กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 753.6 ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา
เฉินผิงอันถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
แม่นางน้อยสองคนอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยและเหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกทันทีว่ามีคนหนุนหลังแล้ว ขนาดเหยาเสี่ยวเหยียนที่มีนิสัยนุ่มนิ่มยังอดโมโหไม่ได้ เป็นความไม่พอใจที่มาถึงอย่างเชื่องช้า
ป๋ายเสวียนรีบเอ่ยเตือนเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ด้านข้างทันที “ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ เฉิงเฉาลู่ เอาความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธออกมาหน่อย เรื่องในวันนี้ ข้ามีคุณธรรมกับเจ้ามากแล้วใช่ไหม หืม?!”
เฉิงเฉาลู่รีบคำคอย่น ร้องอ้อรับหนึ่งคำ
เฉินผิงอันฟังรายงานที่เล่าอย่างคล่องปากจากน่าหลันอวี้เตี๋ยไปรอบหนึ่งก็หันไปถลึงตาใส่ชุยตงซาน
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ แกล้งโง่
เฉินผิงอันเอ่ย “ทำได้ดีมาก วันหน้าต้องสามัคคีกัน ไม่ว่าใครก็ห้ามให้คนนอกมารังแกเอาได้ แต่อย่าลืมกฎสามข้อที่ข้าเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้”
น่าหลันอวี้เตี๋ยกระแอมสองสามทีให้ลำคอชุ่มชื่น แล้วเริ่มท่องเสียงดัง “ข้อแรก พยายามเลี่ยงการต่อสู้ที่สู้ไม่ได้ ไม่ด่าคนที่ด่าไม่ทัน พวกเราอายุน้อย แพ้คนอื่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายหน้า ขุนเขาเขียวไม่เปลี่ยนสายน้ำใสไหลยาว ค่อยๆ คิดบัญชีให้ละเอียด ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”
“ข้อที่สอง หากเป็นฝ่ายมีเหตุผล แล้วยังเจอกับการต่อสู้ที่จะไม่สู้ก็ไม่ได้ ก็ให้ต่อสู้อย่างจริงจัง ต่อสู้ให้ดี แต่ยามลงมือต้องรู้จักหนักเบา ห้ามแบ่งเป็นตายกับคนอื่นง่ายๆ เด็ดขาด ข้อที่สาม สู้ไม่ได้ก็อย่าอวดเก่ง รีบเผ่นหนีให้ไว หากหนีไม่ทันก็ก้มหัวยอมรับผิด จากนั้นไปหาอาจารย์เฉา กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา”
“นอกจากข้อตกลงสามข้อแล้วยังมีประโยคเสริมอีกหนึ่งประโยค สรุปก็คือการแสร้งเป็นหลานก่อนจะต่อสู้ก็เพื่อได้เป็นปู่ตอนที่สู้กันเสร็จแล้ว!”
ป๋ายเสวียนที่ทุกวันชอบเอาสองมือไพล่หลัง วันนี้ค่อนข้างจะรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงปรบมือแสดงถึงการชื่นชมน่าหลันอวี้เตี๋ยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ชุยตงซานเองก็ปรบมือเร็วๆ ตามไปด้วย แต่เป็นการปรบมือแบบไม่มีเสียง นี่คือสุดยอดวิชาที่มีเฉพาะภูเขาลั่วพั่ว เป็นวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายเชียวนะ
ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์!
ฟังเข้าสิ การถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจครั้งนี้ คำพูดคำจาเรียบง่าย หลักการเหตุผลตื้นเขิน แต่ร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้…
เฉินผิงอันชั่งห่อสัมภาระของเฉิงเฉาลู่ในมือ ด้านในบรรจุหินฝนหมึกขนาดน้อยใหญ่เอาไว้ เอ่ยว่า “เบาไปหน่อย สามารถใส่เพิ่มได้อีกห้าหกจิน”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้ารับอย่างแรง เหยาเสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงรีบยิ้มอ่อนเอ่ยกับแม่นางน้อยทันที “เด็กผู้หญิงไม่ต้องแบกมากขนาดนั้น”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจ้าคนที่สองมือว่างเปล่าซึ่งพยายามจะซ่อนตัว “ถูกหรือไม่ นายท่านใหญ่ป๋าย?”
