยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์อีกหรือ? สำนักศึกษาต้าฝูฝังกลบคนมีพรสวรรค์เสียแล้ว หากจะให้ข้าบอกนะ มอบตำแหน่งวิญญูชนให้เจ้าก็ยังเหลือแหล่ วันหน้าข้าจะช่วยคุยกับเจ้าขุนเขาเฉิงให้เจ้าเอง หากหน้าตาของข้ายังไม่ใหญ่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็ลากเอาเจ้าขุนเขาเฉินข้างกายข้าผู้นี้ไปด้วย เขากับเจ้าขุนเขาเฉิงเป็นสหายเก่าแก่กันแล้ว แล้วยังเป็นบัณฑิตเหมือนกันด้วย คำพูดของเขาต้องได้ผลแน่นอน”
เฉินผิงอันไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
หยางผู่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย รีบคารวะอีกครั้ง “เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง ผู้เยาว์หยางผู่มาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่หาใช่เพื่อหวังในชื่อเสียงจอมปลอมไม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่สามปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่เคยมีผลงานใดๆ ขอเจ้าสำนักผู้เฒ่าอย่าได้ทำเช่นนี้เลย ไม่อย่างนั้นหยางผู่คงได้แต่รีบจากไปทันที ขอให้ทางสำนักศึกษาช่วยเปลี่ยนคนมาเฝ้าที่นี่แทน”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ถือเสียว่าได้ยินเรื่องขำขันก็แล้วกัน อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง เปลี่ยนคนมาอยู่ที่นี่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกจริตข้ากับเจ้าขุนเขาเฉิน เจ้าโง่น้อยอย่างเจ้าก็ช่างโง่จริงๆ ไม่รู้หรือว่าจากไปในเวลานี้ สำหรับเจ้าแล้วทุกสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านั้นเท่ากับว่าเสียเปล่า? หากรายงานของสำนักกุยหยกไม่มีข้อผิดพลาดล่ะก็ ในช่วงเวลาที่ทางสำนักยังไม่ได้เปิดปาก เจ้าก็เป็นฝ่ายมาอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ด้วยตัวเอง ตำแหน่งของเจ้าขุนเขาเฉิงยังไม่ทันนั่งได้มั่นคง จึงไม่อาจวิ่งมาช่วยหนุนหลังให้เจ้าทึ่มอย่างเจ้าที่นี่ได้ หากเวลานี้เจ้าถอยออกไปจากประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง ก็เท่ากับว่าทำตัวเป็นคนโง่อยู่หลายปี ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรไปแม้แต่นิดเดียว แล้วยังทำให้ชื่อเสียงของตัวเองด่างพร้อยอีกด้วย พูดถึงแค่พรรคใหญ่ตระกูลเซียนบนภูเขาสามแห่งนี้ก็ต้องจำชื่อของเจ้าหยางผู่ได้แน่นอน ดังนั้นฟังคำแนะนำข้าสักครั้ง จงอยู่ข้างกายของพวกข้าสองคนแต่โดยดี สงบใจดื่มเหล้าชมเรื่องสนุกไปเถอะ”
หยางผู่ยังอยากจะพูดอะไรอีก
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ทางฝั่งของสำนักศึกษา นับตั้งแต่เจ้าขุนเขารองเจ้าขุนเขาไปจนถึงลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ อันที่จริงทุกคนล้วนกำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ หยางผู่อาจไม่สนใจอนาคตของตัวเองได้ เพราะถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย แต่คนมากมายที่เลื่อมใสหยางผู่จากใจจริงจะต้องรู้สึกอยุติธรรมแทนเจ้า จะต้องเดือดดาลอย่างมากแทนเจ้า จะต้องรู้สึกว่าคนดีไม่ได้รับผลดีตอบแทนจริงดังคาด เหตุผลข้อนี้ ไม่สู้คิดคำนึงให้มากๆ คิดเข้าใจแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ถึงเวลานั้นจะอยู่หรือจะจากไป อย่างน้อยข้ากับเจียงซ่างเจินก็ยังคงมองเจ้าเป็นบัณฑิตที่แท้จริงคนหนึ่ง ยินดีต้อนรับเจ้าไปเป็นแขกที่สำนักกุยหยกหรือไม่ก็ภูเขาลั่ว…สำนักเจินจิ้งทุกเมื่อ”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเจ้าขุนเขามีความอดทนเช่นนี้ ข้าก็วางใจไม่น้อยแล้ว”
การเข่นฆ่าสามครั้ง เจียงซ่างเจินได้เห็นแค่ครั้งสุดท้าย ดังนั้นจึงยังหวาดผวาไม่คลาย ไม่เพียงแค่ว่าทุกวันนี้เวทกระบี่และวิชาหมัดของเฉินผิงอันล้วนสูงส่งขึ้นมากแล้ว แต่ยังกังวลว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่ไม่ได้เจอกันมานานประมาณยี่สิบปีผู้นี้จะเปลี่ยนไปเป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนไปเป็นคนบนภูเขาประเภทที่เจียงซ่างเจินคุ้นเคยมากที่สุด
เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบที่นอนรับลมเย็นอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกล สีหน้าของเขาเฉยเมย ดวงตามืดดำ “จะมีหรือไม่มีความอดทน ก็ขึ้นอยู่ว่าใช้กับใคร”
