กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 754.2 ยากที่สุดคือวันนี้ไร้เรื่องใด
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “พอไปถึงแจกันสมบัติทวีป ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด จำไว้ว่าพวกเราต้องอ้อมผ่านภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็น ไม่อย่างนั้นกังวลว่าหากอดไม่ไหว ข้าอาจจะไปเป็นแขกที่ศาลบรรพจารย์ของพวกเขาก็เป็นได้”
ชุยตงซานกล่าว “ศิษย์จำเอาไว้แล้ว ระหว่างที่เดินทางจะเตือนให้อาจารย์หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าคิดอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ากลับไปถึงบ้านแล้วจะต้องทำอย่างนั้น เดินก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่งก็แล้วกัน ไปถึงยอดเขาจี้เซ่อ พวกเราค่อยมาปรึกษากันอีกที”
ชุยตงซานพยักหน้ารับเบาๆ
เฉินผิงอันพึมพำประโยคหนึ่งอยู่ในใจ
อยู่ท่ามกลางกฎทุกช่วงเวลา กฎไร้อุปสรรคทุกหนทุกแห่ง
ชุยตงซานยื่นมือมาป้องข้างปาก กระซิบเบาๆ ว่า “อาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่หญิงใหญ่อยากจะกำชายแขนเสื้อของท่านน่ะ”
เผยเฉียนหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ห่านขาวใหญ่!”
ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นสะบัดชายแขนเสื้อ “เอาไปได้ตามสบายเลย”
เผยเฉียนหรือจะกล้า นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ เอาศอกกระทุ้งไหล่ชุยตงซาน ห่านขาวใหญ่รีบร้องอึกอักในลำคอหนึ่งที ร่างกระเด็นออกไปในแนวขวาง พลิกตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบจนนับไม่ถ้วน หล่นลงพื้นแล้วยังกลิ้งต่อไปอีกเจ็ดแปดตลบ กระทั่งนอนตัวตรงแน่วอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันถาม “การกระทำนี้ของเจียงซ่างเจิน?”
ชุยตงซานดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย พยักหน้าเอ่ย “ทุกวันนี้เรือนอวิ๋นฉ่าวถือว่าเป็นกระแสน้ำใสท่ามกลางเทือกเขาของใบถงทวีปที่หาได้ยาก คาดว่าเจียงซ่างเจินคงจะหวังให้พี่หญิงเย่ของเขารีบมาทำความรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเอาไว้ วันหน้าจะได้สะดวกให้ไปมาหาสู่กนบ่อยๆ เพราะถึงอย่างไรรอกระทั่งน้ำลดหินผุด พวกเราป่าวประกาศเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง ด้วยนิสัยที่ปลีกตัวสันโดษของหวงอีอวิ๋นแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาพวกเราก่อน รอกระทั่งพวกเรามาก่อสำนักตั้งพรรคที่นี่ เวลานั้นภูเขาผูซานก็น่าจะเกิดความขัดแย้งกับอารามจินติ่งและถ้ำมังกรขาวแล้ว เรือนอวิ๋นฉ่าวมาเป็นพันธมิตรกับพวกเราก็ถือว่ากำลังไฟกำลังพอเหมาะพอดี เจียงซ่างเจินต้องเดาความคิดของอาจารย์ออกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ พี่น้องโจวเป็นผู้ถวายงานที่อุทิศตนทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจจนไม่มีอะไรให้ตำหนิเลยจริงๆ”
