กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 750.4 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด
เจียงซ่างเจินรับเหล้ากานั้นมา แต่ปากกลับพูดบ่นว่า “ไม่ดีกระมัง? เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าไม่เห็น ทำลายความปรองดองจะตายไป หันอวี้ซู่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนเหรินที่มีประสบการณ์มากเชียวนะ หากข้าเป็นแค่ผู้ถวายงานของบ้านเจ้า ลำพังตัวข้าแค่คนเดียว สู้ก็คือสู้ ถึงอย่างไรก็จะเล่นงานเขาให้ร่อแร่ปางตายจริงๆ ส่วนข้าก็แกล้งทำเป็นหนีเอาชีวิตรอด แต่เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งจะเปิดเผยรากฐานของข้าออกมา เจียงซ่างเจินคนเดียวหนีได้ แต่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนกลับหนีไม่ได้นะ…ดังนั้นจะปล่อยให้การต่อสู้ครั้งนี้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเอาเหล้ามาสองกา แล้วก็ให้ข้าเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งด้วย!”
เฉินผิงอันโยนเหล้าไปให้เจียงซ่างเจินอีกกา ยิ้มเอ่ย “มีอะไรไม่ดีเล่า ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ในเมื่อหันอวี้ซู่รู้จักเจ้า ก็มานั่งตรงนี้ดื่มเหล้าของเจ้าไปแล้วกัน”
ที่แท้คือยกหันเจี้ยงซู่ให้เจียงซ่างเจิน ส่วนหันอวี้ซู่ เขาจะเป็นคน ‘ไม่ตีกันไม่ได้รู้จักกัน’ เอง
เพิ่งพูดขาดคำ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ที่แท้กริชเฉาจื่อคู่หนึ่งได้ไถลออกมาจากชายแขนเสื้อแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้เปลี่ยนใจ คล้ายละทิ้งสถานะของ ‘เฉาโม่’ ไป
เขาเก็บกริชใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นจึงม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นเบาๆ เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ พันหมื่นลี้ของขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ก็เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าฤดูใบไม้ผลิระเบิดแตกเป็นทอดๆ บอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ฟ้าดินต้อนรับวสันต์
ในทะเลสาบหัวใจ
ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นคล้ายมีจดหมายฉบับหนึ่ง
เป็นอย่างที่ชุยฉานว่าไว้จริงๆ สมองของเฉินผิงอันไม่ดีมากพอ ดังนั้นจึงเป็นดั่งเงามืดใต้โคมไฟ
กระทั่งมาถึงภูเขาไท่ผิง มาเจอกับเจียงซ่างเจิน ถึงได้ ‘ไขความฝัน’ ได้
จดหมายฉบับนั้นลอยอยู่ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป
เวลาเดียวกันนั้นดวงตะวันจันทราที่เคียงคู่กันอยู่บนนภากาศของสภาพจิตใจก็คล้ายว่ามีม้วนภาพแห่งกาลเวลามากมายปรากฎขึ้นมา เฉินผิงอันถึงขั้นไม่อาจเปิดออกได้ ยิ่งไม่อาจไปแตะต้อง
ทว่าจดหมายฉบับนั้น เฉินผิงอันปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านมานานหลายปีถึงจะเปิดออก
‘ไม่เพียงแต่ข้าที่ถูกขังอยู่ในหออ่านตำรา ไม่เพียงแต่เจ้าที่เดียวดายอยู่ในตรอกหนีผิง อันที่จริงบนเส้นทางของการเติบโต เด็กทุกคนต่างก็พยายามเบิกตาให้กว้าง มองโลกไม่คุ้นเคยที่อยู่ข้างนอก บางทีอาจจะค่อยๆ คุ้นชินไปเอง และบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยไปชั่วชีวิต
เฉินผิงอัน เจ้ามองมานานเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมองอย่างละเอียดเกินไป จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจจะเหนื่อยล้าโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่สู้ลองย้อนนึกดู ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเจ้าจนถึงบัดนี้ เจ้าได้นอนหลับไปกี่ปี แล้วได้ฝันดีไปกี่ครั้ง? ควรจะหันมามองตัวเองบ้างได้แล้ว ให้ตัวเองมีชีวิตที่ผ่อนคลายสักหน่อย ลำพังเพียงแค่รู้จักเข้าใจจิตดั้งเดิมของตัวเอง ไหนเลยจะพอ หลักการเหตุผลดีๆ ในใต้หล้า หากเพียงแค่ทำให้คนเหมือนเด็กที่ต้องสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร นั่นจะได้อย่างไร? หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์และความงดงามในโลกที่ทำให้บัณฑิตอย่างพวกเราพยายามไขว่คว้าแสวงหาชั่วชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จะเป็นสิ่งที่ดีแต่จะทำให้คนรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำได้อย่างไร?
