กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 754.5 ยากที่สุดคือวันนี้ไร้เรื่องใด
“ลืมคำพูดที่ตาเฒ่าสวินพูดกับเจ้าไปแล้วหรือ? ผู้ฝึกยุทธไม่บริสุทธิ์เต็มตัว ต่อให้บรรพบุรุษประทานข้าวมาให้กิน ก็มีแต่ยิ่งกินเม็ดข้าวในถ้วยยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ เส้นทางที่เดินก็ยิ่งแคบลง เมื่อครู่นี้เจ้าเย่อวิ๋นอวิ๋นยังมีหน้ามาถามว่าเฉาโม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือไม่ เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้อย่างไร บอกตามตรง ก็เพราะว่าเขาไม่อยู่ ไม่ได้ยินประโยคนี้ของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงทำให้เขาหัวเราะตายแน่ แล้วก็จะถือว่าเจ้าหวงอีอวิ๋นถามหมัดกลับไปพร้อมชัยชนะยิ่งใหญ่แล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นได้ยินประโยคนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีเดือดดาลแม้แต่น้อย กลับกันสีหน้ายิ่งเคร่งเครียด ทุกคำล้วนฟังเข้าหู ล้วนจดจำไว้ในใจ
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอหนังเสือมาห่มกาย ก็คือการหยิบเกาลัดออกมาจากกองไฟ แต่การคบหากันระหว่างวิญญูชนต่างหากที่ถึงจะเป็นฟ้าสูงแสงจันทร์กระจ่าง พี่หญิงเย่คนดีของข้า เรื่องราวและบุคคลของเมื่อวานก็คือเรื่องราวและบุคคลของเมื่อวาน ส่วนเรื่องของวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องคิดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ตาเฒ่าสวินฝากความหวังกับเจ้าไว้มาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าใบถงทวีปที่โชคชะตาบู๊เบาบางจะสามารถมีคนที่เดินไปถึงจุดที่สูงยิ่งกว่าอู๋ซูปรากฎตัวเพิ่มอีกสักคน หากเป็นสตรีที่หมัดงดงาม คนยิ่งงามมากกว่าก็ย่อมดีที่สุด ปีนั้นครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาเยือนยอดเขาอวิ๋นจี๋ด้วยกัน ตาเฒ่าสวินจับมือของเจ้า พูดจาเมามายแต่เต็มไปด้วยความหวังดี ยกตัวอย่างเช่นเจ้าต้องเดินไปบนวิถีวรยุทธได้ไกลยิ่งกว่าเผยเปย เป็นคำที่ตาเฒ่าสวินพูดด้วยความเมามาย แต่ก็เป็นคำพูดจากใจจริงด้วย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว “มีเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นจำไม่ได้จริงๆ เพราะเวลาที่อดีตเจ้าสำนักสวินอยู่กับนาง เขาพูดมากมายเหลือเกิน
อีกทั้งเย่อวิ๋นอวิ๋นยังเคารพผู้อาวุโส ยามอยู่กับเจียงซ่างเจินจึงไม่กล้าบ่นถึงความไม่น่าเคารพของผู้อาวุโสท่านนั้นให้ฟัง
สวินยวนพูดอะไร เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่มีความทรงจำ แต่ตอนนั้นที่เขาแสร้งทำเป็นตาปรือเหมือนคนเมาแล้วคว้ามือของตนไปจับ เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับไม่ลืม
