กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 757.1 ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
เห็นกลุ่มคนที่มาเยี่ยมเยือน ฝูจวินจินหวงก็เดินลงจากขั้นบันได ก้าวเร็วๆ ไปเบื้องหน้า กุมหมัดหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจิ้งซู่คารวะผู้มีพระคุณ”
แม้ว่ารูปโฉมจะเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเด็กหนุ่มชุดขาวที่พกกระบี่รัดกาเหล้าผูกเอว กลายมาเป็นบุรุษโตเต็มวัยที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวตรงหน้าผู้นี้ แต่เจิ้งซู่ก็ยังแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายเพียงปราดแรกที่มองเห็น
ก็คือเซียนกระบี่เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่พบเจอกันโดยบังเอิญผู้นั้น หลังจบเรื่องก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป ไม่เคยบอกกล่าวชื่อแซ่ สง่างามอย่างยิ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตรงเอวของบุรุษตรงหน้ายังห้อยกาเหล้าสีชาดที่เจิ้งซู่คุ้นตาอย่างถึงที่สุดเอาไว้อีกด้วย เหมือนในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนฝู่จวินแล้ว”
เจิ้งซู่รีบขยับตัวหันข้างทันใด เฉินผิงอันผายฝ่ามือออกมา สุดท้ายคนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปยังประตูใหญ่ของจวนจินหวง เจิ้งซู่เอ่ยขออภัยเสียงเบาว่า “เมื่อครู่รู้ว่าผู้มีพระคุณมาเยือนเรือนอันเก่าโทรม ข้าก็รีบส่งข่าวแจ้งไปยังทะเลสาบซงเจินทันที คิดไม่ถึงว่าจัวจิง (คำเรียกภรรยาในสมัยโบราณที่แสดงถึงการอ่อนน้อมถ่อมตัว) จะมีธุระไม่อาจปลีกตัวมาได้ ตอนนี้จึงยังไม่อาจกลับมาที่จวนได้ชั่วคราว”
อันที่จริงในใจของเจิ้งซู่ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่ตอนที่รอคน ทางฝั่งจวนจินหวงนี้ได้รับกระบี่บินส่งข่าวกลับมาจากจวนเทพวารีทะเลสาบซงเจินแล้ว กลับเป็นเซียนซือผู้ถวายงานของต้าเฉวียนที่สถานะถูกปิดเป็นความลับคนหนึ่งที่ตอบจดหมายกลับคืนมายังจวนจินหวง ถึงขั้นไม่ใช่ลายมือของหลิ่วโย่วหรงภรรยาของตน นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ภรรยาไม่มีทางออกจากจวนวารีไปตามแต่ใจเป็นแน่ หากเป็นเวลาปกติเจิ้งซู่จะต้องรีบรุดไปที่ทะเลสาบซงเจินทันที แม้ว่าสถานะของภรรยาจะพิเศษ ทุกวันนี้คือองค์เทพแห่งสายน้ำอันดับที่สองของราชวงศ์ต้าเฉวียน คือหูจวินผู้ปกครองทะเลสาบซงเจินทั้งผืน แต่อันที่จริงภรรยามีร่างทองและตบะเทียบเท่าแค่ขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น และนางก็ยิ่งไม่เชี่ยวชาญการประลองเวทกับผู้อื่น หลายปีมานี้แข็งใจฝึกตน ทำเอาเจิ้งซู่ที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าทั้งตลกขบขันทั้งสงสารเอ็นดู ถึงท้ายที่สุดจึงบอกกับนางว่าไม่ต้องฝืนแล้ว เรื่องของการรบราฆ่าฝันนั้นไม่เหมาะกับนาง เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้าก็จะยังคงเป็นเช่นนี้
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ผู้เยาว์เฉาโม่ เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มาเยือนใบถงทวีป”
นี่คือคำพูดที่เขาตระเตรียมมาไว้ล่วงหน้าระหว่างที่เดินทางมา
หากไม่เป็นเพราะอาศัยรายละเอียดหลายอย่างจนแน่ใจว่าทุกวันนี้จวนจินหวงคือสถานที่อันตราย อันที่จริงเฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากจะบอกกล่าวชื่อจริงแก่จวนจินหวงอย่างตรงไปตรงมา
