กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 753.3 ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา
ช่วงนี้ชุยตงซานตัดสินใจเองโดยพลการ เขาย้ายแท่นสังหารมังกรออกมาจากด้านในปิ่นหยกขาว ให้พวกเด็กๆ ฝึกกระบี่รวมกัน บางครั้งก็จะไปตรวจสอบดูด้วยตัวเอง
จนกระทั่งวันนี้เด็กสี่คนอย่างป๋ายเสวียน เฉิงเฉาลู่ น่าหลันอวี้เตี๋ยและเหยาเสี่ยวเหยียนติดตามชุยตงซานที่อารมณ์แปรปรวนจนทำให้คนหวาดกลัวขวัญผวา กับเจ้าคนที่ไม่อ้วนแม้แต่น้อยแต่กลับชื่อโจวเฝยออกจากจวนลับที่ยอดเขาอวิ๋นจี้ มาเที่ยวเล่นที่หาดหินหวงเฮ้อด้วยกัน จากนั้นพอได้ยินว่าภูเขาเยี่ยนซานของภูเขาเหล่าจวินสามารถขนก้อนหินไปได้ตามสบาย ก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปเสี่ยงโชคเก็บตกของดีหวังร่ำรวยกันแล้ว
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ต่ำสุดก็ต้องมีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเก้าคนภายในเวลาร้อยปี ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราน่ากลัวจริงๆ”
ชุยตงซานโอดครวญ “ผู้ฝึกกระบี่ฝึกตนกินเงินที่สุดเลยนะ”
เจียงซ่างเจินบ่นว่า “พูดถึงเรื่องเงิน? นี่น้องชุยด่ากันอยู่หรือไร?”
ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “พี่โจวเฝยก็ใจกว้างเสียจริง!”
เจียงซ่างเจินพลันกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าใต้หล้าแห่งที่ห้าแหกกฎให้กับลูกศิษย์หนุ่มลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ให้เขาได้กลับมายังใต้หล้าไพศาล ชื่อว่าจ้าวเหยา? แล้วยังเป็นคนบ้านเดียวกับเจ้าขุนเขาของพวกเราด้วย?”
ชุยตงซานพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูงว่าจ้าวเหยาจะได้เป็นว่าที่ราชครูของต้าหลี อันดับแรกต้องให้ขุนนางในสภาขุนนางช่วยอบรมปลูกฝังอยู่ก่อนสักหลายๆ ปี สุดท้ายจึงจะช่วยประคับประคองฮ่องเต้องค์ถัดไป นี่เป็นฝีมือของเจ้าตะพาบเฒ่า ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ไม่เกี่ยวแม้แต่ครึ่งเหรียญเงินเหรียญทองแดง”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ถ้าแบบนี้ก็อธิบายได้เข้าใจแล้ว”
สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง
ราชวงศ์ต้าหลีที่เคยยึดครองพื้นที่ของหนึ่งทวีป ฮ่องเต้สกุลซ่งยอมทำตามสัญญาด้วยการให้ราชวงศ์เก่าและแคว้นใต้อาณัติมากมายกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนมาจริง แต่เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่สร้างอยู่ใกล้กับลำน้ำฉีตู๋ภาคกลางของทวีปยังคงเก็บรักษาไว้ก่อนชั่วคราว มอบให้ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้พิทักษ์ปกครอง ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ว่าจะจัดการกับอ๋องเจ้าเมืองที่คุณูปการยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงขจรไกลผู้นี้ให้เหมาะสมอย่างไร คาดว่าฮ่องเต้ซ่งเหอคงต้องปวดหัวอย่างมาก ซ่งมู่ หรือควรเรียกอีกอย่างว่าซ่งจี๋ซิน ท่ามกลางสงครามครั้งนั้น เขาแสดงออกได้อย่างโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก ข้างกายยังมีผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันอย่างที่มองไม่เห็นเป็นรูปลักษณ์ นอกจากจะมีจื้อกุยมังกรที่แท้จริงที่สามารถมองเป็นขอบเขตบินทะยานเกินครึ่งตัวได้แล้ว ยังมีหม่าขู่เสวียนแห่งยอดเขาเจินอู่ นอกจากนี้ซ่งมู่ยังใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปอย่างมาก บวกกับที่ที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงแห่งที่สองล้วนเป็นขุนนางที่ผ่านพิธีการชำระล้างจากสงครามมาก่อน พวกเขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ พลังชีวิตเปี่ยมล้น แต่ละคนฉายประกายคมกริบไม่แพ้กัน ประเด็นสำคัญคือทุกคนต่างก็มีความสามารถยอดเยี่ยม ทั้งยังลงมือปฏิบัติสร้างผลงานจริง ไม่ใช่พวกคนที่มืออยู่เฉยดีแต่พูดอย่างแน่นอน