สวินยวนอดีตเจ้าสำนัก นอกจากจะทุ่มเทความคิดจิตใจเพื่อ ‘เชิญ’ นางมายังภูเขาเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลแล้ว ทุกครั้งที่พบเจอกัน สายตาที่เขามองนางมักทำให้นางรู้สึกว่าสายตาของเขาไม่ซื่อ แฝงเจตนาไม่ดี ตาเฒ่าชอบแสดงความกระตือรือร้น ปากพูดพล่ามไม่หยุด เส้นสายตาก็ขยับเคลื่อนไม่หยุดนิ่ง ดวงตากลับยุ่งยิ่งกว่า เหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่เพิ่งริรัก ความใจกล้าจึงมีมาก คำวิจารณ์ที่ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินใส่ร้ายหลูอิง หากเอาไปใช้กับตาเฒ่าสวินก็จะไม่ใช่คำใส่ร้ายแม้แต่น้อย
อายุมากปูนนั้นแล้วยังชอบดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ แล้วยังจะตั้งฉายาที่ระคายหูให้กับตัวเอง ชอบโปรยเงินไปทั่ว ก็โชคดีที่นอกจากศาลบรรพจารย์ของยอดเขาเสินจ้วนแล้วก็มีผู้ฝึกตนของใบถงทวีปแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ทุกครั้งที่เรือนอวิ๋นฉ่าวเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ล้วนจะมีเจ้าคนที่ใช้ฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อทุ่มเงินพลางโหวกเหวกไปด้วยว่าเทพธิดาหวงอีอวิ๋นเล่า ในมือข้ากำเงินฝนธัญพืชเอาไว้เหรียญหนึ่งนะ ขอแค่เจ้าขุนเขาเย่เห็นแก่หน้าข้า ยอมเผยตัว ต่อให้จะเผยแค่มุมหนึ่งของกระโปรงก็ได้ เงินฝนธัญพืชเหรียญนี้ก็ไม่ถือว่าไหลหายไปกับสายน้ำแล้ว หากเจ้าขุนเขาเย่ตัดใจพูดอะไรสักคำออกมา ต่อให้ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็ก เสี่ยงอันตรายที่จะถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำไปขโมยเงินที่ศาลบรรพจารย์ ก็จะยอมทุ่มชีวิตน้อยๆ นี้อย่างไม่เสียดายเพื่อสะสมเงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกหลายๆ เหรียญให้จงได้…
เจ้าสวินยวนเป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก ใครจะกล้าตัดชื่อเจ้าออกจากทำเนียบยอดเขาเสินจ้วนกัน?
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง นึกถึงตาเฒ่านั่นขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้
สุราดีมักไม่อาจล้มคนดื่มเก่ง ทว่าสาวงามกลับสามารถทำได้คนดื่มเก่งเมาตายได้
‘ตาเฒ่าสวิน จับมือน้อยๆ ของสาวงาม รสชาติเป็นอย่างไร?’
‘ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตื่นเต้นไปหน่อย มัวแต่อาย ได้แต่กล้าจับไม่กล้าบีบ ขาดทุนครั้งใหญ่เลย เด็กหนุ่มมักจะขลาดกลัวความรัก ข้ายังเป็นหนุ่มน้อยเกินไปจริงๆ’
เย่อวิ๋นอวิ๋นชำเลืองตามองเจียงซ่างเจิน รู้ว่าเขาต้องกำลังคิดถึงเรื่องสายลมบุปผาหิมะจันทรา (เปรียบเปรยถึงทิวทัศน์งดงาม เรื่องโรแมนติกหรือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ) อะไรอยู่อีกแน่นอน และต้องเป็นเรื่องที่นางไม่ยินดีจะฟังแน่
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “ก็เหมือนกับโจวเฝย เฉาโม่ เจิ้งเฉียน ต่างก็เป็นชื่อปลอมใช่ไหม?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “รอให้เจ้าได้รู้จักกับเฉาโม่อย่างแท้จริงแล้วก็จะรู้เองว่า อันที่จริงเขาเป็นคนที่จริงใจกับคนอื่นอย่างมาก ส่วนเรื่องการท่องยุทธภพ มีนามแฝงสองสามชื่อก็ไม่เห็นจะเป็นไร เป็นหลักการเดียวกับผู้ฝึกตนที่ร่ายเวทอำพรางตา ลงจากภูเขามาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์นั่นแหละ”