ฝู่จวินเทพภูเขาคนหนึ่งที่สามารถบุกเบิกจวนเป็นของตัวเองได้ ไหนเลยจะยังต้องการให้ทางราชสำนักช่วยปูถนนทางหลวงให้เป็นเส้นทางในการมาจุดธูปคารวะเทพ ถึงขั้นที่ว่ายังตั้งใจตั้งป้ายแบ่งขอบเขตไว้บนหัวสะพาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าที่แห่งนี้คืออาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้น? และคนที่ตั้งป้ายจารึกก็ไม่ใช่ขุนนางดุจบิดามารดาในท้องถิ่นอย่างพวกเจ้าเมืองหรือนายอำเภออะไร คำลงท้ายบนป้ายแบ่งเขตคือคำว่า กองขุนเขาสายน้ำกรมพิธีการแคว้นเป่ยจิ้น ส่วนเหตุการณ์ผิดปกติตรงศาลาที่เจอภายหลัง ก็แค่ช่วยยืนยันการคาดเดาในใจของเฉินผิงอันเท่านั้น สกุลหลิวต้าเฉวียน…ทุกวันนี้น่าจะเป็นฮ่องเต้สกุลเหยาต้าเฉวียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการจะอาศัยการตัดสินใจในท้ายที่สุดว่าจวนจินหวง จวนซงเจินจะตกเป็นของใครมาเป็นโอกาสในการวางแผนเล่นงานทำสงครามกับเป่ยจิ้นต่อไป
เจิ้งซู่ยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบาน “เหล้าหมักหลันฮวาของจวนจินหวงพวกเรา ในภาคกลางของใบถงทวีปก็ล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นสุราดี เดินทางผ่านจวนจินหวงไม่ต้องพบเจอเจิ้งฝู่จวินที่น่ารำคาญอะไรนั่นก็ได้ มีเพียงห้ามพลาดเหล้าหมักหลันฮวานี้เด็ดขาด”
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย นอกจากอาจารย์และศิษย์สองคนยังมีเด็กเล็กอีกห้าคน เสียงดังเอะอะมะเทิ่ง คล้ายกับคนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจมาขอกินขอดื่มเปล่าๆ จากจวนจินหวงอย่างไรอย่างนั้น
สายตาของป๋ายเสวียนที่ทำตัวเหมือนคนแก่จับจ้องมองพวกน่าหลันอวี้เตี๋ยที่เดินเตร่ไปทางนั้นทีไปทางนี้ที เหยาเสี่ยวเหยียนที่กลัวคนแปลกหน้าอย่างมาก เหอกูที่อายุไม่มากแต่กลับตัวสูงมาก อวี๋เสียหุยที่ตาเหล่น้อยๆ พูดจาค่อนข้างโผงผางตรงไปตรงมา
คนทั้งกลุ่มเจ็ดคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง
ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัวห้าคน ป๋ายเสวียนและน่าหลันอวี้เตี๋ยสองคนในนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต หากอิงตามกฎบนภูเขา เด็กทั้งสองคนอายุน้อยถึงเพียงนี้ก็ได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางนานแล้ว ล้วนสามารถเรียกเป็นเซียนกระบี่น้อยได้แล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรในมือถือประคองแส้ปัดฝุ่นที่อยู่ในศาลาคนนั้น หากคิดจะต่อสู้สุดชีวิตจริงๆ ขอแค่ป๋ายเสวียนร่วมมือกับน่าหลันอวี้เตี๋ย ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่เรื่องของกระบี่บินพวกเขาคนละทีเท่านั้น
เจิ้งซู่ยิ้มกล่าว “ข้าได้ให้ทางจวนเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ล้วนเป็นอาหารป่าบนภูเขาและสัตว์น้ำสดใหม่ในทะเลสาบของทะเลสาบซงเจิน อย่างมากสุดอีกสองเค่อก็สามารถให้เฉาเซียนซือดื่มเหล้าหมักหลันฮวาได้แล้ว”
แน่นอนว่าต่อให้ฝู่จวินท่านนี้คิดจนหัวแตกก็คงคิดไม่ออกว่าแขกที่เดินทางผ่านมาแล้วแวะมาเยี่ยมเยือนที่จวนกลุ่มนี้ สามารถทำให้จวนจินหวงเอ่ยประโยคว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ’ ได้แล้ว