ทางฝั่งของท่าเรือนี้ เรือข้ามฟากลำหนึ่งยังคงลอยเท้งเต้งอยู่บนใจกลางแม่น้ำ นอกจากพวกเขาสามคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการทุ่มทองนับพันชั่งของเจียงซ่างเจิน จนถึงตอนนี้นักท่องเที่ยวของยอดเขาอวิ๋นจี๋และภูเขาเหล่าจวินจำนวนไม่น้อยต่างก็ยังถูกกักตัวไว้ที่หน้าประตู ไม่อาจอาศัยหาดหินหวงเฮ้อผ่านไปยังจุดชมทัศนียภาพแห่งอื่นได้ เว้นเสียจากว่าเลียนแบบเผยเฉียนที่มีความกล้าหาญและมีความสามารถจริงมาฝ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำเอาเท่านั้น
อันที่จริงบนแม่น้ำยังมีสะพายลอยอีกแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกเฉิงเฉาลู่ก็ใช้สะพานนี้ข้ามแม่น้ำกันไป หากผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหาดหินหวงเห้อหลุบตาลงมามองยังแม่น้ำใหญ่ กลับจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการบดบังทัศนียภาพอันงดงาม
เฉินผิงอันหยุดอยู่ตรงท่าเรือ เห็นได้ชัดว่าคิดจะโดยสารเรือข้ามแม่น้ำ
ก่อนหน้านี้ตนกับเผยเฉียน อาจารย์และศิษย์สองคนทยอยกันข้ามแม่น้ำมา ความเคลื่อนไหวไม่ใช่น้อยๆ สายน้ำซัดเชี่ยวกรากจนเรือลำน้อยโยกคลอนไม่หยุด ผู้เฒ่าคนพายเรือบ่นพึมพำ เกินครึ่งน่าจะกำลังสบถด่าอยู่
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากจะเอ่ยขออภัยกับเขาด้วยตัวเองสักครั้ง นี่ไม่เกี่ยวกับกับว่าผู้เฒ่าคนพายเรือที่ถ่อเรือข้ามแม่น้ำหาเงินเป็นใคร มีขอบเขตอะไร จะใช่ยอดฝีมือหลบเร้นตัวที่ชอบเป็นชาวประมงแต่งบทกวีหรือไม่
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังรอคอยให้เรือข้ามฟากขยับเข้ามาใกล้ ก็เอ่ยกับเผยเฉียนที่ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านข้างไปด้วยว่า “เมื่อก่อนไม่อยากให้เจ้ารีบร้อนเติบโต ก็เพราะอาจารย์พ่อมีความกังวลนานัปการเป็นของตัวเอง แต่ในเมื่อเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังต้องเจอกับความลำบากมาไม่น้อย อันที่จริงการเติบใหญ่เช่นนี้ก็เป็นการเติบโตอย่างหนึ่ง เจ้าก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว เพราะอาจารย์พ่อก็เคยเดินผ่านมันมาก่อนเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสายตาของอาจารย์พ่อ เจ้าก็ยังคงเป็นเด็กคนนั้นไปตลอดกาล”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “มีอาจารย์พ่ออยู่ ไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา ยื่นฝ่ามือมาทำท่าวัดอยู่สองที หนึ่งคือวัดส่วนสูงของเผยเฉียนตอนที่อาจารย์และศิษย์จากกันในปีนั้น อีกหนึ่งคือวัดส่วนสูงของเผยเฉียนที่เฉินผิงอันคิดไว้ในใจยามที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง ยังคงไม่ถึงไหล่ของเผยเฉียนในตอนนี้ แล้วยิ้มเอ่ย “พูดก็ส่วนพูด แต่อันที่จริงในใจอาจารย์พ่อก็อดวูบโหวงไม่ได้ ส่วนสูงเพิ่มพรวดพราดขนาดนี้ อาจารย์พ่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี วันหน้าจะต้องชดใช้ให้เจ้า ใช่แล้ว หลายปีมานี้คงไม่ได้เลิกคัดตัวอักษรกระมัง?”