เย่อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจงใจพาข้ามาพบเฉาโม่ด้วยเหตุใดกันแน่”
เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้ม “ผูกบุญสัมพันธ์ ทุกเรื่องมักจะยากตอนเริ่มต้นเสมอ แต่ขอแค่มีการเริ่มต้นที่ดีก็ไม่มีอะไรยากอีกแล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “หากเป็นกองกำลังภูเขาของทวีปอื่นที่คิดจะมาฉกฉวยผลประโยชน์ไปจากใบถงทวีป ข้าไม่มีทางผูกมิตรด้วยแน่ อย่างมากเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานของข้าก็จะไม่ไปหามาสู่กับพวกเขาจนตาย”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า “พี่หญิงเย่ไม่ต้องรีบร้อนด่วนสรุป ไม่แน่ว่าวันหน้าโอกาสที่พวกเจ้าสองฝ่ายจะได้คบค้าสมาคมกันอาจมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็จะตั้งตารอดู”
หากเอาแต่มองเจียงซ่างเจินเป็นพวกที่ชอบพูดจาสัปดน เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก นั่นก็คงเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เป็นเรื่องไร้สาระอย่างถึงที่สุด
เจียงซ่างเจินเคยพูดประโยคหนึ่งหน้าทะเล้นว่า เกี่ยวกับเรื่องของการขึ้นเขาฝึกตน ความคิดเห็นของข้าไม่เหมือนกับเทพเซียนบนภูเขาส่วนใหญ่ ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่ายิ่งขยับเข้าใกล้กลุ่มคนมากเท่าไร ก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ตัวเองมากเท่านั้น การฝึกตนบนภูเขาแสวงหาความจริงการหลงลืมตัวเอง มองดูเหมือนว่ากลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ความจริง
และสวินยวนก็ยิ่งเคยยิ้มเอ่ยกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกุยหยกว่า ฉวยโอกาสตอนที่เจียงซ่างเจินยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ยามอยู่ในศาลบรรพจารย์จงทุบตีให้มาก ด่าให้มาก ทุบเก้าอี้ให้มาก ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว
ความนัยในคำพูดก็คือขอแค่เจียงซ่างเจินได้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบ หากปณิธานอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินที่ ‘แสวงหาความจริง’ เขาแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองแล้ว ไม่มีคอขวดใดๆ ทั้งสิ้น
และหากเจียงซ่างเจินเลื่อนเป็นเซียนเหริน ไม่ว่าคนนอกจะยังด่าทอต่อยตีเหมือนเดิมอย่างไร กลับกลายเป็นว่าทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนนั้นจะตีก็ตีไม่ได้ ด่าก็ยิ่งด่าไม่ชนะ
บนยอดเขาเสินจ้วน ทุกครั้งที่มีการประชุมรวมตัวกัน อันที่จริงก็มีแค่สามเรื่องเท่านั้น ปรึกษาเรื่องใหญ่ของสำนัก ประจบเอาใจเจ้าสำนักสวิน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันด่าเจียงซ่างเจิน
เย่อวิ๋นอวิ๋นพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะดูโดดเดี่ยว ดูน่าสงสารนัก วันหน้าจิตแห่งมรรคาคงจะยิ่งเงียบเหงากว่าเดิมกระมัง?