ดังนั้นทุกวันนี้จึงมีคำกล่าวที่บอกว่าทำให้คนโมโหตายไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตแพร่หลายบนภูเขาของใบถงทวีป ดึงขุนนางระดับกลางสักคนออกมาจากที่ว่าการของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ให้ไปเป็นเจ้ากรมหกขุนนางของราชวงศ์ใหญ่ในใบถงทวีปก็มากพอเหลือแหล่
ในปีนั้นราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีที่หนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีป ครอบครองอาณาเขตตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปไว้แล้ว ลำดับขั้นกลับยังคงอยู่อันดับท้ายสุดในบรรดาราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งของไพศาล ทุกวันนี้ยกแผ่นดินครึ่งหนึ่งเต็มๆ ออกไปให้ กลับกลายเป็นว่าถูกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางประเมินให้เป็นราชวงศ์ใหญ่ลำดับสอง อีกทั้งไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็แทบจะไม่มีใครเห็นต่าง
ชุยตงซานยิ้มถาม “หากข้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เพราะต้องทำสงคราม พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาจึงขาดภาพแยนจือไปสองภาพ ช่วงนี้สกุลเจียงจึงเริ่มทำการคัดเลือกใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “กิจธุระในตระกูลสกุลเจียง ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าจะไม่สนใจก็ได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ข้าจำเป็นต้องจับตามองด้วยตัวเอง”
หนึ่งในสิบแปดทัศนียภาพของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา มีหอแยนจือที่ถูกเรียกขานว่าเป็นภูเขาเทพีบุปผาของใบถงทวีป
บนยอดสูงสุดของหอสูง ด้านบนมีสาวงามที่เป็นเทพธิดาสามสิบหกคนยืนอยู่ตลอดทั้งปี แน่นอนว่าเป็นภาพมายาที่เกิดจากการร่ายเวทลับขุนเขาสายน้ำของผู้ฝึกตนสกุลเจียง
ภาพแยนจือแบ่งออกเป็นเล่มหลัก เล่มรองและเล่มสาม รวมทั้งหมดสามเล่ม แต่ละเล่มมีคนสิบสองคน ถูกขนานนามว่าเป็นสามสิบหกเทพีบุปผา ต้องเป็นสตรีที่รูปโฉมโดดเด่นที่สุดในตระกูลเซียนบนภูเขาและราชวงศ์ล่างภูเขาของทวีป ถึงจะขึ้นมาบนหอนี้ได้
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “พี่โจวเฝยต้องยุ่งอยู่กับการรับเงินอีกแล้ว มิน่าเล่าคืนนี้ถึงตัดใจเหมาหาดหินหวงเฮ้อได้ลง แค่เงินเล็กๆ น้อยๆ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง”
เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดัง “ก็แค่หาเรื่องสนุกทำเท่านั้น หาเงินอะไรกัน นั่นล้วนเป็นเรื่องรองลงมา”
ชุยตงซานถามชวนคุย “อันดับหนึ่งคือใคร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “เดิมทีคือเหยาจิ้นจือ จักรพรรดินีพระองค์ใหม่ของราชวงศ์ต้าเฉวียน เพียงแต่ว่าฝ่าบาทท่านนี้ไหว้วานคนให้นำเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งมามอบให้กับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ข้าก็เลยยอมทนกับความเจ็บปวด ตัดชื่อของนางออก บวกกับที่ฮ่วนซีฮูหยินที่ไปฝึกตนอยู่ที่จวนเทียนซือ ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวที่ยอดเขาเสินจ้วนด้วย ข้าหรือจะกล้าก่อเรื่องเหลวไหล”