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอัน “เจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาต้าฝูก็คือรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดเจ้า เพียงแต่ว่าครั้งนี้เนื่องจากเป็นเจ้าขุนเขาของหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ถึงได้ใช้ชื่อจริงของเผ่าปีศาจเป็นครั้งแรก ชื่อว่าเฉิงหลงโจว ถึงอย่างไรเฉิงหลงโจวก็มีชาติกำเนิดจากเจียวหลงซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์น้ำ ทำหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจึงชักนำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์บนภูเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ซ่งเหอฮ่องเต้ต้าหลีต้องใช้ความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาไปไม่น้อย นี่ยังเป็นผลลัพธ์จากในรายงานขุนเขาสายน้ำที่ถูกศาลบุ๋นแผ่นดินกลางสั่งห้ามมาห้าปี ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ของไพศาลในเวลานี้ก็คงเหลือแค่การทะเลาะถกเถียงของผู้คนจากแต่ละฝ่ายเท่านั้น นี่จะสูญเสียช่วงเวลาดีๆ มากมายไปอย่างเสียเปล่า จะถ่วงรั้งเรื่องเป็นการเป็นงานไปเยอะมาก”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ในที่สุดข้อสงสัยข้อหนึ่งในใจก็คลายออก เหตุใดศาลบุ๋นถึงได้เลือกที่จะห้ามผลิตรายงานนานถึงห้าปี
แม้ว่าหยางผู่ลัทธิขงจื๊อจะไม่รู้ว่าเทพเซียนบนยอดเขาสองคนนี้คุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่เขากลับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ตลอด เพราะถึงอย่างไรบนพื้นเบื้องหน้าตนก็ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบที่เป็นตายไม่รู้ชัดนอนอยู่!
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผู้อาวุโสสองคนอย่างพวกท่าน ต่อให้มีเวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้า สถานะโดดเด่นแค่ไหน แต่จะไม่ใส่ใจสักเนิดเลยจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันผงกปลายคางชี้ไปยังสตรีที่อยู่บนพื้น “เป็นมาอย่างไร?”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ก่อนจะตอบคำถาม ให้ข้าได้ถามคำถามเล็กๆ ข้อหนึ่งก่อน เจ้าออกแรงไปกี่ส่วน? หากเปลี่ยนเป็นข้า สังหารนางให้ตายอย่างสิ้นซาก พลังจิตต้นกำเนิดสลายหายไปสิ้น ก็คือเรื่องของสองสามกระบี่ แต่ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ตีนางให้สลบ ยิ่งดึงเอาจิตวิญญาณของนางไปกักไว้ในช่องโพรงแต่ละแห่ง แล้วเหมือนถูกกองทัพของเจ้าสกัดขวางประตูใหญ่เอาไว้เช่นนี้ บอกตามตรง ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะทำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ขอบเซียนเซียนเหรินทั่วไปเลย เจ้าต้องรู้ว่าสตรีผู้นี้มีความสามารถในการต่อยตีธรรมดา ทว่าความสามารถในการหลบหนีกลับไม่น้อย เชี่ยวชาญเวทหลบหนีห้าธาตุถึงขั้นสูงสุด ขอแค่ไม่ถูกสกัดกั้นฟ้าดิน นางก็หนีไปได้อย่างสบายๆ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเดียวกันก็อย่าหวังว่าจะฆ่านางได้ ทำให้นางบาดเจ็บสาหัสยังยากเลย”
“บอกได้ยากว่ากี่ส่วน”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ใช้เสียงในใจเอ่ยต่อไปว่า “แต่สนามรบเมื่อครู่นี้ถูกข้าสร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาสกัดกั้นไว้ชั่วคราวจริงๆ จากนั้นก็ใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ เขียนยันต์…กลอนคู่ปีใหม่ลงบนประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณสิบหกแห่งของนาง ขอแค่กล้าฟื้นขึ้นมาก็เท่ากับว่าต้องการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ ถามหมัดของผู้ฝึกยุทธกับข้า ดังนั้นเวลานี้นางจึงจำต้องแกล้งตายต่อไป ทว่าก่อนหน้านั้นข้าค่อนข้างจะมีเหตุผล ให้นางใช้เวทลับส่งข่าวไปแจ้งแก่ศาลบรรพจารย์ ขอความช่วยเหลือมาที่ภูเขาไท่ผิงและมาเล่นงานข้า”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดันปิ่นประการังสีชาดด้ามหนึ่งเอาไว้ “แน่นอนว่านางค่อนข้างไร้เดียงสา ไม่ว่าจะเดินอยู่ล่างภูเขาหรือประสบการณ์ในการเข่นฆ่าก็ล้วนเป็น…ห้าขอบเขตกลางทั้งนั้น ไม่รู้จริงๆ ว่านางเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างไร โชคดีเกินไปหรือ?”