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “พี่หญิงเย่ อันดับหนึ่งบนเล่มหลักของภาพแยนจือปีนี้ก็ให้เป็นเจ้าเลยดีไหม? ไม่อย่างนั้นบนภูเขาคงถกเถียงกันมากเกินไป ไม่ว่าข้าจะเลือกใครก็ล้วนยากจะสยบใจผู้คนได้”
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกเสียใจภายหลังกับความรู้สึกสงสารเมื่อครู่นี้ของตนอย่างยิ่ง นางแค่นหัวเราะเย็นชา “หากกล้ามีข้า ข้าก็จะทุบภูเขาเทพีบุปผานั่นให้แหลกเพื่อมอบเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ พึมพำกับตัวเองว่า “กินข้าวแล้วเลียบภูเขาดูล่าเหมย ไม่เจอดอกเหมยเจอดอกอวิ๋นฉ่าว สาวงามยืนตระหง่านสะโอดสะอง เซียนกวานลัทธิเต๋าประทินโฉม ดวงหน้าดุจพระโพธิสัตว์ หยุดนิ่งอยู่ที่ตำหนักจันทรา หญ้าขยับคนก็ขยับ เมฆจากไปใจก็จากไป”
เย่อวิ๋นอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “มีความเฉียบแหลมทางการประพันธ์ สามารถหลอกแม่นางน้อยอย่างเสวนจีได้”
เจียงซ่างเจินกลับพูดนอกเรื่อง “ในม้วนภาพภูเขาเหล่าจวินนั้น เจ้าไม่สังเกตเห็นอะไรบ้างเลยหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับ “ภาพแห่งฟ้า ปรากฎการณ์แห่งดิน อารามจินติ่งใช้ภูเขาเจ็ดลูกเป็นดาวเป่ยโต่วเจ็ดดวง ตู้หันหลิงต้องการใช้กฎฟ้าและปรากฎการณ์ดินสร้างค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำขึ้นมาแห่งหนึ่ง ช่างทะเยอทะยานนัก”
เจียงซ่างเจินปรบมือยิ้ม “พี่หญิงเย่ตาดี เพียงแต่ว่ายังมองไม่ไกลพอ ต้องเรียกว่าสำแดงเจ็ดอำพรางสองถึงจะถูก เก้าเตาต้มตะวันจันทรา ไม้บรรทัดเหล็กออกคำสั่งสายฟ้า หล่อหลอมน้ำห้าทะเลสาบ กลางคืนทอดดาวเป่ยโต่ว ใช้อารามจินติ่งเป็นแกนกลางฟ้า ตั้งใจคัดเลือกภูเขาทายาทสามแห่งออกมาช่วยสนับสนุน จากนั้นค่อยให้กองกำลังใต้อาณัติอื่นๆ คอยวางแผนในที่ลับ สร้างค่ายกลขึ้นมา ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ดังนั้นทุกวันนี้จึงขาดแค่ภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เท่านั้น หากค่ายกลใหญ่เป่ยโต่วแห่งนี้ถูกเปิดขึ้นมา อาณาเขตทางทิศเหนือของใบถงทวีปพวกเรา ตู้หันหลิงต้องการให้ใครเกิดคนนั้นก็ได้เกิด ต้องการให้ใครตายคนนั้นต้องตาย เป็นอย่างไร? เจ้าอารามตู้เป็นวีรบุรุษผู้กล้ามากเลยใช่หรือไม่? ในยุคบรรพกาลเป่ยโต่วคือราชรถ ให้เจ้านายเป็นผู้ออกคำสั่ง สร้างสี่ฤดูกาลและห้าทิศทาง การกำหนดการเคลื่อนย้ายเค้าโครงใหญ่ๆ ทั้งหลายล้วนถูกผูกติดอยู่กับเป่ยโต่ว หากเอ่ยเช่นนี้ ฉายาที่ข้าช่วยตั้งให้กับตู้หันหลิงว่าราชันบนภูเขาจะไม่ยิ่งสมชื่อเข้าไปอีกหรอกหรือ?”