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน “รบกวนฝู่จวินพาข้าไปเดินดูรอบๆ หน่อยเถิด”
เจิ้งซู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเป็นเจ้าบ้านที่ตามใจแขก พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ยินดียิ่งแล้ว”
เผยเฉียนลุกขึ้นจากเก้าอี้เช่นกัน “อาจารย์พ่อ เดี๋ยวข้าดูพวกเขาให้เองเจ้าค่ะ”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าอยู่ในจวนจินหวงใช้ชื่อจริงก็พอแล้ว อย่าใช้ชื่อ ‘เจิ้งเฉียน’”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
รอกระทั่งอาจารย์เฉาและใต้เท้าฝู่จวินที่สวมชุดคลุมสีทองเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ น่าหลันอวี้เตี๋ยก็กระโดดผลุงขึ้นแล้วพลิกตัวกลับ เอามือลูบลายหลิงจือที่อยู่บนพนักพิงเก้าอี้ “พี่หญิงเผย เก้าอี้ตัวนี้ทำมาจากไม้อะไร มองดูแล้วท่าจะแพง มีราคามากเลยนะ”
เผยเฉียนนั่งกลับลงไปที่เดิม ยิ้มเอ่ย “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องมีราคาแน่ จำไว้ว่าพวกขวดไหต่างๆ อย่าไปแตะส่งเดช หากไปโดนพวกของเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ต้องยิ่งแพงเข้าไปอีก”
น่าหลันอวี้เตี๋ยหัวเราะคิกคัก “ไม่ทันระวังทำแตกก็เอาเสี่ยวเหยียนชดใช้ให้ ให้นางอยู่เป็นสาวใช้ที่นี่”
เหยาเสี่ยวเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเรียบร้อยอยู่ในกฎระเบียบตลอดเวลา พูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หญิงอวี้เตี๋ย อย่าขู่ข้าสิ”
เหอกูคือคนที่ตัวสูงที่สุดในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งเก้าคน เขายกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วแกว่งขาไปมา “ที่แท้จวนเทพภูเขาก็เป็นแบบนี้นี่เอง ยังสู้ยอดเขาอวิ๋นจี๋กับหาดหินหวงเฮ้อไม่ได้เลย”
อวี๋เสียหุยที่ตาเหล่เล็กน้อยทิ้งตัวลื่นไถล นอนแผ่พิงเก้าอี้ พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด “สบายจริงๆ วันหน้าข้าก็จะทำเก้าอี้แบบนี้สักหลายๆ ตัว”
ป๋ายเสวียนกำลังจะถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้
เผยเฉียนกลับเอ่ยว่า “นั่งดีๆ”
ป๋ายเสวียนเหลือกตามองบน แต่ก็ล้มเลิกความคิดเดิมไป แม้จะบอกว่าคุณสมบัติการฝึกวรยุทธของพี่หญิงเผยธรรมดา แต่หน้าตาของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์เฉาก็ยังต้องไว้หน้ากันบ้าง
เผยเฉียนอธิบายอย่างอดทนว่า “ลงภูเขาลงน้ำมีข้อห้ามมากมาย ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกต้องจำหลักการที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อีกทั้งพวกเรายังเป็นแขก จะทำตัวเหลวไหลตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
ป๋ายเสวียนฟุบตัวอยู่บนพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “กฎเกณฑ์มากยิ่งนัก น่ารำคาญจริง”
เผยเฉียนวางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า เริ่มหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้สนใจคำบ่นของป๋ายเสวียน
เผยเฉียนกลับไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าเด็กป๋ายเสวียนผู้นี้น่ารำคาญอะไร ทุกครั้งที่นางหวนนึกถึงการเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ครั้งแรกของตน เผยเฉียนก็จะรู้สึกว่าอันที่จริงป๋ายเสวียนถือว่าพูดน้อยและรู้ความมากแล้ว