เฉินผิงอัน เจ้าอายุยังน้อย ชีวิตนี้ต้องลองเป็นคนบ้าระห่ำดูบ้าง อีกทั้งต้องรีบเป็นเสียแต่เนิ่นๆ ต้องอาศัยตอนที่ยังอายุน้อยเอ่ยประโยคที่บ้าระห่ำ ทิ้งถ้อยคำอาฆาตดุดัน สร้างวีรกรรมที่ไม่ต้องจงใจปิดบังแก่ฟ้าดินแห่งนี้สักหลายๆ ครั้ง อีกทั้งไม่ว่าจะพูดจาหรือลงมือทำอะไร ตอนที่ออกหมัดออกกระบี่ก็ต้องเชิดหน้าขึ้นสูง ต้องเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม หยิ่งยโสทระนงตน เรื่องของการศึกษาหาความรู้ต้องเรียนรู้จากฉีจิ้งฉุน เรื่องของการลงมือต้องเรียนรู้เอาจากจั่วโย่ว
ต้องยืนหยัดที่จะปฏิบัติดีต่อโลกใบนี้ แล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติดีกับตัวเองให้เป็น ต้องให้พวกเด็กๆ ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเจ้า ไม่เพียงแต่เรียนรู้ที่จะปฏิบัติดีต่อคนอื่น อยู่ร่วมกับโลกใบนี้อย่างกลมเกลียวปรองดอง ยังต้องให้พวกเขาเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งอย่างแท้จริง เป็นคนดี นอกจากตัวเองจะสบายใจแล้ว ยังจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนอย่างจริงแท้แน่นอน
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการเดินบนมหามรรคาที่เจ้าควรจะเดินอย่างแท้จริง
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความฝันแรกในสามความฝันที่แท้จริง ส่วนสามความฝันก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้เจ้าได้บรรลุคำว่าปลอมในความฝันที่แท้จริง ฝันนี้ต่างหากถึงจะให้เจ้าที่อยู่ในฝันปลอมไปแสวงหาคำว่าจริง ต้องการให้เจ้าได้เห็นความจริงในความฝัน รู้จักตัวเองที่แท้จริงยังไม่พอ ยังต้องรู้จักฟ้าดินที่แท้จริงด้วย หลังจากนี้ยังมีอีกสองความฝัน จงไขความฝันต่อไป ศิษย์พี่ปกป้องมรรคามาถึงตรงนี้ ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ถือเสียว่าช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้แทนอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย
หวังว่าวิถีทางโลกในอนาคต สักวันหนึ่ง คนวัยชราได้มีอายุยืนยาว คนวัยกลางคนได้อุทิศตน คนวัยเยาว์ได้เติบโต ขอศิษย์น้องเล็กช่วยมองวิถีทางโลกที่เป็นเช่นนั้นแทนศิษย์พี่ด้วย วันนี้ทุกความคิดของชุยฉาน ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีพันปีจะดังก้องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชุยฉานก็ยังคงไร้ความละอายใจ ไร้ความเสียดาย ไร้ความเสียใจ สายของเหวินเซิ่งมีข้าชุยฉาน ไม่ได้เป็นไปยังไง มีเจ้าเฉินผิงอัน ดีมาก ดีจนดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี ความคิดของฉีจิ้งชุนยังคงไม่พอ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ศิษย์พี่ขออวยพรล่วงหน้าให้วันหนึ่งศิษย์น้อง…เอ๊ะ? ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งแม่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าแล้วหรือ…’
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าเบาๆ หนึ่งครั้ง
ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ยามตื่นเหมือนฝัน ท่ามกลางฝันหวังแสวงหาความจริง