ในใจเย่อวิ๋นอวิ๋นสั่นสะท้านไม่หยุด “ตู้หันหลิงเพิ่งจะเป็นขอบเขตก่อกำเนิด สามารถทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ก็เพราะว่าเป็นแค่ก่อกำเนิด มีความคิดเช่นนี้ถึงได้ทำให้ข้าเลื่อมใสอย่างไรล่ะ”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่เขาเจียงซ่างเจินคนเดียวเท่านั้นที่เชี่ยวชาญการกดขอบเขต
เมื่อค่ายกลนี้บังเกิดขึ้น ต่อให้จะไม่ควบรวมภูเขาไท่ผิงและยอดเขาเทียนแจว๋เข้าไปด้วย เปลี่ยนเป็นสองสถานที่แห่งอื่นที่เข้ามาแทนที่ ก็ยังคงเป็นค่ายกลเป่ยโต่วที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งอยู่ดี ถึงเวลานั้นตู้หันหลิงที่เป็นขอบเขตหยกดิบนั่งเฝ้าพิทักษ์อยู่ภายในก็เท่ากับว่ามีเซียนเหรินโผล่เพิ่มขึ้นมาบนโลกอีกคนหนึ่ง
หากตู้หันหลิงสามารถทำเจ็ดสำแดงสองอำพรางได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าในอนาคตอีกหลายร้อยปีข้างหน้าอาจสามารถทำให้เจ้าอารามผู้เฒ่าเซียนเหรินคนหนึ่งกลายเป็นขอบเขตบินทะยานเกินครึ่งตัวก็เป็นได้
อารามจินติ่ง แรกเริ่มสุดนั้นมาจากสายรองของลัทธิเต๋าที่สร้างหอดูดาว เพียงแต่ว่าเจ้าอารามตู้หันหลิงจงใจปิดบังระบบสืบทอดของตัวเอง
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นหันอวี้ซู่เซียนเหรินก็ดี หรือเป็นตู้หันหลิงที่เป็นก่อกำเนิดชั่วคราวก็ช่าง ล้วนเป็นคนฉลาดที่วางแผนลึกล้ำยาวไกล
น่าเสียดายที่มาเจอกับตน และเฉินผิงอันที่ในอนาคตมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่วไว้ที่ทางเหนือของใบถงทวีป
ขอแค่เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำหลังจากออกไปจากยอดเขาอวิ๋นจี๋คือการไปเยือนภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ของภูเขาเหล่าจวิน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่มีความเป็นไปได้แล้ว แต่ต้องใช่แน่นอน
เจียงซ่างเจินถาม “ภาพฝาผนังเซียนเหรินภาพนั้น เจ้าได้มาจากที่ใด?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว “ข้าเคยตรวจสอบความจริงเท็จและความเป็นมาของม้วนภาพอย่างระมัดระวังมาก่อน ไม่มีปัญหาใดๆ”
เจียงซ่างเจินหรี่ตาลง “เชื่อข้าเถอะ ต้องมีปัญหาใหญ่แน่นอน ต่อจากนี้เจ้าต้องระวังเค่อชิงของภูเขาผูซานหรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดบางคนเป็นพิเศษ จำไว้เรื่องหนึ่งว่า อย่าได้ประลองฝีมือกับอู๋ซูง่ายๆ อย่างเด็ดขาด ไม่ได้บอกว่าอู๋ซูมีปัญหา แต่หลังจากถามหมัดผ่านไปแล้ว ด้วยนิสัยที่ลงมือไม่เคยเลอะเลือนของอู๋ซู เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บไม่เบาแน่นอน ถึงเวลานั้นภูเขาผูซานก็จะเกิดปัญหาใหญ่ และต่อให้อู๋ซูไม่มีปัญหา ก็จะกลายเป็นมีปัญหา นั่นไม่ใช่แค่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแล้ว แต่อาจถึงขั้นยิงปืนนัดเดียวได้นกสี่ห้าหกเจ็ดตัว ตามความตั้งใจเดิมของข้าก็คือหลังจากเฉาโม่ถามหมัดกับเจ้า จะอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้เขาฟังอย่างชัดเจนก่อน จากนั้นค่อยแอบติดตามเจ้าไปภูเขาผูซาน ตอนที่เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บก็จะช่วยเจ้าจับตาดูเรือนอวิ๋นฉ่าว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นถามเสียงหนักใจ “จะอันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ใต้หล้านี้ไม่มีความสงบสุขที่แท้จริง ช่วงเวลาร้อยปีต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่วีรบุรุษและเหล่าผู้กล้าร่วมกันลุกผงาดอย่างแท้จริง”