เจียงซ่างเจินนวดคลึงหว่างคิ้ว “น่าสงสารพี่หญิงเจี้ยงซู่ของพวกเรา ตกมาอยู่ในกำมือของเจ้า นอกจากจะรักษาเรือนกายบริสุทธิ์ไร้ราคีไว้ได้แล้ว ก็ไม่เหลืออะไรอีก คาดว่าถึงท้ายที่สุดพอพี่หญิงเจี้ยงซู่ลองมาย้อนคิดดู คงรู้สึกว่าไม่สู้ไม่รักษาเนื้อรักษาตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องยังจะดีกว่า”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใช้คาถาหลอมวัตถุมาคลายตราผนึกของขุนเขาสายน้ำบนวัตถุแทนตัวชิ้นนั้นอย่างระมัดระวังต่อไป ยามที่ผ่าภูเขาก็รู้แล้วว่าสำนักของผู้ฝึกตนหญิงห้าขอบเขตบนผู้นี้คือที่ใด ประเด็นสำคัญคือกระจ่างแจ้งถึงที่พึ่งที่แท้จริงของนาง แล้วนับประสาอะไรกับที่ปิ่นปักผมหยกชิ้นนี้คือสมบัติอาคมชั้นสูงที่วัตถุดิบดีเยี่ยม มีค่า มีค่าอย่างมาก
เจียงซ่างเจินอดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หัวเราะเสียงดังลั่น ไม่พูดด้วยเสียงในใจอีกต่อไป “นางชื่อหันเจี้ยงซู่ สำนักค่อนข้างจะแปลกประหลาด อยู่ในใบถงทวีปอำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลทั่วไปต้องเงยหน้ามองเจ๋อเซียนหล่นลงพื้น แต่ผู้ฝึกตนของสำนักนางกลับเคยชินในการออกเดินทางไกลท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาล กระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ พอก่อหายนะแล้วก็เข้าไปหลบในพื้นที่มงคล เทพไม่รู้ผีไม่เห็น”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองปิ่นปะการัง ในใจพลันกระจ่างแจ้ง ยิ้มเอ่ยว่า “นางมาจากสำนักว่านเหยาของพื้นที่มงคลสามภูเขาหรือ? มิน่าเล่าความสามารถไม่มาก แต่นิสัยกลับเจ้าอารมณ์ไม่เบา ความกล้าก็ยิ่งทำให้คนนับถือ”
ในบรรดาเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน ปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าหนึ่งในนั้นมีการบันทึกถึงสถานที่แห่งนี้ อำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่าอารามกวานเต๋าของตงไห่เสียอีก ในรัศมีหมื่นลี้โดยรอบพื้นที่มงคลสามภูเขา แม้ว่าจะมีชื่อว่าสามภูเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแค่เกาะบนมหาสมุทรเพียงแห่งเดียว เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในภูเขาเทพสามลูกของยุคบรรพกาล มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งเฝ้าพิทักษ์ แล้วยังมีคำพูดประโยคหนึ่งที่คล้ายกับการพยากรณ์ว่า เสียงกีบโคเหยียบปะการังแตก เฉินผิงอันเดาว่าเกินครึ่งคงเป็นเพราะพื้นที่มงคลสามภูเขาเกิดความขัดแย้งกับเจ้าอารามผู้เฒ่าของพื้นที่มงคลดอกบัวที่เป็น ‘จมูกโคหน้าเหม็น’ สุดท้ายสำนักว่านเหยาไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ นี่ปกติอย่างมาก หมื่นปีมานี้ โลกมนุษย์มีขอบเขตสิบสี่สักกี่คนกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งสันติบสุขที่มีแต่จะยิ่งมีน้อย มีเพียงกลียุคมาถึง ดั่งกระแสน้ำถาโถม น้ำขึ้นแผ่นดินจมลง น้ำลดหินผุด ถึงอาจจะมีเพิ่มมาอีกสักสามสี่คน ยกตัวอย่างเช่น ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ มหาสมุทรความรู้โจวมี่ หรือยกตัวอย่างเช่นอาเหลียง ชุยฉาน