มิน่าเล่าออกมาจากถ้ำแห่งโชควาสนาของเกาะหลูฮวาได้ไม่นานเท่าไรก็มีเรือข้ามฟากไฉ่อีลำหนึ่งผ่านทางมาพอดี แล้วยังไปที่ท่าเรือชวีซานก่อน ไม่ใช่ไปที่สำนักฝูจี จากนั้นก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าเฉินผิงอันจะต้องมาพบเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกก่อน สุดท้ายยังยินดีมาเยือนภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ไม่ว่าเจียงซ่างเจินจะพูดไขความลับหรือไม่ ชุยฉานก็รู้สึกว่าเฉินผิงอันสามารถคิดไปถึงประโยคที่ว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ได้เอง เงื่อนไขก็คือเฉินผิงอันต้องไม่โง่เกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชุยฉานก็เคยอธิบายคำศัพท์คำว่า ‘ฉิงหล่าง’ ให้เฉินผิงอันฟังด้วยตัวเองมาก่อน เดิมทีนั่นก็คือการเตือนอย่างหนึ่ง คงเป็นเพราะในสายตาของซิ่วหู่ ตนโกงให้ถึงขนาดนี้แล้ว หากเฉินผิงอันมาถึงภูเขาไท่ผิงแล้วยังเลอะเลือน สติปัญญายังไม่เปิดกว้าง ก็คงต้องเรียกว่าโง่เง่าจนไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ
เพียงแต่เหตุใดถึงพลาดไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันกึ่งหลับกึ่งตื่น จิตใจจมจ่อมอยู่ภายใน ปราณโชติช่วงของขอบเขตสิบ ผู้คนและทัศนียภาพในจิตใจเปลี่ยนจากภาพลายเส้นขาวดำกลายมาเป็นภาพสีสันสดใส
เมืองเล็กบ้านเกิด แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป อุตรกุรุทวีป
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของใต้หล้าที่สันติสุขนี้ ใต้หล้าสองแห่งที่เชื่อมโยงถึงกัน โชคชะตาบู๊แต่ละสายพากันมาถึงภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปอย่างพร้อมเพรียง
คนชุดเขียวกลายร่างเป็นสายรุ้งพุ่งทะยานออกมา โชคชะตาบู๊รวมตัวอยู่บนร่าง เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดใส่เซียนเหรินคนหนึ่ง
เจียงซ่างเจินดูอยู่ครู่หนึ่งก็ให้นับถือหนังหน้าของเจ้าขุนเขาบ้านตนเสียจริง ท่าทางก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าจะใช้สองสามหมัดต่อยให้เซียนเหรินคนหนึ่งตาย ผลคือพอทั้งสองฝ่ายประมือกันจริงแล้ว มารดาเถอะ โชคชะตาบู๊พุ่งเข้ามาหาภายใต้สายตาของคนจับจ้องมากมายขนาดนี้ แต่ดันแสร้งทำเป็นว่าตัวเองใช้ขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกรึ? หรือจะให้เซียนเหรินผู้นั้นช่วยป้อนหมัดทำให้ขอบเขตมั่นคงกัน แล้วเจ้าหันอวี้ซู่ผู้นั้นก็โง่จริงๆ หรือว่าอย่างไร หรือว่าต่อยตีกันมันมือจนติดใจ? เวทคาถาแต่ละสายถึงได้เจิดจ้าปานนั้น วิชาอภินิหารแต่ละบทก็ยิ่งใหญ่ตระการตาถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะสายของยันต์ที่ยิ่งผลุบโผล่อย่างลึกลับ บรรลุถึงขั้นสุดยอด มิน่าเล่าทุกวันนี้ใบถงทวีปถึงมีพวกประจบสอพลอมากมายนับไม่ถ้วน บอกว่าเจ้าคือบุคคลอันดับหนึ่งเบื้องล่างอวี๋เสวียน เจ้าหันอวี้ซู่คงไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอกกระมัง? เพราะถึงอย่างไรคำพูดที่แพร่สะพัดอย่างจริงจังนี้ก็เป็นข้าเจียงซ่างเจินที่เป็นคนริเริ่มเป็นคนแรก จากนั้นถึงได้แพร่ออกไปโดยไม่ทันระวัง