……
ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังยอดเขาอวิ๋นจี๋ เกี่ยวกับการจัดหาที่ทางให้กับตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนบนภูเขาลั่วพั่ว ชุยตงซานได้บอกความคิดเห็นของตัวเองคร่าวๆ เขาจะเป็นคนสอนวิชากระบี่ให้กับอวี้ชิงจางเอง ส่วนพ่อครัวเฒ่าอย่างจูเหลี่ยนให้รับพ่อครัวน้อยเฉิงเฉาลู่เอาไว้ ฝีมือการทำอาหารก็สอน วิชาหมัดก็สอน ผู้คุมกฎฉางมิ่งรับน่าหลันอวี้เตี๋ยเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด หมี่อวี้ถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับเหอกู สุยโย่วเปียนรับเหยาเสี่ยวเหยียนเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา อวี๋เสียหุยติดตามชุยเหวยไปฝึกกระบี่ที่หอบูชากระบี่ โยนป๋ายเสวียนให้เฉาฉิงหล่าง จากนั้นค่อยโยนเฮ้อเซียงถิงให้กับอาจารย์จ้งชิว สรุปก็คือเด็กกลุ่มนี้ทางที่ดีที่สุดไม่ควรอายุน้อยเกินไป แต่กลับลำดับศักดิ์สูงเกินไป พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาอย่างท่านอาจารย์ พวกเขาควรจะใช้สถานะในทำเนียบเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อฝึกตนอยู่บนภูเขามากกกว่า
เฉินผิงอันฟังแล้วก็พยักหน้ารับ เอ่ยว่า “เอาตามนี้ไปก่อนชั่วคราว แต่สรุปแล้วจะเป็นเช่นนี้ได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันหรือไม่ เรื่องของการกราบอาจารย์รับศิษย์นั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความเต็มใจเท่านั้น”
ชุยตงซานรู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก “อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง”
พอรู้ว่าเผยเฉียนรับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ยังไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างแท้จริงมาคนหนึ่ง เฉินผิงอันก็ยิ้มถามว่า “สอนวิชาหมัดได้ง่ายไหม?”
เผยเฉียนเขินอายเล็กน้อย “อาหมานน้อยน่าจะตั้งใจกว่าตอนที่ข้าเริ่มเรียนหมัดคัดหนังสือในอดีตอยู่บ้างเล็กน้อย”
ชุยตงซานชูนิ้วโป้ง “พูดถึงแค่ความเข้าใจความรู้จักตัวเองในส่วนนี้ของศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ทำให้คนยากจะต่อกรด้วยได้แล้ว!”
เผยเฉียนหัวเราะ รอก่อนเถอะ ห่านขาวใหญ่คือคนจำนวนน้อยที่สมุดบัญชีเขียนจบเล่มได้ไม่ใช่แค่เล่มเดียว พอๆ กับเฉินหลิงจวินผู้นั้น ทุกวันนี้เจ้าหมอนั่นถึงขั้นกล้าป่าวประกาศไปนอกบ้านเกิดแล้วว่า กวาดตามองไปทั่วอาณาเขตขุนเขาเหนือ ไม่มีใครสามารถต่อยเขาให้ล้มคว่ำด้วยหมัดเดียวได้อีก เพียงแต่ว่าพอคิดถึงตรงนี้สีหน้าของเผยเฉียนก็หม่นหมองเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดสำนักกระบี่หลงเฉวียนถึงย้ายออกไปจากอาณาเขตของจังหวัดหลงโจว ไปอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี
ไปถึงเรือนพักส่วนตัวของสกุลเจียงบนยอดเขาอวิ๋นจี๋ที่ตำแหน่งที่ตั้งถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด ชุยตงซานก็เปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำ คนทั้งสามเดินผ่านประตูเข้าไป เฉินผิงอันค้นพบว่าที่แท้ก็เป็นทัศนียภาพอีกแห่งหนึ่ง ไม่เหมือนกับที่พักของตนที่อยู่ท่ามกลางทะเลต้นไผ่
พวกป๋ายเสวียนกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น จับๆ พลิกๆ ภูเขาลูกน้อย ช่วยน่าหลันอวี้เตี๋ยคัดเลือกหินฝนหมึกออกมา
