กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 754.3 ยากที่สุดคือวันนี้ไร้เรื่องใด
ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ในพื้นที่มงคลดอกบัวเคยมีสตรีคนหนึ่งชื่อว่าสุยโย่วเปียน ความปรารถนาชั่วชีวิตนี้ก็คือยินดีจะติดตามอาจารย์ขึ้นไปยังหอสวรรค์ ยามอยู่ว่างกวาดดอกไม้ที่ร่วงหล่นร่วมกับเซียนเหริน? หากนางรู้ว่าอาจารย์ของตัวเองที่มีวิชาอภินิหารเวทกระบี่ซึ่งขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็สามารถกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งบินทะยานของพื้นที่มงคลในอดีต ทุกวันนี้กลับต้องสวมเสื้อคลุมขนนกที่น่าขำมาเป็นคนพายเรือตกอับวันๆ เอาแต่ถ่อเรือข้ามแม่น้ำเพื่อเงินไม่กี่เหรียญเกล็ดหิมะ แล้วยังจะต้องเรียกคนอื่นว่าอาจารย์คำแล้วคำเล่า จะทำให้ลูกศิษย์อย่างนางเจ็บปวดเสียใจอย่างสุดแสน? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงสุยโย่วเปียนก็ออกมาจากพื้นที่มงคลแล้วเหมือนกัน ถึงขั้นที่ว่ายังมาเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยกอยู่หลายปี? พวกเจ้าสองคนไม่เคยได้พบหน้ากันเลยหรือ? หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้ให้เจ้ารอคอยนางสร้างโอสถอยู่ที่นี่?”
ผู้เฒ่าคนพายเรือทอดถอนใจ “รู้แล้วไม่สู้ไม่รู้ยังดีกว่า”
ผู้ที่ทิ้งเรื่องราวเซียนเหริน ‘พิฆาตยุงเหนือแม่น้ำ’ ก็คือคนพายเรือผู้นี้
คำว่าพิฆาตยุง แน่นอนว่าไม่ใช่ยุงทั่วไปจริงๆ แต่เป็นปีศาจขอบเขตหยกดิบที่แอบขโมยกลืนกินปราณวิญญาณฟ้าดินตนหนึ่ง โจรแห่งฟ้าดินที่แทบจะไร้ร่องรอยให้ตามหาตนนี้เคยเกือบจะทำให้เจียงซ่างเจินร้อนใจจนหัวหูแทบไหม้ ลำพังเพียงแค่ตามหาร่องรอยก็เปลืองแรงไปมากแล้ว แม้จะบอกว่าตอนนั้นเจียงซ่างเจินเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว แต่กลับยังไม่อาจช่วงชิงคำเรียกขานอันงดงามว่า ‘หนึ่งใบหลิว สามารถสังหารเซียนเหริน’ มาได้ ลงมือไปสองครั้งแล้วแต่เจียงซ่างเจินก็ยังไม่อาจสังหาร ‘ยุง’ ตัวนั้นได้ ระดับความยากก็เหมือนคนธรรมดายืนอยู่บนฝั่งแล้วขว้างก้อนหินในมือไปกระแทกยุงตัวหนึ่งในธารน้ำให้ตายนั่นเอง
ส่วนผู้เฒ่าคนนี้ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ว่าขอบเขตและเวทกระบี่สูงกว่าเจียงซ่างเจิน แต่เพราะว่ามีวิชาอภินิหารบทหนึ่งที่นำมาใช้ร่วมกับเวทกระบี่ สามารถสยบกำราบปีศาจขอบเขตหยกดิบที่ไปมาไร้ร่องรอยตัวนั้นได้พอดี
ทว่าสุดท้ายแล้วสามารถใช้หนึ่งกระบี่สังหารยุงบนแม่น้ำได้ ก็ยังคงไม่ใช่วีรกรรมที่เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบทั่วไปจะทำได้อยู่ดี
หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้ออกมาจากอารามกวานเต๋าของพื้นที่มงคลดอกบัว อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่สุยโย่วเปียนอาลัยอาวรณ์ไม่เคยลืมเลือน ชุยตงซานก็คร้านจะสนใจ คิดจะปกปิดชื่อแซ่ เป็นคนถ่อเรือไร้ชื่อไร้นามอยู่ที่นี่ไปอีกสักหมื่นปีก็ตามใจเขาเถิด บวกกับที่เมื่อครู่นี้คนผู้นี้ยังจงใจพูดจาหยั่งเชิงอาจารย์ของตน ชุยตงซานก็ยิ่งอดรนทนไม่ไหว อะไรที่บอกว่าลาออกจากขุนนางกลับคืนบ้านเกิด อะไรที่บอกว่าติดอันดับนักฆ่า ในความเป็นจริงแล้วล้วนเป็นปริศนาธรรมที่ซ่อนความลี้ลับเอาไว้ทั้งสิ้น อาจารย์เป็นคนใจกว้าง สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง พบเจอกันนับเป็นวาสนา เจอกันด้วยดีก็จากลากันด้วยดี แต่คนที่เป็นลูกศิษย์จะปล่อยให้คนพายเรือเฒ่าคนหนึ่งมาพูดจาเหลวไหลอยู่ได้อย่างไร
ประเด็นสำคัญคือโอสถทองที่เจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนั้นทิ้งไว้ให้คนผู้นี้ ‘เฝ้าโอสถทอง’ ก็ไม่ใช่วัตถุธรรมดาทั่วไปอะไร มันซ่อนอยู่ในหน้าผาของหาดหินหวงเฮ้อ เป็นโอสถทองที่บรรพบุรุษกระเรียนเซียนบรรพกาลตัวหนึ่งทิ้งเอาไว้
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “เป่ยโต่วเจ็ดดาวสูง อาจารย์ของข้าพกดาบยามค่ำคืน ระวังจะฟันเจ้าให้ร่อแร่ปางตาย”
ผู้เฒ่าคนพายเรือที่ใช้นามแฝงว่าหนีหยวนจานยิ้มเอ่ย “ไม่ได้มีความแค้นใดๆ ต่อกัน อาจารย์ท่านนั้นก็ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย เขาไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอื่นอย่างไร้สาเหตุ”
ชุยตงซานผายมือข้างหนึ่งออกมา “พวกเราสองคนก็อย่ามัวพูดพล่ามเรื่องอื่นให้เสียเวลาเลย เอาโอสถทองออกมา ข้าจะช่วยนำไปมอบให้แก่ลูกศิษย์โอสถทองที่ยังไม่เลื่อนสู่ก่อกำเนิดของเจ้าเอง”
ผู้เฒ่าคนพายเรือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอารามผู้เฒ่าเคยบอกไว้แล้วว่าให้ข้ารอคนมีวาสนาอยู่ที่นี่ หากสุยโย่วเปียนสามารถมาพบหน้าข้า ข้าย่อมผลักเรือตามน้ำ มอบโอสถทองไปให้ แต่ในเมื่ออยู่ใกล้ในระยะประชิดกลับไม่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นคนมีวาสนาอะไรต่อกัน อย่างมากสุดก็มีบุพเพแต่ไร้วาสนา ในเมื่อมีบุพเพแต่ไร้วาสนาก็ยิ่งไม่ควรฝืน เจ้าก็อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย หากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ เจ้าชนะแล้วอย่างไร ข้าไม่มอบโอสถทองไปให้ เจ้าจะเอาไปได้จริงๆ หรือ? ก็แค่เซียนเหรินท่านหนึ่งเท่านั้น มีวิชาอภินิหารเทียบเท่าขอบเขตบินทะยานได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ต่อให้ฆ่าข้าแล้ว แล้วจะอย่างไร?”