ป๋ายเสวียนยิ้มหน้าเป็น “นายน้อย แค่นายน้อย”
ยามอยู่กับเฉินผิงอัน แต่ไหนแต่ไรมาป๋ายเสวียนมีมาดวีรบุรุษอยู่เสมอ
เจ้าตัวน้อยที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดถูกชุยตงซานใช้แขนรัดคอกระชากไปด้านหลังทันที “ไป พวกเราสองพี่น้องไปพูดคุยเรื่องความในใจกันที่ศาลาโน่น”
ป๋ายเสวียนโอดครวญทันใด “อาจารย์เฉาช่วยข้าด้วย!”
เฉินผิงอันเอ่ยห้ามชุยตงซาน ชำเลืองตามองจวนเปลือกหอยของหาดหินหวงเฮ้อแล้วยิ้มเอ่ยกับพวกเด็กๆ อย่างเฉิงเฉาลู่ว่า “พวกเจ้ากลับไปที่ยอดเขาอวิ๋นจี๋กันก่อน”
พวกเด็กๆ เดินอาดๆ ออกไปจากหาดหินหวงเฮ้อ ไปยังท่าเรือริมน้ำก่อน จากนั้นค่อยไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับยอดเขาอวิ๋นจี๋ ป๋ายเสวียนที่ไร้ชีวิตชีวา พออยู่ในสถานที่ที่ไม่มีชุยตงซานก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง สบถด่าทันใด บอกว่าเจ้าลูกกระต่ายจากถ้ำมังกรขาวผู้นั้น สักวันต้องโดนกระบี่จากนายน้อยทิ่มเข้าสักที
ทางฝั่งของหาดหินหวงเฮ้อ เจียงซ่างเจินเองก็เอ่ยขอตัวลาจากไปอย่างว่องไว บอกว่าจะไปที่ภูเขาเหล่าจวินสักรอบหนึ่ง มีพี่สาวเทพธิดาที่สนิทสนมคุ้นเคยอยู่ที่นั่น ยกศาลาให้กับอาจารย์และลูกศิษย์สองคน
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งครั้ง บ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่งก็เปล่งวูบแล้วหายไป สกัดกั้นฟ้าดินทันใด
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร? อยู่ที่ใบถงทวีปพอดีหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “อาจารย์ว่าบังเอิญหรือไม่เล่า”
เฉินผิงอันกึ่งเชื่อกึ่งกังขา เงียบไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยเสียงแผ่ว “ได้พบเจ้าก็รู้สึกเหมือนกำลังฝันอีกครั้งแล้ว”
ชุยตงซานนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เป็นความจริง จริงแท้แน่นอน ไม่มีหนึ่งในหมื่น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองไปยังภาพแสงจันทร์กระจ่างเหนือผืนน้ำฤดูใบไม้ผลิ แล้วบนใบหน้าก็ค่อยๆ มีรอยยิ้ม
ฝันในฝัน ฝันซ้อนฝัน ตรงกับความตั้งใจ ตรงกับความไม่ตั้งใจ บนโลกที่เมฆล่องลอย เกิดดับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เดียว ประหนึ่งจริงประหนึ่งมายา แต่พอเห็นดวงจันทร์ที่ลอยกลางอากาศเหนือหาดหินหวงเฮ้อ ทำให้คนอึ้งงันโดยไม่รู้ตัว พิศชมน้ำอย่างไร้คำพูดคำจา มองดวงจันทร์ดวงใจสายน้ำอย่างเงียบงัน คืนสติมองส่องตัวเอง ออกจากบ้านข้ามแม่น้ำยิ้มร่า ถึงได้รู้ว่าข้ามีไข่มุกหนึ่งลูก มองทั่วขุนเขาสายน้ำ คล้ายหมื่นบุปผาบานสะพรั่ง ไม่กลัวฝันใหญ่เป็นดั่งดอกราตรีบานหาย ในใจปลูกต้นไม้ผลิบานหมื่นปี
เฉินผิงอันถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิ กวักมือเรียกชุยตงซาน จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางแม่น้ำนอกศาลา
ชุยตงซานขยับเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งข้างอาจารย์ ทอดสายตามองทิศไกลไปด้วยกัน
เฉินผิงอันตบไหล่ชุยตงซานเบาๆ “คงจะสบายดีสินะ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ดีมากๆ พอได้พบอาจารย์ก็ดียิ่งกว่าเดิมอีก”
เฉินผิงอันกำหมัดเบาๆ ต่อยลงบนหัวใจของตัวเอง ถามลูกศิษย์ของตัวเอง “ยังดี?”