พอชุยตงซานปรากฏตัว ป๋ายเสวียนก็รีบวิ่งเหยาะๆ มาหาทันที “พี่ใหญ่ตงซาน ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว น้องชายรอท่านมานานมากแล้ว รีบไปนอนเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ไผ่เถอะ อย่าปล่อยให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยเด็ดขาดเชียว”
ใต้ชายคามีเก้าอี้ยาวที่ถักด้วยไม้ไผ่อยู่สองตัว ก่อนหน้านี้เพราะเบื่อไม่มีอะไรทำ ชุยตงซานจึงเตรียมเอาไว้ให้อาจารย์กับตน ส่วนเก้าอี้ไม้ไผ่ ม้านั่งไม้ไผ่ตัวน้อยที่เหลืออยู่เป็นพวกเฉิงเฉาลู่ เหยาเสี่ยวเหยียนที่ช่วยกันทำขึ้นมา ฝีมือหยาบสิ้นดี สภาพจึงอเนจอนาถจนแทบทนมองไม่ได้
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ “ไปๆๆ ไปนอนกันให้หมด”
น่าหลันอวี้เตี๋ยนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมลุก “ก้อนหินพวกนี้ยากจะแบ่งดีเลว ยากมากๆ เลย มองจนพวกข้าปวดตาไปหมดแล้ว”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “วันหน้าข้าจะช่วยแบ่งระดับให้พวกเจ้าเอง”
น่าหลันอวี้เตี๋ยยิ้มกว้างทันใด
เผยเฉียนมองเจ้าคนเห็นแก่เงินตัวน้อยผู้นี้แล้วก็มีรอยยิ้มเช่นกัน
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมว่า “วันหน้าพวกเราค่อยไปเยือนภูเขาเยี่ยนซานกันอีกรอบ”
น่าหลันอวี้เตี๋ยรีบลุกขึ้นทันที “อาจารย์เฉา?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบอย่างรู้ใจ “หินฝนหมึกล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
ดวงตาน่าหลันอวี้เตี๋ยฉายประกายเจิดจ้า แต่กลับแสร้งทำเป็นอ้าปากหาว ดึงเหยาเสี่ยวเหยียนให้กลับห้องไปกระซิบกระซาบพูดคุยกัน
เฉิงเฉาลู่ขยับเท้าก้าวเดินช้ากว่าคนอื่นจึงถูกป๋ายเสวียนตบหัวดังป้าบพลางเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เจ้าอ้วนน้อยปกติก็เห็นเจ้าเรียนวิชาหมัดได้หัวไวดี แต่ดันตาบอดไม่เห็นหรือว่าอาจารย์เฉากับพี่ใหญ่ตงซานจะต้องพักผ่อนแล้ว
หลังจากที่พวกเด็กๆ พากันจากไป เฉินผิงอันก็หยิบม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง นั่งอยู่ระหว่างเก้าอี้ยาวสองตัว พูดกับเผยเฉียนและชุยตงซานว่า “พวกเจ้านอนเถอะ ทางที่ดีที่สุดคือนอนหลับสักตื่น ต่อจากนี้ยังมีเรื่องให้ต้องทำค่อนข้างมาก แต่ไม่ต้องรีบร้อน พักผ่อนกันก่อน”
เผยเฉียนกำลังจะพูด ชุยตงซานกลับขยิบตาให้ สุดท้ายเขากับเผยเฉียนก็เอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวยาวหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
ชุยตงซานยกขาไขว่ห้าง เบิกตากว้างมองดวงจันทร์กลมโตที่อยู่บนฟ้า
ส่วนเผยเฉียนเอาสองมือวางทับซ้อนกันไว้บนตัวเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “อาจารย์พ่อ หากหลับแล้วตื่นขึ้นมา ท่านก็จะยังอยู่ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “ไม่หลอกกันนะ?”
เฉินผิงอันยิ้ม “อยากกินมะเหงกหรือ?”
เผยเฉียนหลับตาลง ค่อยๆ หลับไป หลับสนิทช้าๆ
ชุยตงซานเองก็หลับฝันหวานไปอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ
เฝ้าคืนที่ไม่ได้ทำมานาน
ผู้เฒ่าคนพายเรือกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือวันนี้ไร้เรื่องใด
ในเมื่อโชคดีถึงขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้ก็สามารถฝึกหมัดฝึกกระบี่ต่อไปได้พอดี
——