ก่อนที่ภาพแยนจือเทพีบุปผาสามสิบหกภาพจะเผยตัวอย่างแท้จริง อันที่จริงสกุลเจียงในพื้นที่มงคลก็ได้แพร่ข่าวออกไปก่อนแล้วบางส่วน
ดังนั้นคนที่ได้รับการประเมินให้ติดอันดับ จะอยู่ในเล่มหลักเล่มรอง หรือเลื่อนจากเล่มล่างขึ้นสู่เล่มบน หรือแม้กระทั่งอย่างจักรพรรดินีคนใหม่ของต้าเฉวียนอย่างเหยาจิ้นจือที่ไม่ยินดีจะเปิดเผยโฉมหน้านี้ ขอแค่จ่ายเงินมาให้ก็ล้วนสามารถปรึกษากันได้ นอกจากนี้แล้วยังมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เลื่อมใสเทพธิดาบางท่านที่สามารถยัดเงินให้กับสกุลเจียงได้เช่นกัน เพราะทางฝั่งของภูเขาแยนจือได้จัดวางกระเช้าดอกไม้ร้อยกว่าใบไว้โดยเฉพาะ ด้านนอกกระเช้าดอกไม้ทุกใบจะแปะชื่อของสาวงามตัวสำรองเอาไว้ เจ๋อเซียนทุกท่านสามารถโยนเงินเข้ากระเช้าดอกไม้ได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ไหว้วานให้คนนำเงินมามอบให้ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เงินร้อนน้อยที่อยู่ในกระเช้าดอกไม้มีมากหรือน้อย แค่มองก็เห็นได้แล้ว
เล่าลือกันว่าตอนที่อดีตเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินยวนยังมีชีวิตอยู่บนโลก ทุกครั้งที่มีการคัดเลือกบนหอแยนจือจะต้องระดมพลพากันมาหาเจียงซ่างเจิน เทพธิดาที่ถูกเขาสวินยวนเลื่อมใสจากใจจริงต้องติดอันดับด้วย ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา เพราะถึงอย่างไรเรื่องอย่างบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำก็เป็นความชื่นชอบที่ใหญ่ที่สุดของสวินยวนอยู่แล้ว ปีนั้นต่อให้อยู่ห่างกันคนละทวีป มองดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเหล่าเทพธิดาในแจกันสมบัติทวีป แม้ภาพที่เห็นจะพร่าเลือนไม่ชัดเจนเอาเสียเลย เจ้าสำนักผู้เฒ่าก็ยังคงเฝ้าตอรอกระต่าย ทุ่มเงินใส่ตาไม่กะพริบ
มิน่าเล่าตาเฒ่าสวินที่อยู่ภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมายในศาลบรรพจารย์จึงมักจะชี้หน้าด่าเจียงซ่างเจินว่า หากเจ้ายอมเอาความคิดจิตใจเรื่องการหาเงินมาใช้กับการฝึกตนสักครึ่งหนึ่ง ป่านนี้แม่งก็เป็นขอบเขตบินทะยานไปนานแล้ว
การประเมินครั้งหนึ่งที่เกินจริงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือในกระเช้าดอกไม้ของผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งมีภูเขาลูกน้อยที่คิดคำนวณจากเงินร้อนน้อยมาเป็นเงินฝนธัญพืชแล้ว
สตรีผู้นั้นถูกผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเรียกว่าหวงอีอวิ๋น ชื่อจริงคือเย่อวิ๋นอวิ๋น คือผู้ฝึกยุทธหญิงที่รูปโฉมงามพิลาสล้ำคนหนึ่ง แต่สุดท้ายนางกลับไม่ได้เข้าร่วมการประเมิน ดูเหมือนว่าเพราะเย่อวิ๋นอวิ๋นไปหาเจียงซ่างเจินด้วยตัวเอง ตอนนั้นเจ้าประมุขสกุลเจียงที่เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ไม่นานหน้าเขียวจมูกบวมปูด แสยะปากแยกเขี้ยวอยู่หลายวัน เจอใครก็ด่าให้ฟังว่าตาเฒ่าสวินไม่ใช่คน ทำไมหายนะที่เขาเป็นคนก่อต้องให้ข้าผู้อาวุโสเป็นคนแบกรับด้วย
ชุยตงซานถอนหายใจ “ราชวงศ์ต้าเฉวียน เทพวารีลำคลองม่ายเหอ เหยาจิ้นจือ น่าเสียดายที่เผยเฉียนน่าจะอยู่บนเส้นทางระหว่างกลับบ้านแล้ว ไม่มีวิธีทำให้นางได้รู้ข่าวเป็นคนแรก ศิษย์พี่เล็กอย่างข้าคงต้องถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่จดลงบัญชีอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
ปีนั้นที่ออกจากพื้นที่มงคลดอกบัว เป็นเผยเฉียนที่เดินทางกลับบ้านเกิดเป็นเพื่อนอาจารย์ของตนตลอดเส้นทาง