“อยู่บนมหามรรคา ตบะสูง หมัดแข็ง ก็แค่ว่าทำลายบรรยากาศดีๆ ไปมากหน่อยเท่านั้น เจ้าสู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ”
ผู้เฒ่าคนพายเรือใช้ไม้พายตีน้ำเบาๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “สีขุนเขาเหมือนคิ้ว สีบุปผาเหมือนแก้ม บนภูเขาว่างเปล่าไร้ผู้คน น้ำไหลดอกไม้ผลิบาน เมฆขาวไร้คนเหยียบย่ำ บุปผาร่วงโรยไร้คนเก็บกวาด นี่ย่อมเป็นธรรมชาติมากที่สุด”
ทางด้านของบนฝั่ง เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เก็บสมุนไพรบนภูเขาฤดูใบไม้ผลิกลับคืน เดินบนเส้นทางยากลำบาก ยามที่ดอกบัวไม่ร่วงโรย บุปผามีปัญญาย่อมเบ่งบานได้เอง”
ผู้เฒ่าคนพายเรือหัวเราะเสียงดังก้อง ถึงขั้นโยนไม้พายไผ่เขียวที่เกิดจากการรวมตัวกันของแก่นน้ำบริสุทธิ์ทิ้งไป ปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำ เห็นเพียงว่ายอดฝีมือนอกโลกท่านนี้สลายเวทอำพรางตาออก บนร่างสวมชุดขนนกที่มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนวน ชอบพูดภาษาธรรมกับคนอื่น ทว่าด้านใต้เสื้อคลุมกลับสวมชุดลัทธิเต๋าสีเหลืองตัวหนึ่ง
นักพรตที่มีโฉมหน้าของวัยกลางคน มือหนึ่งคีบก้อนดินสีทองไว้หนึ่งเม็ด มือขวาประคองหยกขาวหรูอี้ บนไหล่มีคางคกสามขาที่เป็นสีทองทั้งตัวนั่งอยู่
ชุยตงซานแอบเก็บไม้พายไผ่เขียวมาอย่างเงียบเชียบ วัตถุชิ้นนี้ไม่ธรรมดา เท่ากับการรวมตัวกันของโอสถวารีหลายเม็ด มากพอจะสร้างองค์เทพแห่งสายน้ำที่ร่างทองมั่นคงเพิ่มมาในพื้นที่มงคลรากบัวเปล่าๆ หนึ่งองค์แล้ว
นักพรตเต๋าเก็บโอสถทองเม็ดนั้นลงไปแล้วก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำกับเฉินผิงอันว่า ‘หากมีวาสนาย่อมได้พบกันอีก’ แล้วร่างก็เปล่งวูบหายไป ประหนึ่งเซียนเหรินสละร่าง ชุดคลุมตัวนั้นพลิ้วหล่นลงบนตัวเรือ
ชุยตงซานจึงได้แต่ช่วยเก็บเอาชุดคลุมขนนกที่เทียบเท่ากับคราบร่างเซียนเหรินมาอีกครั้ง จะช่วยดูแลรักษาแทนไว้ให้หลายร้อยปีหรืออาจถึงหลายพันปี
บนฝั่ง เผยเฉียนถามเสียงเบา “อาจารย์พ่อ ท่านมองรากฐานของคนพายเรือผู้นี้ออกตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ใช่เสียหน่อย ขึ้นเรือข้ามแม่น้ำแค่เพื่อมาขอโทษเท่านั้น แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ไปยังศาลาชมทัศนียภาพของหาดหินหวงเฮ้อ อาจารย์พ่อแค่ชำเลืองมองผิวน้ำโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง เห็นว่าผืนน้ำกระเพื่อมรุนแรง เรือน้อยโยกคลอนไม่หยุด ฝีมือการแสดงของผู้อาวุโสในตอนนั้น…ไม่ถือว่าเข้าขั้นยอดเยี่ยมสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสก็คือยอดฝีมือนอกโลก คงดูแคลนที่จะจงใจทำเช่นนั้นกระมัง ไม่อย่างนั้นแค่จะปล่อยให้เรือพลิกคว่ำตกน้ำจะไปยากอะไร”
เผยเฉียนรีบเอ่ยอย่างปลงอนิจจังทันที “ยังคงเป็นอาจารย์พ่อที่ท่องยุทธภพมาจนคุ้นเคย มีประสบการณ์โชกโชนกว่าข้าเป็นร้อยเท่าเลยนะ”
เฉินผิงอันพลิกหลังมือเขกมะเหงกไปหนึ่งที
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คิดไปคิดมาตลอดเวลาหลายปีก็ยังคงรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วถูกเผยเฉียนและชุยตงซานพาให้เสียอยู่ดี
บนพื้นผิวแม่น้ำ ชุยตงซานนอนคว่ำอยู่บนเรือลำน้อย ตะโกนเสียงดังว่าอาจารย์ศิษย์พี่หญิงใหญ่รอข้าด้วย แล้วใช้ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างจ้วงน้ำแทนไม้พายเต็มแรง
……