เพียงแต่ว่าต่อให้จะไม่น่ารำคาญก็ไม่ใช่เหตุผลที่ป๋ายเสวียนจะถูกเว้นข้ามไปบนสมุดคุณความชอบบางเล่ม ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่าไม่ทันไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็น่าจะต้องเปลี่ยนสมุดเล่มใหม่ให้กับนายท่านใหญ่ป๋ายแล้ว
แต่ตอนนี้เรื่องที่เผยเฉียนค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ก็คือเหตุใดอาจารย์พ่อและศิษย์พี่เล็กถึงได้จงใจปล่อยให้ป๋ายเสวียนเข้าใจเรื่องหนึ่งผิดโดยที่ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับเขา
ดูเหมือนว่าป๋ายเสวียนจะยอมรับชะตากรรมมานานแล้วว่า ถึงแม้ตอนนี้ขอบเขตของเขาจะสูงที่สุด ได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลางแล้ว แต่ดูเหมือนว่าป๋ายเสวียนจะแน่ใจว่าตัวเองก็คือคนที่ผลสำเร็จบนวิถีกระบี่ในอนาคตต่ำที่สุด เด็กชายฝึกกระบี่ อดทนกับความยากลำบากได้ เพียงแต่ว่าปณิธานกลับไม่สูง
แต่ตามการอธิบายคร่าวๆ ที่อาจารย์พ่อและห่านขาวใหญ่มีต่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเด็กทั้งเก้าคน บวกกับนิสัยและพรสวรรค์ของตัวป๋ายเสวียนเอง ไม่ว่าเผยเฉียนมองป๋ายเสวียนอย่างไร แม้จะไม่กล้าพูดว่าในอนาคตเด็กคนนี้ต้องประสบผลสำเร็จสูงที่สุดอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีทางต่ำเตี้ยไปได้แน่ ในความเป็นจริงแล้วในบรรดาเด็กเก้าคนของทุกวันนี้ ป๋ายเสวียนเหมือนจะกลายมาเป็นผู้นำของทุกคนแล้ว และบุคลิกที่แสดงออกมาอย่างที่มองไม่เห็นนี้ บนเส้นทางของการฝึกตนที่โชควาสนามีมาไม่ขาดอีกทั้งเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้มากมายนี้ ในสายตาของเผยเฉียนแล้ว นี่เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ก็เหมือนอย่าง…ปีนั้นที่อาจารย์พ่อพาพวกพี่หญิงเป่าผิง พวกหลี่ไหวออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยด้วยกัน อาจารย์พ่อจึงกลายไปเป็นคนที่คอยปกป้องทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งคนรอบกายยังมองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถูกต้องชอบธรรมตามหลักฟ้าดิน
สมมติว่าอาจารย์พ่อ ตนและศิษย์พี่เล็กไม่อยู่ข้างกาย ป๋ายเสวียนก็จะโดดเด่นขึ้นมาทันที ต้องเป็นบุคคลที่หากอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย เขาก็คือคนที่ตัดสินชี้ขาดนั่นเอง
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุยกับป๋ายเสวียนอย่างลับๆ “ป๋ายเสวียน วันหน้าหากเจ้าฝึกกระบี่ได้ดิบได้ดีแล้ว อยากทำอะไรมากที่สุด?”
ป๋ายเสวียนใช้หางตาเหลือบมองเร็วๆ ก็ค้นพบว่าพี่หญิงเผยกำลังพูดคุยกับตัวเองคนเดียว จึงยังคงฟุบตัวอยู่บนพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านต่อไป ใช้เสียงในใจตอบว่า “ไม่อยากทำอะไร ตอนนี้ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวก็คือวันหน้าได้เจอกับคนวัยเดียวกันที่มาจากถ้ำมังกรขาวผู้นั้น หากเขาออกมาเดินตอนกลางคืนเพียงลำพังพอดีก็จะเอากระบี่ทิ่มให้เขาร่อแร่ปางตายแล้วเผ่นหนี นายน้อยจะช่วยให้เขาความจำดีขึ้น ไปมาไร้ร่องรอย ทำเรื่องดีไม่ทิ้งนาม”
เผยเฉียนไม่มีความคิดที่จะชวนคุยต่อ คุยยากแล้ว
ช่วงแรกเริ่มสุดที่อาจารย์พ่อพาตนมาอยู่ข้างกายแล้วไม่ค่อยชอบพูดคุย ก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้เหมือนกันกระมัง?