ชุยตงซานยังคงพยักหน้า “ยังดีเหมือนกัน อาจารย์ล่ะ?”
เฉินผิงอันเองก็พยักหน้า “ข้าก็ยังดีเหมือนกัน”
เฉินผิงอันวางสองมือทาบไว้บนหัวเข่า “ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วล่ะ?”
ชุยตงซานหัวเราะ “นั่นก็ยิ่งดีๆๆ เลยล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าหรือจะกล้ามาพบอาจารย์เป็นคนแรก มาเพื่อถูกด่าถูกตีหรือไร?”
เงียบกันไปพักหนึ่ง ชุยตงซานก็ยิ้มกล่าว “เล่าเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งให้อาจารย์ฟังดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “เล่ามาสิ”
ชุยตงซานกลั้นขำ “มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งชื่อว่าเจิ้งเฉียน ขอบเขตยอดเขา สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและแจกันสมบัติทวีป ปีนั้นพอสงครามสิ้นสุดลง คนที่ไปหานางเพื่อถามหมัดมีมากมายไม่ขาดสาย จากนั้นข้าก็ได้เจอกับชายชาตรีคนหนึ่งที่ไปถามหมัด พี่ชายคนนั้นเพิ่งจะขอบเขตเจ็ด แต่พูดกับข้าอย่างน่าเชื่อถือว่า ประลองกับนางไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย หมัดเดียวก็ได้นอนหลับอยู่บนพื้น แค่สงบใจรอคอยให้ฟื้นคืนมาก็ได้แล้ว พอฟื้นขึ้นมาก็แค่ไปขอเงินค่ายาให้นางชดใช้เงินได้เลย หมัดก็ได้ประลอง เงินก็หามาได้เช่นกัน”
เฉินผิงอันมีสีหน้าสงสัย ตกตะลึง จากนั้นในดวงตาก็มีแต่รอยยิ้ม สุดท้ายกลับมีความเสียใจปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “มิน่าเล่าถึงมีคนยินดีประลองหมัดกับเฉาสือสี่ครั้ง”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที “เพราะนางรู้สึกว่าขนาดอาจารย์พ่อยังแพ้ไปสามครั้ง ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาต้องแพ้มากกว่าสักครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะโดนเขกมะเหงก ดังนั้นทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ยังต้องสู้”
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งเกาหัว “เป็นแบบนี้เองหรือ”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็พูดด้วยรอยยิ้มตาหยี “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องแพ้ให้กับเฉาสือเจ็ดครั้งติดกันถึงจะได้หรอกหรือ? ส่วนจะได้หรือไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู ดูท่าข้าคงต้องไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักรอบแล้ว”
ชุยตงซานหันหน้ากลับมา “อะไรกันๆ ทำไมพี่สาวท่านนี้ถึงแอบฟังข้าคุยกับอาจารย์ล่ะ?!”