ด้านบนหาดหินหวงเฮ้อ ก่อนหน้านี้พอพวกเฉินผิงอันสามคนจากไป เจียงซ่างเจินก็หันไปมองพวกคนบนเส้นทางเดียวกันที่ชมเรื่องสนุกไม่รังเกียจว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตพวกนั้นแล้วโบกมือ “แยกย้ายๆ แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
ส่วนบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของจวนเซียนเปลือกหอยทั้งหลายของหาดหินหวงเฮ้อ วินาทีที่เผยเฉียนข้ามแม่น้ำขึ้นมาบนหาดหิน ก็ได้ถูกชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินทยอยกันผนึกเอาไว้ ทำให้พวกผู้ฝึกตนหญิงโอดครวญกันไม่หยุด
เจียงซ่างเจินค้นพบว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้ผล เลยได้แต่เอ่ยกับเย่อวิ๋นอวิ๋นว่า “พี่หญิงเย่ เจ้าเป็นคนพูดดีไหม?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นหันไปกุมหมัดให้กับกลุ่มคน
พวกคนที่ออกจากเรือนมาดูเรื่องสนุกเหมือนกระแสน้ำลงเหมือนฝูงนกแตกฮือ ผู้ฝึกตนทุกคนที่พากันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของสถานประกอบพิธีเปลือกหอยพากันถอยกลับเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
หน้าตาของหวงอีอวิ๋น ต้องมอบให้กันบ้าง ไม่กล้าไม่ให้หน้านางจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่บังเอิญได้มาพบเจอปรมาจารย์ใหญ่เย่อวิ๋นอวิ๋นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เรื่องครึกครื้นวันนี้ก็ไม่นับว่าเล็กแล้ว
แต่คนสามคนที่เดินออกมาจากในค่ายกลขุนเขาสายน้ำของหาดหินหวงเฮ้อกลับเดินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับกลุ่มคน เดินมาทางศาลาชมทัศนียภาพพอดี
แบ่งออกเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีป กวอป๋ายลู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลจากเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน และผู้ฝึกตนหญิงที่สวมชุดคลุมอาคมกระโปรงมังกรสาว คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหวงอีอวิ๋น เซวียไหว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด คนหนึ่งคือลูกศิษย์สกุลเย่ของภูเขาผูซาน บรรพบุรุษของนางคือศิษย์พี่ท่านหนึ่งของเย่อวิ๋นอวิ๋น ผู้ฝึกตนหญิงมีนามว่าเย่เสวียนจี ลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าวเป็นพวกหน้าตาดี ส่วนใหญ่มักจะเรียนวิชาคาถาควบคู่ไปกับการฝึกวรยุทธ แต่ขอแค่ข้ามหนึ่งในสองธรณีประตูใหญ่อย่างโอสถทองหรือร่างทองมาได้ การฝึกตนหลังจากนี้ก็จะเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ตั้งใจฝึกตนหรือไม่ก็ตั้งใจฝึกวรยุทธ การที่เป็นเช่นนี้มาจากที่กระบวนท่าเกินครึ่งของวิชาหมัดภูเขาผูซานล้วนมีความเกี่ยวข้องกับภาพค่ายกลตระกูลเซียนหลายภาพที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของภูเขาผูซาน
ดังนั้นภูเขาผูซานจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘กระบวนท่ามาจากภาพ หมัดพุ่งเข้าหาภาพ’ มาโดยตลอด
เพียงแต่ว่าพวกกวอป๋ายลู่สามคนเดินช้ามาก ไม่กล้ารบกวนการพูดคุยระหว่างหวงอีอวิ๋นกับสหาย
ต่อให้เย่อวิ๋นอวิ๋นเป็นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังอดมีโทสะไม่ได้ “เฉาโม่เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้ไม่นาน ยังไม่สามารถสยบโชคชะตาบู๊ทั้งหมดไว้ได้ เป็นเหตุให้ขอบเขตไม่มั่นคง? หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าสามารถรอได้!”