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “สตรีผู้นี้อาศัยว่าเป็นทายาทของหันอวี้ซู่ขอบเขตเซียนเหริน อีกทั้งในประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยายังเคยมีบรรพบุรุษเปิดขุนเขาที่เป็นขอบเขตบินทะยาน ลูกหลานรุ่นหลังจึงสามารถปิดประตูทำตัววางอำนาจอยู่บนทำเนียบขุนเขาสายน้ำได้ หากเป็นคนที่มีคุณสมบัติจะออกจากสำนักไปฝึกประสบการณ์ ตาเฒ่าหันนั้นรู้ว่าอารามกวานเต๋าของใบถงทวีปไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ กังวลว่าจะทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าของพวกเราท่านนั้นเห็นเข้าแล้วหงุดหงิดรำคาญใจ ทุกๆ ร้อยปีสำนักว่านเหยาถึงจะมีคนสองสามคนออกมาจากพื้นที่มงคล ส่วนใหญ่แล้วตบะล้วนไม่แย่ ดังนั้นจึงถูกเลี้ยงดูอย่างเอาใจจนชินแล้ว ถึงอย่างไรพี่หญิงเจี้ยงซู่ก็เป็นบุตรสาวสายตรง ดังนั้นจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอสตรีอย่างดี อีกทั้งก่อนที่บรรพจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นจะละสังขารจากโลกนี้ไป ก็ได้อาศัยคุณงามความดีที่สะสมมาทำข้อตกลงอย่างหนึ่งร่วมกับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ไม่อนุญาตให้แพร่งพรายข้อมูลของพื้นที่มงคลและสำนัก ดังนั้นสำนักกุยหยกและสำนักใบถงจึงเห็นแก่หน้าของพวกเขาอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันถาม “ศึกใหญ่ครั้งนี้?”
เจียงซ่างเจินเอ่ย “ในช่วงสุดท้ายของสงคราม สำนักว่านเหยาออกแรงไปไม่น้อย เงินทองของจริงก็ถูกควักออกมาถึงครึ่งหนึ่งของสมบัติที่มีอยู่ แต่ทางฝ่ายผู้ฝึกตนกลับไม่ได้รับความเสียหายมากนัก”
เฉินผิงอันยิ้มบาง “สายตาดี มีความกล้าหาญ มิน่าเล่าถึงกล้าเกิดความคิดต่อภูเขาไท่ผิง”
เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าหมดแล้ว เอากาเหล้าที่ว่างเปล่าวางไว้ด้านข้าง สองมือกุมหมัด ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง นอนอยู่บนขั้นบันได ใช้เสียงในใจเอ่ยต่ออีกว่า “ก็นั่นน่ะสิ น้ำใจครั้งนี้ อย่าว่าแต่สำนักศึกษาที่ต้องยอมรับไว้เลย ก่อนหน้านี้หันเซียนเหรินแห่งสำนักว่านเหยาไปเยี่ยมเยือนยอดเขาเสินจ้วน สำนักกุยหยกของข้า เอาเป็นว่าข้าไปซ่อนตัวเพราะอยากอยู่อย่างสงบ เหวยอิ๋งจึงต้องฝืนใจยิ้มแย้มต้อนรับและเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายต่อหน้า ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า สำนักว่านเหยาคิดอยากจะมายึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งของใบถงทวีปนอกพื้นที่มงคลสามภูเขา แล้วเลือกภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ต่อให้สำนักศึกษาต้าฝูไม่ตอบตกลง ก็ไม่มีทางปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อสำนักว่านเหยาชะงักงันเกินไปนัก”