เฉินผิงอันหันตัวกลับไป ข้างกายเจียงซ่างเจินมีสตรีสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่งยืนอยู่ เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ตามหลักแล้วไม่มีทางได้ยินคำพูดของตน แต่มีเจียงซ่างเจินกับชุยตงซานสองคนนี้อยู่ก็บอกได้ยากแล้ว
เฉินผิงอันชำเลืองตามองชุยตงซาน
ชุยตงซานรีบยกสองมือขึ้นทันใด “ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
แล้วก็จริงดังคาด นางยิ้มเอ่ย “ไม่ได้ยินอะไรมากนัก แค่ประโยคสุดท้ายที่บอกว่าต้องแพ้ให้เฉาสือติดกันเจ็ดครั้ง ทำให้คนนับถือยิ่งนัก ไม่ใช่ว่ามีใจอยากแอบฟัง แต่เป็นเพราะยามที่เจ้าพูดจา รัศมีของผู้ฝึกยุทธค่อนข้างน่าตกใจ ก็เลยอดไม่ไหว”
นางกุมหมัด “ดังนั้นข้าจึงขอเอ่ยอภัยเจ้าไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
สตรีงามพิลาสล้ำ เทียบกับศาลาสูงโปร่งแล้วยังสะโอดสะองยิ่งกว่า ยามที่ยืนคู่กับเจียงซ่างเจินก็ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
เฉินผิงอันสวมรองเท้าให้เรียบร้อย ลุกขึ้นยืนยิ้มเอ่ย “แค่คุยโวก็ผิดกฎหมายด้วยหรือ”
สตรีที่อยู่นอกศาลาก็คือเจ้าของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน เย่อวิ๋นอวิ๋นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง หนึ่งในสิบปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธในประวัติศาสตร์ของใบถงทวีป อันดับสองด้านการเรียนวรยุทธในทุกวันนี้
ปณิธานหมัดทั่วร่างของปรมาจารย์เปี่ยมล้นยิ่งใหญ่ ทั้งยังสวมชุดสีเหลือง จึงระบุตัวตนได้ง่าย
ดวงตาของเย่อวิ๋นอวิ๋นฉายประกายวาววับ ถามว่า “ขอประลองกับเจ้าสักครั้งได้ไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่มีความจำเป็น มองออกว่าขนบธรรมเนียมของเรือนอวิ๋นฉ่าวดีมาก”
นี่มันเหตุผลอะไรกัน?
เย่อวิ๋นอวิ๋นถามอย่างสงสัย “คนขอบเขตเดียวกันถามหมัดประลองวิถีวรยุทธกัน ไม่ใช่เหตุผลหรือ? โอกาสเช่นนี้หาได้ยาก แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็น่าจะทะนุถนอมเห็นค่าบ้างสิ? ใบถงทวีปในทุกวันนี้ อู๋ซูยังไม่กลับมา ก็มีผู้เยาว์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแค่คนเดียวแล้ว”
แม้ว่าในบรรดาผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของใต้หล้าไพศาล หากไม่นับรวมเฉาสือ เย่อวิ๋นอวิ๋นก็จะถือว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด แม้จะบอกว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ต้องรอนานเท่าไรก็จะถูกเจิ้งเฉียน หรือไม่ก็ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงเข้ามาแทนที่ตำแหน่ง แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเย่อวิ๋นอวิ๋นที่อายุน้อยที่สุด ดังนั้นในเมื่ออีกฝ่ายไม่ปฏิเสธในคำกล่าวที่ว่า ‘ขอบเขตเดียวกัน’ ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเหมือนกัน
เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ
ส่วนเจียงซ่างเจินกับชุยตงซานต่างก็มีสีหน้าเหยเก
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “หรือว่าผู้อาวุโสเดินทางมาเยือนใบถงทวีปครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาประลองหมัดกับเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน?”