เจียงซ่างเจินเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด แค่พาเย่อวิ๋นอวิ๋นเดินมาถึงริมหน้าผา เจียงซ่างเจินยื่นมือไปลูบคลำราวรั้วหยกขาว พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “อันที่จริงเฉาโม่ปฏิเสธการถามหมัดของเจ้าสามครั้งแล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถามอย่างสงสัย “สามครั้ง?”
เจียงซ่างเจินอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ครั้งแรกคือบอกว่าขนบธรรมเนียมของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานดี ดังนั้นเฉาโม่จึงไม่ยินดีจะประลองกับเจ้า ในสายตาของเจ้า นี่อาจจะไม่ถือเป็นเหตุผลอะไรได้เลย แต่สหายของข้าคนนี้ เขาคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมามักจะชอบคิดมากกว่าคนอื่นเสมอ ยกตัวอย่างเช่นว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นคนหนึ่ง หากชนะก็ยังถือว่าดี ต้องเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับคนทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีปได้บ้างอย่างแน่นอน แต่หากหวงอีอวิ๋นบุคคลอันดับสองบนวิถีวรยุทธของทวีปแพ้แล้ว สำหรับใจคนที่เดิมทีก็เละเทะอยู่แล้วก็จะยิ่งเละเป็นโคลนเข้าไปใหญ่ จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเท้าหน้าของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเพิ่งจะร่วมสันนิบาตใบท้อไปได้ไม่นาน เท้าหลังหวงอีอวิ๋นกลับแพ้ให้ผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นคนหนึ่ง เข้าท่าแล้วหรือ? วิชาหมัดผูซานที่เจ้าเป็นคนก่อตั้งจะยังเจริญรุ่งเรืองต่อไปอีกได้อย่างไร? หวงอีอวิ๋นคนหนึ่งสามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้ของพันธมิตรใบท้อโดยที่ไม่พูดอะไร ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่ที่ทำไม่ได้คือห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็รอดูไปเถอะ กำลังทรัพย์ที่เรือนอวิ๋นฉ่าวสะสมมาได้อย่างไม่ง่ายจะเป็นดั่งต้นไม้ล้มวานรแตกฝูงภายในค่ำคืนเดียว ภายนอกไม่รู้ว่าจะมีคำซุบซิบนินทามากมายแค่ไหนที่มืดฟ้ามัวดินกรูมากลบทับภูเขาผูซานและหวงอีอวิ๋น ถึงเวลานั้นต่อให้ฝีมือหมัดเท้าของเจ้าจะสูงแค่ไหนก็ไม่อาจสกัดขวางลมมรสุม ‘ปณิธานหมัด’ อันตรายและน่าชิงชังที่ไหลทะลักเข้ามาหาได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ข้าจะต้องแพ้?”
แต่นางก็จำต้องยอมรับว่า ตนอยากพูดอะไรเพื่อใบถงทวีปอยู่สักคำสองคำจริงๆ ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้เข้าร่วมสันนิบาตใบท้อ แต่กลับไม่ยึดอำนาจใหญ่มาอยู่ในมือ ปล่อยให้อารามจินติ่งและถ้ำมังกรขาวเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ใหญ่กันไป นางแทบจะไม่เคยมีความเห็นต่าง แค่พยักหน้าอย่างเดียว และยังมีวันนี้ นางถึงได้อยากจะถามหมัดกับคนอื่นเช่นนี้ นั่นก็เพราะอยากจะพิสูจน์เรื่องหนึ่งให้ใต้หล้าไพศาลเห็นว่าผู้ฝึกยุทธของใบถงทวีป ไม่ได้มีแค่อู๋ซูอริยะบู๊คนเดียวเท่านั้น