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “ไม่สักหน่อย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ส่วนเรื่องการกดขอบเขตป้อนหมัดนั้นก็ช่างเถิด ก่อนหน้านี้อาจารย์พ่อเพิ่งฝ่าทะลุขอบเขตได้ไม่นาน แล้วยังโดนหมัดหนึ่งไปเต็มๆ บาดเจ็บไม่เบา เจ้าก็เห็นว่าหวงอีอวิ๋นมาถามหมัดกับอาจารย์พ่อ อาจารย์พ่อก็ยังไม่ตอบตกลงเลยไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนหน้ามุ่ย แต่ในสายตากลับกลั้นยิ้ม
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่หล่นลงมาโดยที่เผยเฉียนไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงเบาว่า “ยังชอบร้องไห้เหมือนเดิม กลับไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กสักเท่าไร”
ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างโอดครวญขึ้นมา “อาจารย์ อันที่จริงศิษย์เองก็มีน้ำตาแห่งความยากลำบากอยู่เหมือนกันนะ มากมายจนวักมาไว้ในมือแล้วชมจันทร์ได้แล้วล่ะ”
“ไสหัวไป”
“ได้เลย”
เรือข้ามฟากยังไม่ทันได้เทียบท่าอย่างแท้จริง คนพายเรือผู้เฒ่าก็ใช้ไม้ไผ่ถ่อเรือในมือยันท่าเรือเอาไว้ก่อน ให้เรือทิ้งระยะห่างจากท่าจอดมาเล็กน้อย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขึ้นเรือข้ามแม่น้ำ หนึ่งคนหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ลูกค้าตัดใจควักเงินอยุติธรรมนี่ไม่ลงหรือ?”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “การกระทำก่อนหน้านี้ไร้มารยาท จึงอยากขอโทษท่านผู้เฒ่า แค่คำพูดคำจาอาจแสดงความจริงใจไม่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายเงินถือเป็นการชดใช้ให้แล้วกัน”
เผยเฉียนกุมหมัดตามอาจารย์พ่อไปด้วย เพียงแต่ว่านางพูดไม่เก่งเหมือนอาจารย์พ่อ จึงไม่เอ่ยอะไร
คนพายเรือเฒ่าคลี่ยิ้มทันใด รีบปล่อยมือจากไม้พาย เรือข้ามฟากจึงกระทบกับท่าเรือเบาๆ “วิธีหาเงินของสกุลเจียงใจดำเกินไป ถึงขนาดมีสะพานลอยอยู่เหนือแม่น้ำแล้ว ยังจะไร้จิตสำนึกสั่งให้ข้ามาพายเรือข้ามฟากอีก หากไม่เป็นเพราะพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น มีกฎให้ต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นการข้ามแม่น้ำวันนี้ก็คงไม่ให้ลูกค้าควักกระเป๋าเงินแล้ว”
เฉินผิงอันจ่ายเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญ คนพายเรือผู้เฒ่าเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ หันหัวเรือให้เอียงข้างเทียบท่า ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหัวเรือของเรือลำเล็ก
คนทั้งสามขึ้นเรือ เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงหัวเรือ เผยเฉียนนั่งต่อจากอาจารย์พ่อ สองมือกำเป็นหมัดวางเบาๆ ไว้บนหัวเข่า ส่วนชุยตงซานนั่งอยู่ตรงกลางเรือลำน้อยเพียงลำพัง โยนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งลงน้ำ มองดูคล้ายใช้ชายแขนเสื้อตกปลา
เรือลำน้ำค่อยๆ ล่องไปถึงใจกลางแม่น้ำ
ผู้เฒ่าคนพายเรือพลันหันหน้ากลับมา “ลูกค้าเหมือนบัณฑิตที่อ่านตำรามาจนความรู้เต็มท้อง โปรดอภัยที่ข้าละลาบละล้วง ไม่ทราบว่าอะไรคือการเข้าฌาน?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถามว่าจิตแห่งพุทธคืออะไร ไม่รู้ว่าก็คือการเข้าฌาน”
ผู้เฒ่าคนพายเรือขบคิดอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ท่านอาจารย์มีความรู้ยิ่งใหญ่ คำกล่าวนี้มีสัจธรรมที่แท้จริง ข้าผู้เฒ่าถ่อเรืออยู่ที่นี่มานานหลายปี เคยถามบัณฑิตมาหลายคน แต่กลับไม่มีใครให้คำตอบที่ดีอย่างท่านอาจารย์”