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ใช้เสียงในใจอีกต่อไป กลับกันยังขยับดวงจิตคลายตราผนึก ‘กลอนคู่’ ครึ่งหนึ่งที่อยู่หน้าประตูช่องโพรงลมปราณสำคัญใหญ่ๆ ของหันเจี้ยงซู่ออก แล้วถึงได้หัวเราะหยันเอ่ยว่า “โชคดีที่ทุกวันนี้สั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำ ไม่อย่างนั้นหากมีรายงานสักฉบับแพร่ออกไป สำนักว่านเหยางั้นรึ? สำนักว่านเยา (หมื่นปีศาจ) ถึงจะถูก ไม่แน่ว่าอาจเป็นหมากที่กระโจมเจี่ยจื่อทิ้งไว้ในใบถงทวีปก็เป็นได้ ถึงได้เกลียดแค้นภูเขาไท่ผิงถึงเพียงนี้ ใจคิดแต่อยากจะช่วงชิงสถานที่แห่งนี้ จะได้สะบั้นควันธูปของภูเขาไท่ผิงให้ขาดสิ้น แต่ก็บอกว่า ‘ไม่แน่’ นี่นะ เจ้าสำนักหันแค่อธิบายเหตุผลกับใครหรือยอมรับผิดกับใครก็ได้แล้ว แค่เอ่ยขอโทษในรายงาน ตั้งใจอธิบายเรื่องหนึ่งให้กระจ่าง บอกไปว่าสำนักว่านเหยาไม่มีทางมีความเกี่ยวข้องกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยแม้แต่นิดเดียวก็ได้แล้ว”
บทสนทนาระหว่างเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงกับ ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’ ผู้นี้ หยางผู่ได้ยินอย่างชัดเจน ฟังมาถึงประโยคสุดท้าย บัณฑิตก็ถึงกับเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ไม่รู้ว่าร้อนเพราะดื่มเหล้าหรือเพราะตกใจกันแน่
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถาม “หยางผู่ ต่อให้เจ้ารู้ว่าการกระทำนี้เป็นไปได้ สามารถปกป้องซากปรักของภูเขาไท่ผิงไว้ได้อย่างผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่คิดจะทำอยู่ดีใช่หรือไม่?”
หยางผู่ปลุกความกล้าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “นั่นไม่ใช่การกระทำของวิญญูชน ผู้เยาว์ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน”
ปิ่นปะการังสีแดงสดที่อยู่ระหว่างนิ้วมือของเฉินผิงอันเปล่งแสงวาบ แล้วถูกเฉินผิงอันเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว จริงดังคาด หันเจี้ยงซู่เรียกบิดาของนางมาแล้ว
เซียนเหรินหันอวี้ซู่? นึกออกแล้ว
เฉินผิงอันตบไหล่ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งสำนักศึกษา จากนั้นก็ดีดนิ้วหนึ่งที ‘ฉีก’ กลอนคู่บนหน้าประตูช่องโพรงลมปราณของนางที่ปราณกระบี่ทิ้งไว้ออกครึ่งหนึ่ง มองไปยังผู้ฝึกตนหญิงหันเจี้ยงซู่ “ได้ยินหรือยัง พวกเจ้าต้องขอบคุณบัณฑิตเช่นนี้ เรื่องราวหลายอย่างถูกพวกเจ้ายึดครองความได้เปรียบไปแล้วยังไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาไม่ฉลาดอย่างพวกเจ้า เพียงแต่วิญญูชนมีหลักการในการดำรงตน เรื่องใดที่ควรทำจึงจะทำ เรื่องใดที่ไม่ควรทำจะไม่ทำ ทำในเรื่องที่พวกเจ้าไม่ยินดีจะทำ พวกเจ้ารู้สึกว่าโง่เขลา พอไม่ทำ พวกเจ้าก็ยังรู้สึกว่าโง่เง่า แอบหัวเราะเยาะ แอบหัวเราะเยาะก็แอบหัวเราะเยาะไปเถิด อันที่จริงก็ไม่เป็นไร แต่สรุปก็คือวันหน้าอย่าได้ทำแบบวันนี้อีก หัวเราะเสียงดังขนาดนั้นก็เลยได้เจอข้าไม่ใช่หรือ? หากไม่เป็นเพราะข้ากังวลว่าจะซ้อมคนผิด เวลานี้เจ้าก็น่าจะได้แขวนภาพเหมือนไว้ในศาลบรรพจารย์ของสำนักว่านเหยา กินควันธูปไปทุกปีแล้ว”
หันเจี้ยงซู่ลุกขึ้นนั่งเงียบๆ สายตาของนางหลุบลงต่ำ ทำให้คนมองเห็นสีหน้าได้ไม่ชัดเจน
นางไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตอะไรไว้ แล้วก็ไม่ได้จ้องตากับเจ้าคนใจดำอำมหิตผู้นั้น ถึงขั้นไม่ได้คิดจะหนีไปจากที่นี่