คาดว่าหันเซียนเหรินคงจะได้ลงมืออย่างสาแก่ใจเช่นนี้น้อยครั้งนัก อีกทั้งคู่ต่อสู้ก็หนังหนามากพอกระมัง? อ้อ เป็นข้าผู้แซ่เจียงที่ดูแคลนหันเซียนเหรินเกินไป ที่แท้ก็แอบสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาแล้วนี่เอง
หันเจี้ยงซู่ทอดสายตามองไปไกลด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย กำลังคิดว่าจะส่งข่าวไปบอกให้บิดาของนางรู้ว่าคนผู้นั้นจิตใจลึกล้ำ อำมหิตอย่างถึงที่สุด นอกจากจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่เพิ่งจะเปิดเผยตัวตนแล้ว ยังเป็นเซียนเหรินลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญค่ายกลและยันต์เช่นเดียวกับบิดา ห้ามอาศัยค่ายกลยันต์ลับสามภูเขาของบ้านตัวเองมากเกินไปเด็ดขาด ทว่ายังไม่ทันรอให้นางส่งข้อความลับออกมา หว่างคิ้วของหันเจี้ยงซู่ก็มีเลือดหยดหนึ่งผุดซึม ใบหลิวใบหนึ่งมาลอยจ่ออยู่ตรงหว่างคิ้วของนาง
เจียงซ่างเจินบ่นว่า “พี่หญิงเจี้ยงซู่ช่างแล้งน้ำใจจริงๆ หรือลืมน้องเจียงที่ช่วยเก็บรองเท้าปักข้างนั้นให้เจ้าไปแล้ว? คนอุตส่าห์หวังดียกสองมือประคองส่งรองเท้าปักคืนให้เจ้า แต่เจ้ากลับอับอายจนพานเป็นความโกรธ ไม่รอให้ข้าอธิบายอะไรแม้แต่ครึ่งคำ รอจนรอบด้านไร้ผู้คนยังกระเทือนชุดคลุมบนร่างของข้าให้ปริแตก พี่หญิงเจี้ยงซู่เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้รับความอัปยศเช่นนี้ รอจนข้ากลับสำนักใบถงมาแล้วต้องดื่มเหล้าดับทุกข์ไปกี่กา เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เปิดผนึกดินบนกาเหล้าออก กลิ่นหอมนั่น…”
“เป็นเจ้า?! เจ้าโจรสุนัขหุบปากเดี๋ยวนี้!”
หันเจี้ยงซู่ถลึงตาโพลง “ข้าเคยส่งคนไปตรวจสอบ เวทลับทุกอย่างที่เจ้าร่ายใช้ในเวลานั้นคือเวทลับเฉพาะที่ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงเท่านั้นจริงๆ …”
พูดมาถึงตรงนี้ หันเจี้ยงซู่ก็รู้แล้วว่าตนเปลืองน้ำลายเปล่า นางกัดริมฝีปากแน่น ขนาดเลือดซึมออกมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว นางได้แต่เอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “เจียงซ่างเจิน! เจียงซ่างเจิน!”
สายตาของเจียงซ่างเจินกลับเผยแววไม่พอใจยิ่งกว่านาง “ปากก็พร่ำพูดว่าต่อให้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีก็ยังจำข้าได้ ผลล่ะเป็นอย่างไร คำพูดของพี่สาวหน้าตางดงามอย่างพวกเจ้าเชื่อถือไม่ได้จริงดังคาด”
‘เรื่องลับประโลมโลกในวังลึก’ ประเภทนี้ บัณฑิตหยางผู่ที่อยู่ด้านข้างจะฟังก็ไม่ใช่ ไม่ฟังก็ไม่ได้ จึงได้แต่ดื่มเหล้าต่อไปเท่านั้น
เจียงซ่างเจินมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า มือหนึ่งปิดหน้า ใต้เท้าเจ้าขุนเขา ท่านทำเกินไปแล้วนะ
เห็นเพียงว่าเงาร่างหนึ่งพุ่งดิ่งเป็นเส้นตรงกระแทกลงบนพื้นดินห่างจากประตูภูเขาไปร้อยจั้งในแนวเฉียง เกิดเป็นหลุมที่ไม่เล็กหลุมหนึ่ง
เจียงซ่างเจินรีบมองไปยังจุดที่ฝุ่นตลบคละคลุ้ง ถามด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “สหายได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
คนชุดเขียวกระโดดลุกขึ้นยืน ใช้พายุหมัดสลายฝุ่นบนร่าง “คู่ต่อสู้ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก!”