ครั้งสุดท้ายที่เผยเฉียนส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาพีอวิ๋น มาจากสกุลอวี้ของแผ่นดินกลาง เกินครึ่งเผยเฉียนน่าจะเลือกเดินทางบนเส้นทางสายธวัลทวีปและอุตรกุรุทวีป ดังนั้นจึงกลับถึงภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างช้า ไม่อย่างนั้นหากตรงไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นั่งโดยสารเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติของนครมังกรเฒ่า ก็สามารถตรงไปถึงอาณาเขตขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีปได้เลย และทุกวันนี้ก็น่าจะอยู่ใกล้กับเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีแล้ว
เจียงซ่างเจินมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อเผยเฉียนเป็นพิเศษ ปีนั้นเขาเคยได้ลิ้มรสความร้ายกาจของแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ภูเขาลั่วพั่วมาก่อน หลังจากผ่านการช่วงชิงบนมหามรรคากันไปรอบหนึ่ง เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสุดจิตสุดใจแล้ว
ชุยตงซานหันหน้ามองไปยังภูเขาเหล่าจวินที่อยู่ห่างไปไกลมาก “ใครเล่าจะคิดได้ว่าผู้ฝึกตนในทวีปวันหน้าก็ได้แต่ต้องมาเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเท่านั้นถึงจะได้เห็นทัศนียภาพเก่าๆ ของภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจี”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา “มีใจปลูกบุปผา บุปผาก็ผลิบาน ไร้ใจปักกิ่งหลิว กิ่งหลิวก็เติบโตให้ร่มเงา คิดไม่ถึงว่าข้าเจียงซ่างเจินก็แค่คิดจะหาเงินเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าได้ทำเรื่องดีที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่ง”
บนภูเขาเหล่าจวินลูกนั้น นอกจากภูเขาเยี่ยนซานที่เป็นภูเขาใต้อาณัติแล้ว สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด อันที่จริงก็คือภาพภูเขาแม่น้ำของใบถงทวีป พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาคัดเลือกเอาขุนเขามีชื่อเสียง แม่น้ำสายใหญ่และจวนตระกูลเซียนที่งดงามที่สุดในหนึ่งทวีปมา ยามที่นักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่ในนี้ก็จะเหมือนได้อยู่ในสถานที่นั้นๆ จริงๆ อีกทั้งยังเหมือนอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็สามารถหดย่อพื้นที่ชื่นชมทัศนียภาพได้อย่างเต็มอิ่ม แน่นอนว่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายจะไม่ได้ปรากฎออกมาในม้วนภาพขุนเขาสายน้ำ ตระกูลเซียนห่างไกลทั้งหลายที่อยากมีชื่อเสียง ทว่ากำลังทรัพย์ไม่มากพอจะให้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในภาพขุนเขาสายน้ำ เพื่อรวบรวมตัวอ่อนผู้ฝึกตน หรือไม่ก็ผูกสัมพันธ์ควันธูปกับบนภูเขา จึงมักจะเป็นฝ่ายเอาภาพคัดลอกของภูเขาตระกูลเซียนบ้านตนออกมา ให้สกุลเจียงช่วยสร้าง ‘แบบจำลอง’ ให้ชิ้นหนึ่ง แล้วเอาไปวางไว้ด้านใน เพื่อสะดวกให้ผู้ฝึกตนของหนึ่งทวีปรู้จักชื่อเสียงของบ้านตน
ทั้งสองฝ่ายเงียบงันกันไป
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ดวงจันทร์ลอยกลางนภา
แสงจันทร์ขาวกระจ่าง ภูเขาหนาวเหน็ บสายน้ำเยียบเย็น คนทั้งสองร่ำสุราชมบุปผาฤดูใบไม้ผลิเบ่งบาน
เจียงซ่างเจินเปิดปากเอ่ย “เฉินผิงอันน่าจะใกล้ตื่นแล้ว”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที “ไม่รีบร้อน หลายปีขนาดนี้ยังรอมาได้ ช้าไปอีกสักวันสองวันก็ไม่เป็นไรหรอก”
เจียงซ่างเจินทอดสายตามองไปยังประตูใหญ่ของอาณาเขตหาดหินหวงเฮ้อแล้วยิ้มเอ่ย “เจ้าพวกตัวน้อยเห็นแก่เงินกลับมากันแล้ว ดูท่าทางจะได้ผลเก็บเกี่ยวไม่มาก”
ชุยตงซานชำเลืองตามองไปยังทิศทางนั้น เอ่ยว่า “เจ้าลองเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ข้าดูสิ?”