การข้ามทวีปหาประสบการณ์ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางทุกคนมีเป้าหมายเพื่อไปประลองฝีมือกับคนขอบเขตเดียวกันแทบทั้งสิ้น น้อยครั้งนักที่จะมีข้อยกเว้น
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้สึกว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่ขอบเขตสูงมากพอจะเอาเรื่องการแพ้ชนะจากการถามหมัดกับเฉาสือมาพูดล้อเล่น
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงข้าคือผู้เยาว์”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันกระจ่างแจ้ง ก่อนหน้านี้โชคชะตาบู๊ที่ไหลกรูเข้ามายังใบถงทวีป ดูท่าคงเป็นเพราะคนผู้นี้เพิ่งเลื่อนจากขอบเขตเก้าสู่ขอบเขตสิบสินะ? หากเป็นเช่นนี้จริง ต่อให้อีกฝ่ายอายุมากกว่า ตามกฎของยุทธภพแล้วก็ยังสามารถถือว่าเป็นผู้เยาว์ของตนได้จริงๆ
แต่หากเป็นเช่นนี้เย่อวิ๋นอวิ๋นก็มีเหตุผลให้ถามหมัดแล้ว ผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นคนหนึ่งใช้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดฝ่าทะลุขอบเขตที่บ้านเกิด เดิมทีนี่ก็คือการถามหมัดอย่างยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วก็เพราะอู๋ซูไม่อยู่ที่ใบถงทวีป ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถึงคราวของนางที่ต้องมาถามหมัด
เย่อวิ๋นอวิ๋นเพียงแค่กุมหมัดด้วยท่าทางจริงจัง ไม่เอ่ยคำใด
ผู้คนในจวนตระกูลเซียนเปลือกหอยหลายหลังพากันเบิกตากว้างมองมาทางศาลาแห่งนี้ นี่เป็นเรื่องสนุกใหญ่เทียมฟ้า แล้วยังมีผู้ฝึกตนหญิงที่เรือนกายอ้อนแอ้นบอบบางทั้งหลายเริ่มทำการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแล้วด้วย
เพราะหวงอีอวิ๋นจะถามหมัดกับผู้อื่น!
น่าเสียดายที่ทางศาลาจัดวางค่ายกลขุนเขาสายน้ำเอาไว้ จึงมองไม่เห็นใบหน้าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อยู่ตรงนั้น คงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธอู๋ซูหวนกลับคืนบ้านเกิดหรอกกระมัง?
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังจวนเปลือกหอยแวบหนึ่ง ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเดินออกจากตราผนึกขุนเขาสายน้ำ บ้างก็ยืนพิงบ้างก็นั่งลงบนราวรั้วหยกขาว ดังนั้นต่อให้เดิมทีจะยินดีประลองฝีมือกันสักครั้ง ตอนนี้ก็หมดอารมณ์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินทางมาเยือนใบถงทวีปเพียงลำพัง ตอนแรกได้นั่งเรือข้ามฟากจากแผ่นดินกลางมาถึงที่ตั้งเก่าของสำนักฝูจีก่อน จากนั้นนางถึงเดินทางขึ้นเหนือจากราชวงศ์ต้าเฉวียนมาตลอดทาง เลียบมาตามเส้นทางที่เคยเดินทางผ่าน มุ่งหน้าตรงขึ้นเหนือ ระหว่างนั้นได้ผ่านเมืองหูเอ๋อร์ที่กลายเป็นซากปรักไปแล้ว โรงเตี๊ยมแห่งนั้นก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ท่องเที่ยวมาตลอดทาง พันขุนเขาหมื่นสายน้ำ ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า นางเดินมากระทั่งถึงสะพานโค้งขนาดเล็กของยอดเขาเทียนแจว๋ แล้วจู่ๆ ก็ไม่อยากจะกลับบ้านไปทั้งอย่างนี้ นางจึงเดินย้อนกลับไปทางเดิม หวนกลับไปยังราชวงศ์ต้าเฉวียนอีกครั้ง ผ่านนครเซิ่นจิ่ง ขึ้นไปบนยอดเขาจ้าวผิง จากนั้นก็ลงจากภูเขา สุดท้ายยังเดินลงใต้ไปตลอดทาง คิดว่าจะไปดูท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางใต้สุดของใบถงทวีปสักรอบ ไปเยือนท่าเรือชวีซานแล้วถึงได้ค้นพบว่าตัวเองยังไม่ค่อยอยากกลับแจกันสมบัติทวีปเท่าใดนัก ก็เลยไปที่สำนักกุยหยกเสียเลย ลังเลอยู่นานถึงได้ตัดใจจ่ายเงินไปเที่ยวในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ลง อีกทั้งยังตัดสินใจแล้วว่าจะแค่ไปเยือนภูเขาทายาทของภูเขาเหล่าจวินรอบเดียวเท่านั้น เพราะได้ยินว่าภูเขาเยี่ยนซานของที่นั่นสามารถเก็บหินที่เอาไปทำหินฝนหมึกมาได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน หากเป็นเหมือนปีนั้นที่ตนเคยเก็บตกของดีได้เล่า? ถ้าหากเล่า