หันเจี้ยงซู่สีหน้าเขียวคล้ำ แต่ใบหลิวได้ปักตรึงเข้ามาตรงหว่างคิ้วของนางบ้างแล้ว นางจึงไม่อาจเปิดปากเอ่ยอะไรได้
บนฟ้า คนผู้หนึ่งหยุดยืนนิ่ง มือหนึ่งกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดงเข้มลูกหนึ่ง เป่าลมออกมาเบาๆ ก็คือวิชาอภินิหารล้ำเลิศที่เซียนเหรินเป่าอัคคีสมาธิ เปลวเพลงสีทองบดบังผืนฟ้าประหนึ่งน้ำตกที่สาดเทใส่คนชุดเขียวอย่างน่าครั่นคร้าม เจ้าสำนักว่านเหยา เซียนเหรินหันอวี้ซู่หลุบตามองไปทางประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง หัวเราะหยันเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเจียง เล่นละครลิงร่วมกับสหายหรือ? ไม่เพียงแต่เพิ่งจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ยังสามารถใช้ยันต์สามพันหกร้อยแผ่นมาฝ่าค่ายกลของข้าออกไปได้ด้วย เจ้าสำนักใหญ่เจียง สหายของเจ้าคนนี้ร้ายกาจจริงๆ อายุน้อยแต่มากความสามารถ ไม่ทราบว่าเป็นยอดฝีมือของลัทธิเต๋าท่านใดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกัน? คงไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฝูลู่อวี๋เสวียนหรอกนะ?”
เจียงซ่างเจินวางกาเหล้าลง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หัวเราะหน้าทะเล้น “หากไม่เพราะเห็นแก่ที่เจ้าเกือบจะได้เป็นพ่อตาข้า ตอนนี้ศาลบรรพจารย์ของสำนักว่านเหยาในพื้นที่มงคลสามภูเขาก็คงต้องแขวนภาพจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว ข้าอดทนข่มกลั้นกับพวกเจ้ามานานมากแล้ว คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่เจียงขอบเขตถดถอยจากบินทะยานมายังเซียนเหริน ก็เท่ากับว่าพวกเราสองคนทัดเทียมกันแล้ว?”
บัณฑิตสำนักศึกษาที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนขั้นบันไดกำลังจะดื่มเหล้าตามจิตใต้สำนึกอีกครั้ง ถึงได้ค้นพบว่ากาเหล้าว่างเปล่าแล้ว เหมือนถูกผียุเทพบงการ หยางผู่ก็ลุกขึ้นยืนตามเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงไปด้วย ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าไม่มีสุราดีๆ มาดื่มระงับความตกใจอีกแล้ว สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในวันนี้มากพอจะดื่มเหล้าดีๆ ให้อิ่ม เมามายเคลิบเคลิ้ม เมื่อเทียบกับความรู้ใจความเข้าใจจากการอ่านตำราอริยะปราชญ์แล้ว กลับไม่แย่ไปกว่ากันแม้แต่น้อย ดูท่าคราวหน้ากลับไปยังสำนักศึกษาคงสามารถลองดื่มเหล้าให้มากๆ ได้จริงๆ แล้ว แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คืออยู่ท่ามกลางการตีกันของเทพเซียนครั้งนี้ คนที่ไม่ใช่แม้กระทั่งนักปราชญ์ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่เซียนดินอย่างเขา ต้องมีชีวิตรอดกลับไปยังสำนักศึกษาต้าฝูให้ได้เสียก่อน
หันอวี้ซู่เพิ่งจะคิดบอกให้เจียงซ่างเจินปล่อยตัวหันเจี้ยงซู่ ก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ ขยับเส้นสายตาออกไป เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวผู้นั้นยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ สองนิ้วคีบสะเก็ดเปลวเพลิงที่ส่ายสะบัดน้อยๆ เอาไว้ แหงนหน้ามองมายังหันอวี้ซู่ แล้วถึงกับเอาอัคคีสมาธิที่เป็นดั่งแสงตะเกียงนั้นยัดเข้าปาก กลืนลงท้อง จากนั้นสะบัดข้อมือ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทั้งสองครั้งต่างก็ขาดอีกแค่นิดเดียว หันเซียนเหรินก็เกือบจะสามารถฆ่าข้าได้แล้ว”
เจียงซ่างเจินกระทืบเท้าพูดด้วยความร้อนใจทันที “พี่ชายคนดีเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้อย่างไร”