ภูเขาเยี่ยนซานลูกหนึ่งล้วนถูกเจ้าย้ายไปจนเกลี้ยงแล้ว ขอแค่อาจารย์มีเวลาว่างก็สามารถมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นั่นได้เลย
เจียงซ่างเจินรีบโบกมือเป็นพัลวัน “มิกล้าๆ”
พวกเด็กๆ กลับมายังหาดหินหวงเฮ้อ น่าหลันอวี้เตี๋ยคือนักบัญชีตัวน้อย คนเห็นแก่เงินตัวน้อย เวลานี้ใช้มือลูบคลำราวรั้วหยกขาวแล้วยังไม่สาแก่ใจพอ พอเห็นว่ารอบกายไม่มีคนนอกอยู่ก็เขย่งปลายเท้าใช้หน้าถูไถเสียเลย ถูไปถูมา ปากก็พร่ำพูดไปด้วยว่าเงินเอย ล้วนเป็นเงินเกล็ดหิมะเอย
ทำเอาป๋ายเสวียนที่เอาสองมือไพล่หลังต้องเหลือกตามองบน
เจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่ถูกชุยตงซานตั้งฉายาที่โด่งดังให้ว่า หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน ชุยตงซานยังบอกด้วยว่าวันหน้าขอแค่ติดตามอาจารย์ของเขา อาจารย์เฉาของพวกเจ้าเรียนวิชาหมัดแล้วเรียนผ่านขั้นพื้นฐานได้แล้ว เขายังจะตั้งฉายาที่บารมีองอาจแปดทิศยิ่งกว่านี้ให้กับเฉิงเฉาลู่ด้วย
ด้านในวัตถุฟางชุ่นบนร่างของน่าหลันอวี้เตี๋ย เวลานี้บรรจุหินฝนหมึกไว้จนเต็มแล้ว ส่วนเหยาเสี่ยวเหยียนและเฉิงเฉาลู่ต่างก็สะพายห่อสัมภาระกันคนละห่อ หินฝนหมึกบนภูเขาที่เก็บมาจากภูเขาทายาทของภูเขาเหล่าจวิน เทพเซียนยากจะคาดเดา เว้นเสียจากว่าเป็นนักทำจานฝนหมึกของพื้นที่มงคลที่มีชื่อเสียงอย่างมากถึงจะพอประเมินระดับขั้นของวัสดุได้เจ็ดแปดส่วน ส่วนหินฝนหมึกที่ตาเนื้อสามารถมองออกว่าระดับดีเยี่ยมนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางกระจายอยู่บนภูเขาได้ง่ายๆ อันที่จริงเรื่องของการขึ้นเขาไปเก็บหินฝนหมึก เดิมทีก็เพื่อให้พวกเซียนซือที่เดินทางมาเที่ยวมีกิจกรรมสนุกทำเท่านั้น
ในวัตถุฟางชุ่นของแม่นางน้อย นอกจากจะมีก้อนหินน้อยใหญ่และแผ่นหินที่ยังไม่แน่ใจในระดับขั้นของมันแล้ว ยังเก็บตราประทับหลายชิ้นและพัดไว้อีกหลายเล่ม ล้วนเป็นของที่นางขโมยมาจากพี่สาว น่าหลันอวี้เตี๋ยไม่กล้าเอามามากเกิน เอามาไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำกระมัง
นางตัดสินใจว่าจะทำการค้ากับชุยตงซาน เจ้าหมอนี่มองดูแล้วน่าจะมีเงินเยอะ ทั้งยังชอบเรียกตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์เฉาภาคภูมิใจที่สุดอีกด้วย มองดูแล้วน่าจะเคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก คงจะตัดใจจ่ายเงินได้ลง
แต่ไม่อาจเอาออกมารวดเดียวหมดได้ ต้องบอกว่าตนมีตราประทับที่ต้องผ่านประสบการณ์ยากลำบากมามากมายถึงสามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาได้อยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น หลังจากขายได้ในราคาสูงแล้ว ผ่านไปอีกสองสามวันค่อยพูดกันใหม่ เอ๊ะ ข้าเจอพัดพับอีกเล่มหนึ่งโดยบังเอิญ แล้วค่อยขายให้เขา บอกว่าเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านของร้านตระกูลเยี่ยนที่บ้านเกิด สุดท้ายค่อยเอาออกมาทั้งหมด คาดว่าเขาคงจะเหมาซื้อไปหมดทีเดียว สรุปก็คือนางไม่เพียงแต่ขายของเท่านั้น สุดท้ายยังจะให้ราคามิตรภาพกับ ‘คนกันเอง’ อีกด้วย ชุยตงซานไม่ตอบตกลงก็ช่าง ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อสิ