เจียงซ่างเจินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “การปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมครั้งที่สอง ก็เพราะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเหมือนกัน การประลองฝีมือของขอบเขตเดียวกันที่หวงอีอวิ๋นให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด ในสายตาของเฉาโม่แล้ว อันที่จริงกลับธรรมดามาก ธรรมดามากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้าสองฝ่ายต่างก็มีท่าทีชัดเจนว่าจะหยุดแค่พอสมควรเท่านั้น ไม่มีการแบ่งเป็นตาย เฉาโม่ก็ยิ่งไม่มีความสนใจเข้าไปใหญ่ สหายของข้าคนนี้มองเรื่องการประลองฝีมือเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีแค่สองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือเป็นปรมาจารย์ที่ขอบเขตสูงกว่าเขาสองขั้นช่วยป้อนหมัดให้ อีกหนึ่งก็คือการเข่นฆ่าอันตรายบนสนามรบที่ตัดสินเป็นตาย เรื่องอื่นๆ ไม่ได้มีประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธของเขาสักเท่าใดนัก ถึงขั้นพูดได้ว่าแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
โดยเฉพาะอย่างผ่านสงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มา อิ่นกวานหนุ่ม เจ้าขุนเขาที่ไม่หนุ่มสักเท่าไรแล้วผู้นี้ เกี่ยวกับเรื่องของการรับมือกับศัตรู ในบรรดาคนวัยเดียวกันก็แทบจะไม่มีใครสามารถทัดเทียมเขาได้แล้ว
เจียงซ่างเจินฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ในมือมีเหล้าแสงจันทร์เพิ่มมาหนึ่งกา สองนิ้วคีบหูกาเหล้าเอาไว้ แกว่งเบาๆ กลิ่นเหล้าหอมโชยออกมา “ครั้งสุดท้ายก็คือเขาเรียกตัวเองว่าผู้เยาว์กับเจ้า ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวว่า ‘ขอความรู้เรื่องวิชาหมัด’ ยังคงไม่ใช่การถามหมัด ปฏิเสธครั้งแรกเพราะคิดพิจารณาแทนเจ้าและเรือนอวิ๋นฉ่าว ปฏิเสธครั้งที่สองเพราะเขาต้องการให้ตัวเองสบายใจ เมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธที่เรียนวิชาหมัด นอกจากจะเพื่อถามหมัดกับคนอื่นได้แล้ว แน่นอนว่าก็เพื่อเวลาที่คนอื่นถามมาหมัดกับตนจะไม่ต้องตอบรับก็ได้ ครั้งที่สามก็คือการเตือนว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ “นี่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่อีกหรือ? เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้อย่างไร?”
เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้มไม่ตอบคำถาม ใช่หรือไม่ใช่ ใช่ได้อย่างไร ก็เป็นขอบเขตปลายทางแล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งยังใช้วิธีการที่โชคชะตาบู๊ติดกายเลื่อนเป็นขอบเขตสิบบนวิถีวรยุทธอีกด้วย
เย่อวิ๋นอวิ๋นถอนหายใจ เอ่ยความในใจออกมาว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ได้ยินเจ้าพูดมากมายขนาดนี้ เฉาโม่ผู้นี้ก็น่าจะเป็นคนที่คู่ควรแก่การคบหาด้วย”
คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้เจียงซ่างเจินยอมออกหน้าไกล่เกลี่ยให้อย่างผิดวิสัยเช่นนี้ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางถามหมัดกับคนอื่น ผลคืออันดับแรกถูกเฉาโม่ที่เป็นอาจารย์ปฏิเสธไปแล้วหลายครั้ง แล้วยังถูกผู้เยาว์คนหนึ่งที่ชื่อเจิ้งเฉียนพูดจารุนแรงใส่อีก ในใจเย่อวิ๋นอวิ๋นย่อมต้องมีความอัดอั้นอยู่หลายส่วน
ส่วนเจิ้งเฉียนผู้นั้น เย่อวิ๋นอวิ๋นย่อมต้องเคยได้ยินมาบ้าง ผู้ฝึกยุทธอายุน้อยคนหนึ่งที่ฉายรัศมีโดดเด่นอยู่บนสนามรบของเกราะทองทวีปและแจกันสมบัติทวีป บนหัวกำแพงของเมืองหลวงราชวงศ์ต้าตวนถามหมัดกับเฉาสือสี่ครั้ง ล้วนแพ้ทั้งสี่ครั้ง
ฟังแล้วไม่เห็นจะร้ายกาจยังไง ก็แค่แพ้ติดต่อกันสี่ครั้ง แต่ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกยุทธคนใดบ้างที่ไม่ต้องหันมามองนางเสียใหม่?