การถามใจตัวเองคือจิตที่บังเกิดความคิด ด้วยเหตุนี้จึงคิดอยากจะฝึกบำเพ็ญตน ไม่รู้ว่าตัวนี่ทำให้จิตใจสงบนิ่ง หากสามารถใช้สิ่งนี้มาถามใจตัวเองไม่หยุด ก็จะค่อยๆ ฝึกตนด้วยวิถีพุทธไปเยือนหลิงซาน สุดท้ายเมื่อในใจมีหลิงซานก็ไม่แสวงหาสิ่งที่อยู่ไกล ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “เป็นคำตอบที่ข้ายืมมาจากตำราของอริยะปราชญ์”
ชุยตงซานรีบเงยหน้าขึ้น เอ่ยแก้ไขให้ทันที “อย่าๆๆ ตำราโบราณไม่มีคำกล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความคิดในใจของอาจารย์ข้า ไยอาจารย์ต้องถ่อมตัวด้วยเล่า”
ผู้เฒ่าคนพายเรือพยักหน้ารับ “ข้าเชื่อว่าเป็นคำตอบที่อาจารย์ใคร่ครวญออกมาได้เอง ในใจมีคำตอบเช่นนี้อยู่นานแล้ว แค่รอคำถามของคืนนี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าชื่อเฉาโม่ ผู้อาวุโสสามารถเรียกชื่อข้าตรงๆ ได้เลย”
ผู้เฒ่าคนพายเรือส่ายหน้า “ความรู้ไม่มีแก่หนุ่ม ผู้ที่มีความรู้คือผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ท่านอาจารย์ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเช่นนี้จริงๆ แต่ท่านอาจารย์มีชื่อที่ดีจริงๆ นะ ชื่อ ‘เฉาโม่’ ของบนโลกที่มีชื่อเสียงที่สุด เดิมทีก็อยู่ในอันดับหนึ่งของนักฆ่าอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญคือยังสามารถแพ้ก่อนแล้วค่อยชนะที่หลัง ความอดทนและพลังกำลังในช่วงสุดท้ายล้วนเปี่ยมล้น ในเมื่อท่านอาจารย์มีชื่อแซ่เดียวกับคนผู้นี้ เชื่อว่าผลสำเร็จในวันหน้ามีแต่จะสูง ไม่มีต่ำแน่นอน”
เฉินผิงอันรีบพูดว่าไม่กล้าคิด ไม่กล้าคิดทันที แต่หางตาแอบชำเลืองตาชุยตงซาน ชุยตงซานก็รีบขยิบตากลับคืนมาให้ บอกเป็นนัยว่าอาจารย์คิดมากเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าผู้เฒ่าคนพายเรือตรงหน้าผู้นี้ก็คือเฉาโม่ผู้นั้น แบบนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรอกหรือ
“มีคนออกจากตำแหน่งขุนนางกลับคืนสู่บ้านเกิด มีคนเร่งเดินทางยามค่ำคืนไปร่วมสอบที่สนาม ชีวิตคนยุ่งวุ่นวายไม่มีหยุดพัก ช่างลำบากยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าคนพายเรือเอ่ยปลงอนิจจังกับตัวเองไปคำรบหนึ่ง แล้วก็อดไม่ไหวหันกลับมาถามอีกว่า “อาจารย์รู้จักสิบหกเรื่องชวนอภิรมย์ในชีวิตมนุษย์ที่ซูเซียนกล่าวถึงหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยามค่ำคืนมีแสงจันทร์จับมือสหายล่องเรือใต้หน้าผา ลมเย็นพัดโชยมา ริ้วน้ำไม่กระเพื่อมแรง ก็คือเรื่องที่ชวนให้สบายอารมณ์ข้อหนึ่งของซูจื่อ”
คนพายเรือเฒ่าจ้วงไม้พายเต็มแรง เรือลำน้อยล่องแหวกกระแสน้ำไปเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย “ซูเซียนองอาจผึ่งพาย ข้ากลับรู้สึกว่าสิบหกเรื่องของทัศนียภาพงดงามช่วงเวลายอดเยี่ยมล้วนสู้ ‘วันนี้ไร้เรื่องใด’ ไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้ว เพียงแต่ว่าเส้นทางอยู่บนกระเบื้องและอิฐ ความยุ่งก็คือการฝึกตน การพักผ่อนคือการฝึกใจ แต่ละวันพัฒนาไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้ว สามารถทำให้ช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายในวันนี้เปลี่ยนมาเป็นวันนี้ไร้เรื่องวุ่นวายได้ ก็คือคำกล่าวที่ว่าในและนอกจิตแห่งมรรคาล้วนคือการฝึกบำเพ็ญตน ข้าคือคนที่แท้จริงบนพื้นปฐพีแล้ว”
คนพายเรือผู้เฒ่าใช้ไม้พายจ้วงน้ำเบาๆ ริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก เรือน้อยโยกคลอน “คำพูดประโยคนี้ของอาจารย์ช่างยอดเยี่ยมนัก โอสถทองและเทพเซียนพสุธาทุกคนควรจะได้ยินคำกล่าวนี้ของท่านอาจารย์ ในใจของคนที่มีไอร้อนแผดเผาผุดระอุก็จะได้รับความเย็นฉ่ำซัดให้สลายหายไป”