แต่น่าหลันอวี้เตี๋ยวรู้สึกว่าอันที่เป็นของตัวเองอย่าเอามาขายจะดีกว่า ต้องเก็บตราประทับชิ้นหนึ่งในนั้นเอาไว้ เพราะนางชอบมันมาก
ริมขอบของตราประทับสลักคำว่า ‘เชื่อเงินหนึ่งพันไม่สู้มีเงินแปดร้อย น้ำใสใจจริงยากจะต้านทานความชั่วร้ายของมรสุม’ ด้านหน้าตราประทับสลักคำว่า ‘หาเงินได้ไม่ง่าย ฝึกตนยากมาก’
ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งออกมาจากจวนเปลือกหอยแห่งหนึ่ง ชายหญิงมีกันเจ็ดแปดคน ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวทั้งสิ้น ชุดคลุมอาคมแตกต่างกันออกไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนบนภูเขาที่หากไม่รวยก็สูงศักดิ์ พวกเขาไม่ได้เดินขึ้นหอสูงของจวนเพื่อมองไปยังทิศไกล เพราะทัศนียภาพไม่งดงามพอ แต่เลือกจะมาอยู่ใกล้กับศาลาชมทัศนียภาพของหาดหินหวงเฮ้อ บรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้ ร้อยปีก็ยากจะพานพบ
เห็นพวกเทพเซียนอายุน้อยเหล่านั้นเดินตรงเข้ามาแต่ไกล ป๋ายเสวียนก็กระโดดเบาๆ หนึ่งครั้ง ไปนั่งบนราวรั้ว สองแขนกอดอก มองดูด้วยสายตาเย็นชา
เหยาเสี่ยวเหยียนกลัวคนแปลกหน้าจึงหลบอยู่ข้างกายน่าหลันอวี้เตี๋ย เฉิงเฉาลู่เป็นคนไม่ค่อยสนใจสิ่งใด ยืนอยู่ข้างราวรั้วหยกขาว ทอดตามองสายน้ำในค่ำคืนจันทร์กระจ่าง เจ้าอ้วนน้อยรู้สึกว่าหากเวลานี้อาจารย์เฉาอยู่ด้วย ทุกคนกินหม้อไฟร้อนๆ ด้วยกัน นั่นก็จะไม่ผิดต่อทัศนียภาพงดงามเช่นนี้แล้ว
หญิงสาวอายุอ่อนเยาว์สวมชุดกระโปรงมังกรสาว บนข้อมือสวมกำไลไข่มุกคนหนึ่งเบิกดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นมองประเมินแม่นางน้อยทั้งสอง “ผิวพรรณขาวอมชมพูราวหยกสลัก น่ารักยิ่งนัก พวกเจ้าเป็นลูกบ้านไหนหรือ?”
นางเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายน่าหลันอวี้เตี๋ย ก้มตัวลงหมายจะลูบหัวของแม่นางน้อย
น่าหลันอวี้เตี๋ยเบี่ยงหลบ สตรีจะลูบอีก แม่นางน้อยก็หันหน้าหนี
หญิงสาวเก็บมือกลับคืน ยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีเป็นพระจันทร์เสี้ยว “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไร?”
น่าหลันอวี้เตี๋ยเปิดปากพูดด้วยภาษากลางของใบถงทวีป “ข้าไม่สนิทกับเจ้า แค่พอประมาณก็พอแล้วนะ”
สตรีผู้นั้นได้ยินก็ยิ้มจนแก้มสองข้างปรากฎลักยิ้ม ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยแผ่นหยกถือศีลลำดับต้นเอ่ยอย่างตกตะลึง “เจ้าตัวน้อยกลุ่มนี้คงไม่ใช่ลูกหลานสกุลเจียงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาหรอกกระมัง? แต่ละคนถึงมีป้ายถือศีลด้วย”
สตรีผู้นั้นชำเลืองตามอง “โหยวชี หรือจะให้มีแต่ตระกูลเจ้าที่มีเงินกันล่ะ?”
คนหนุ่มที่ชื่อโหยวชีคลี่ยิ้ม