แม้ว่าเฉาสือจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่กลับไม่ใช่คนที่ใครมาถามหมัดด้วยแล้วจะยอมตอบรับทุกครั้งอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่คนผู้นี้ขอถามหมัดถึงสี่ครั้งติด แต่เฉาสือกลับยินดีตอบตกลง?
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เฉาสือได้มองเจิ้งเฉียนเป็น ‘คนที่เดินอยู่บนวิถีวรยุทธเบื้องหลังไม่ไกล’ ไปแล้ว
ดังนั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นจึงอดไม่ไหวถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจิ้งเฉียนผู้นี้ ไหนบอกว่านางเป็นคนของสายศาลเหลยกงธวัลทวีปไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเฉาโม่ได้เล่า?”
ส่วนข่าวลือบางอย่างบนยอดเขาที่บอกว่าแท้จริงแล้วเจิ้งเฉียนคือศิษย์น้องของเฉาสือ คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเทพีแห่งการต่อสู้เผยเปย เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับรู้ดีว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “วันหน้าพี่หญิงเย่ก็จะรู้ได้เองว่าเฉาโม่สหายของข้าเป็นคนที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “เจ้าคอยเชื่อมสะพานสานความสัมพันธ์ให้เช่นนี้ เฉาโม่จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือ?”
เจียงซ่างเจินเอนตัวพิงราวรั้ว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นผู้เฒ่าจันทรา เป็นแม่สื่อเสียหน่อย เฉาโม่ไม่ถือสาหรอก”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “รบกวนอดีตเจ้าสำนักเจียงพูดจาให้ดีหน่อย อันที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองก็ธรรมดามาก ธรรมดามากจริงๆ”
เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “ได้เปิดใจคุยกับพี่หญิงเย่นานขนาดนี้ คำว่าธรรมดาก็ไม่ธรรมดามากๆ แล้วล่ะ”
คนทั้งสามค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ทางแถบนี้ เจียงซ่างเจินจึงไม่ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเย่อวิ๋นอวิ๋นอีกต่อไป เขาเอนหลังพิงราวรั้ว จิบเหล้าหนึ่งอึก
เซวียไหวกุมหมัดคารวะอย่างนอบน้อม “อาจารย์”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดท่านนี้คือผู้เฒ่ารูปร่างผอมบางบุคลิกเรียบร้อยมีสง่าคนหนึ่ง บนศีรษะผูกผ้าโพกหัว มีกลิ่นอายของความโบราณล่องลอย
หากไม่รู้ตัวตนของทั้งสองฝ่ายคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือบรรพบุรุษของหวงอีอวิ๋นเป็นแน่
เย่เสวียนจียื่นมือไปคว้าแขนของเย่อวิ๋นอวิ๋น พูดกลั้วหัวเราะเสียงอ่อนหวานคล้ายออดอ้อน “ท่านย่าบรรพจารย์”
กวอป๋ายลู่กุมหมัดยิ้มเอ่ย “คารวะผู้อาวุโสเย่”
เย่อวิ๋นอวิ๋นผงกศีรษะตอบรับกวอป๋ายลู่ จากนั้นใช้สองนิ้วตีมือของเย่เสวียนจีเบาๆ ผู้ฝึกตนหญิงจึงได้แต่ปล่อยมือออก
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าประมุขของสกุลเย่แห่งภูเขาผูซาน หรือบรรพจารย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าว เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุยคนหนึ่ง
กวอป๋ายลู่ที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา อันที่จริงอายุยี่สิบปีแล้ว คุณสมบัติในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยม เป็นขอบเขตร่างทองตอนอายุยี่สิบเอ็ด ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ยังเคยได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาถึงสองครั้ง
นี่หมายความว่ากวอป๋ายลู่เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าสะสมมากใช้ทีละน้อยอย่างแท้จริง หากได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง ก็แทบจะมั่นใจได้เลยว่าก่อนอายุห้าสิบ กวอป๋ายลู่สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้แน่นอน
——