เฉินผิงอันกุมมือยิ้มเอ่ย “อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวหนักเกินไปแล้ว”
เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว นางนั่งอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อ ลมเย็นบนผิวน้ำโชยมา บนฟ้าคือแสงจันทร์กระจ่างนวลตา เผยเฉียนฟังอาจารย์พ่อพูดคุยกับคนอื่น จิตใจของนางสงบนิ่ง ความคิดใสกระจ่าง ร่างทั้งร่างค่อยๆ ผ่อนคลายลง แจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีป ธวัลทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เกราะทองทวีป ใบถงทวีป ผู้ฝึกยุทธหญิงสาวที่เคยเดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำหกทวีปมาเพียงลำพังค่อยๆ ปิดตาลง คล้ายหลับคล้ายไม่หลับ ราวกับว่าในที่สุดก็สามารถพักผ่อนอย่างสบายใจได้สักครู่หนึ่งแล้ว ปณิธานหมัดจึงผสานรวมเข้ากับฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ
ไปถึงท่าเรือฝั่งตรงข้าม เฉินผิงอันกับเผยเฉียนลงจากเรือ ชุยตงซานกลับบอกว่ายังนั่งเรือได้ไม่หายอยาก ขอนั่งเรือไปกลับอีกสักหนึ่งรอบ อาจารย์โปรดรอเขาสักเดี๋ยว
เฉินผิงอันจึงเดินเล่นริมแม่น้ำไปกับเผยเฉียน
ผู้เฒ่าคนพายเรือรับเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญมา ชุยตงซานยืนอยู่บนหัวเรือฝั่งหนึ่ง ยิ้มหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “เดินอยู่ริมแม่น้ำเป็นประจำ ระวังเงินจะร้อนลวกมือ”
ผู้เฒ่าคนพายเรือคล้ายจะฟังคำพูดประหลาดของเด็กหนุ่มชุดขาวไม่เข้าใจ จึงเอาแต่ถ่อเรือหาเงินไปอย่างเดียว มุ่งหน้าไปยังท่าเรือของฝั่งหาดหินหวงเฮ้อ
ชุยตงซานกระโดดผลุงหนึ่งที พลิ้วกายลงเหยียบบนกาบเรือเบาๆ สองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเดินเนิบช้า “ในอดีตชื่อเสียงสูงดั่งดาราบนฟากฟ้า ทุกวันนี้ร่างร่วงมาตกอยู่กลางทะเล วัวดำไปเยี่ยมเยือนตำหนักหยกเพียงลำพัง แต่กลับทิ้งกระเรียนเหลือง (หวงเฮ้อ) ให้เฝ้าโอสถทอง”
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชุยตงซานยิ้มกล่าวอีกว่า “ขี่ม้าไม้มุ่งหน้าไปยังดาวเป่ยโต่วด้วยความเคยชิน ตงซานกลับมาถ่อเรือเหล็กบนน้ำ”
ผู้เฒ่าคนพายเรือเหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามแล้วยิ้มเอ่ย “ราชันแห่งดาวตักเหล้าเลิศรส โน้มน้าวให้เหล่ามังกรดื่มกันให้เต็มคราบ”
ต่างฝ่ายต่างเปิดเผยรากฐานของกันและกัน เพียงแต่ว่าต่างก็เหลือพื้นที่ว่างเว้นไว้ พูดถึงแค่รากฐานมหามรรคาส่วนหนึ่งเท่านั้น
ชุยตงซานบอกว่าผู้เฒ่าคนพายเรือที่ใช้นามแฝงในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาว่าหนีหยวนจานผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า คือกระเรียนเหลืองตระกูลเซียนที่ในอดีตเคยออกเดินทางไกลไปยังดาวเป่ยโต่ว สุดท้ายอยู่เฝ้าโอสถทองเม็ดหนึ่งในโลกมนุษย์
ส่วนผู้เฒ่าก็เปิดโปงถึงที่มาของเนื้อหนังมังสาร่างนี้ของชุยตงซานว่าเป็นมังกรเฒ่าแคว้นสู่โบราณตัวหนึ่งในอดีต สามารถบินทะยานสู่ทางช้างเผือก เคยโชคดีถูกเป่ยโต่วเซียนจวินโน้มน้าวให้ดื่มสุรา
เพียงแต่ว่าคำกล่าวเหล่านี้เพียงแค่เกี่ยวพันไปถึงเนื้อหนังมังสาของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ล้วนผ่านกาลเวลามายาวนานมากแล้ว เป็นช่วงยุคบรรพกาลอันห่างไกล คาดว่ายังพอจะถือว่าเป็น ‘สหายเก่าแก่’ กันได้ครึ่งตัวอีกด้วย
——