ดังนั้นนางจึงอยู่ที่ภูเขาเยี่ยนซานนานหลายวัน แล้วยังเลือกหินฝนหมึกที่ไม่เลวมาได้หลายก้อน ล้วนถูกนางเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น
จากนั้นวันนี้หญิงสาวเรือนกายสูงเพรียวก็ได้เห็นเด็กสี่คน แค่มองก็รู้ว่าต้องเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ นางจึงเก็บความคิดจิตใจ อำพรางเรือนกาย เงี่ยหูคอยรับฟังบทสนทนาเบาๆ ที่ค่อนข้างระมัดระวังของเด็กทั้งสี่
ชุยตงซานพลันหันหน้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ใต้หล้ามีเรื่องที่ไม่บังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา (เป็นคำเปรียบเปรยว่าบังเอิญอย่างมาก) ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
จิตของเจียงซ่างเจินก็สัมผัสได้ตามมาติดๆ เจ้าตัวดี ถึงขนาดทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำได้โดยไม่มีใครรู้เชียวหรือ? พวกผู้ถวายงานและเค่อชิงที่ช่วยเฝ้าอยู่ตรงท่าเรือเป็นถังข้าวกันหมดหรืออย่างไร?
ฝั่งตรงข้ามของหาดหินหวงเฮ้อ แผ่นดินพลันสั่นสะเทือน แม่น้ำทั้งสายพลันซัดเชี่ยวกราก หญิงสาวสวมชุดดำคนหนึ่งชะงักค้างอยู่นาน จากนั้นก็พลันทะยานตัวขึ้นสูง พลิ้วกายลงใกล้กับศาลา นางหันหลังให้ศาลา หันหน้าหาเย่อวิ๋นอวิ๋น เอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า “เจ้าก็คู่ควรจะถามหมัดกับอาจารย์พ่อของข้าด้วยหรือ?!”
ทุกคนที่มองดูเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ ต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดหยอกล้อ แต่กลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงหัวเราะแม้แต่คนเดียว
คนชุดเขียวเดินก้าวหนึ่งพุ่งวูบออกมาจากศาลา มาหยุดอยู่ข้างกายนาง เขาเพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น งอสองนิ้วเขกมะเหงกลงบนหัวของหญิงสาวเบาๆ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พูดจากับผู้อาวุโสแบบนี้ได้อย่างไร”
หญิงสาวยู่หน้าจนใบหน้ายับย่น หันไปมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง ด้วยกลัวว่าจะฝันไป นางถึงขั้นไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ กลัวว่าหากไม่ระวังแล้วตัวเองจะสะดุ้งตื่นจากความฝัน
เฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวเผยเฉียนโยกเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โอ้โห สูงขนาดนี้แล้วหรือ ไม่คิดจะทักทายอาจารย์พ่อหน่อยหรือไร?”
ในที่สุดเผยเฉียนก็เบี่ยงตัวกลับมา ก้มหน้าลง เรียกเบาๆ ว่าอาจารย์พ่อคำหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเสียใจว่า “นานหลายปีแล้ว อาจารย์พ่อไม่อยู่ ไม่มีใครคอยดูแลข้า”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ก่อนจะเขกมะเหงกใส่ลูกศิษย์เปิดขุนเขาของตัวเองเต็มแรงอีกที จากนั้นหันไปยิ้มมองหวงอีอวิ๋น กุมหมัดคารวะกลับคืน
เย่อวิ๋นอวิ๋นถึงขั้นทำตัวไม่ถูก
บุรุษสวมชุดเขียวที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ห้อยดาบและน้ำเต้าไว้ตรงเอว สีหน้าและสายตาของเขาราวกับกำลังเอ่ยขอโทษจากใจจริง แต่ก็เหมือนกำลังพูดด้วยว่า…อย่าถามหมัดอีกเลย เจ้าจะตายได้
——