หันอวี้ซู่ยังคงลอยตัวอยู่บนฟ้า ไม่สนใจลูกคู่ร้องรับสองคนที่อยู่บนพื้น ชายแขนเสื้อของเจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหรินท่านนี้โบกสะบัด ภาพบรรยากาศเลื่อนลอย มีมาดแห่งเซียนอย่างถึงที่สุด ทว่าแท้จริงแล้วในใจของหันอวี้ซู่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ถึงขั้นรับมือได้ยากขนาดนี้เชียวหรือ? หรือจะต้องใช้ท่าไม้ตายสองสามอย่างนั่นจริงๆ? เพียงแค่เพื่อภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีก็ยากจะเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าอยู่แล้ว คุ้มค่าแล้วหรือ? เจียงซ่างเจินคนเดียวที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด แล้วก็แก้แค้นเก่งที่สุดก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ยังจะบวกผู้ฝึกยุทธที่ไหนก็ไม่รู้มาอีกคนหนึ่งด้วยหรือ? หรือจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ได้รับการอบรมปลูกฝังอย่างทุ่มเทจากบรรพจารย์บางท่านในสำนักใหญ่แผ่นดินกลาง? คนที่ฝึกตนควบทั้งเวทคาถาและวรยุทธเดิมทีก็มีไม่เยอะ เพราะเดินบนเส้นทางลัดของการฝึกตนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ ก็ยิ่งมีน้อยเพียงหยิบมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลื่อนจากขอบเขตร่างทอง ‘พลิกดิน’ เป็นขอบเขตเดินทางไกลที่ยากอย่างถึงที่สุด หากเดินบนเส้นทางสายนี้แล้วละโมบไม่รู้จักพอ ก็จะถูกมหามรรคาสยบกำราบ คิดจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดก็ยากยิ่งกว่าขึ้นสสวรรค์ ดังนั้นหันอวี้ซู่ที่นอกจากจะกริ่งเกรงเรือนกายของผู้ฝึกยุทธและฝีมือด้านยันต์ของอีกฝ่าย หงุดหงิดใจกับการรับมือได้ยากของคนหนุ่มผู้นี้แล้ว อันที่จริงยังกังวลถึงเบื้องหลังของอีกฝ่ายมากกว่า
คนผู้นั้นคล้ายจะมองความคิดของหันอวี้ซู่ออก จึงพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะมีที่พึ่งอะไร เดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าน้อยเฉาโม่คือเค่อชิงลำดับสองของสำนักกุยหยก เซียนเหรินชงเชี่ยนที่นั่งพิทักษ์สำนักอวี่หลงกับเซียนกระบี่สวีจวินแห่งท่าเรือชวีซาน และยังมีผู้ดูแลหวงหลินแห่งเรือข้ามฟากไฉ่อีล้วนสามารถเป็นพยานให้ข้าได้”
หันอวี้ซู่หัวเราะหยัน “เอาแต่พูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สนุกนักหรือ? เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าตัวเองจะไม่ตายจริงๆ หรือไร?”
เซียนเหรินผู้นั้นส่ายหน้าอยู่กับตัวเอง “หวงถิงนักพรตหญิงที่มีคุณสมบัติพอจะพูดเพื่อภูเขาไท่ผิงสองสามคำ อย่างมากสุดหนึ่งร้อยปีให้หลังถึงจะหวนคืนกลับมายังใบถงทวีปได้ ส่วนเจ้า นับเป็นตัวอะไร?”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ ดีนักนะ คราวนี้ล่ะเอาจริงแน่ แม้แต่ห้ามก็ห้ามไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินเองก็ไม่ได้คิดจะห้าม ข้าผู้อาวุโสเป็นว่าที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว จะเข้าข้างคนนอกได้อย่างไร?
เฉินผิงอันมองผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินสายยันต์ของสามภูเขา (ซานซาน) ผู้นี้แล้วปลดปิ่นหยกขาวที่ซ่อนตัวพวกเด็กๆ อยู่ข้างในไปเก็บไว้ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตแห่งหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้ต่อสู้กันเอาเป็นตายไม่ทันระวังฟ้าดินเล็กโยกคลอน เดือดร้อนให้พวกเด็กๆ ไม่ได้ฝึกกระบี่อย่างสงบ ดังนั้นเมื่อปิ่นหยกถูกดึงออก เส้นผมของเฉินผิงอันก็สยายลงมาในเสี้ยววินาที จากนั้นเขาก็เอื้อมมืออ้อมหัวไหล่ สองมือกุมรวบเส้นผมเบาๆ ใช้ห่วงสีทองที่เกิดจากการรวมตัวของปราณมามัดผม สองเข่างอน้อยๆ ร่างพลันงองุ้มลงหลายส่วน ปณิธานหมัดไหลเวียนทั่วร่าง มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งคีบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น ท่วงท่าคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ทำทุกอย่างเสร็จในรวดเดียว สุดท้ายยิ้มเอ่ยว่า “ข้าชอบเซียนเหรินที่เป็นทั้งกระดาษเปียกแล้วก็ทั้งหัวแข็งอย่างเจ้าที่สุดเลยล่ะ”