เผยเฉียนหันหน้าไปกวาดตามองเด็กทั้งห้าคนแวบหนึ่ง
เหอกูถูกชะตากับอวี๋เสียหุยมากที่สุด กำลังเอียงหัวกระซิบกระซาบกัน บอกว่าพี่หญิงผีสาวในธารน้ำที่สวมชุดกระโปรงสีทับทิมหน้าตางดงามนัก ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่นิดเดียว งามกว่าพี่หญิงเผยอยู่บ้างจริงๆ
น่าหลันอวี้เตี๋ยกำลังจ้องเป๋งไปยังอักษรภาพมีชื่อเสียงล้ำค่าทั้งหลายในห้องโถงใหญ่ของจวนจินหวง เหยาเสี่ยวเหยียนกำลังมุมานะบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น ได้ครอบครองกระบี่บินสามเล่มผิดจากคนปกติทั่วไปมักจะทำให้เหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกมือเท้ายุ่งวุ่นวายชวนให้หงุดหงิดใจอยู่เสมอ ประเด็นสำคัญคือเหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าตัวเองโง่เกินไป ขี้ขลาดเกินไป กระบี่บินก็มากเกินไปทั้งยังไร้ประโยชน์ ดังนั้นแม่นางน้อยจึงกังวลว่าเดินไปเดินมาบนเส้นทางการฝึกตน ตัวเองก็จะกลายเป็นตัวถ่วงไร้ค่าที่ทำให้คนรังเกียจมากที่สุด
เผยเฉียนแอบพูดกับเหยาเสี่ยวเหยียนว่า “เสี่ยวเหยียน ถึงเวลาพักผ่อนก็ไม่จำเป็นต้องตรากตรำฝึกกระบี่เช่นนี้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเหนื่อยไปทั้งชีวิต ฟังพี่หญิงเผยเถอะ วันหน้าถึงเวลาที่ต้องตั้งใจฝึกกระบี่ค่อยตั้งใจฝึก ไม่ว่าจะตั้งใจจริงจังมากแค่ไหนก็ไม่มากเกินไป ถึงเวลาที่ควรวางใจก็ควรวางใจเที่ยวเล่นให้สบายใจ ไม่ว่าจะสบายใจแค่ไหนก็ไม่มีใครมาตำหนิว่าเจ้าแอบขี้เกียจ เพราะสำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ชั่วชีวิตหนึ่งนั้นยาวนานมาก พวกเราไม่ต้องรีบร้อนแสวงหาความสำเร็จ”
เหยาเสี่ยวเหยียนได้ยินแล้วก็เก็บดวงจิตกลับมา ใบหน้าแดงก่ำน้อยๆ รีบพยักหน้าให้พี่หญิงเผยเบาๆ ทันที
เผยเฉียนพูดจบก็พลันหลุดหัวเราะพรืด รู้สึกเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย เป็นเพราะว่ารับอาหมานมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อใช่หรือไม่ ตนถึงได้เริ่มอธิบายเหตุผลให้คนอื่นฟังแล้ว? เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาหมานที่เป็นเหมือนคนใบ้น้อย วันหน้าจะอยู่ร่วมกับเด็กๆ กลุ่มนี้ได้หรือเปล่า? พอเผยเฉียนคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรสถานะของอาหมานก็วางอยู่ตรงนั้น มีชาติกำเนิดมาจากภูตแห่งป่าเขา ส่วนตัวอ่อนเซียนกระบี่พวกนี้ก็มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ คงจะปรองดองกันได้ยากกระมัง? ช่างเถอะ ไม่คิดมากแล้ว ถึงอย่างไรก็มีอาจารย์พ่ออยู่
ป๋ายเสวียน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือ ‘อวิ๋นโหยว’ หากเรียกออกมา กระบี่บินพุ่งทะยานว่องไวอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังใช้วิธีการป่าเถื่อนอย่างการแลกอาการบาดเจ็บหรือถึงขั้นแลกชีวิต ถามกระบี่เหมือนการประลองบนกระดานหมาก ป๋านเสวียนคือฝั่งที่วางหมากอย่าง…ไร้เหตุผล ขณะเดียวกันก็วางหมากด้วยฝีมือของเทพเซียนด้วย
น่าหลันอวี้เตี๋ย ในบรรดาเด็กทั้งเก้าคนคือตัวอ่อนเซียนกระบี่เพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม เล่มหนึ่งคือ ‘ซิ่งฮวาเทียน’ อีกเล่มคือ ‘ฮวาเติง’ ได้ครบทั้งป้องกันและโจมตี
เหยาเสี่ยวเหยียนกลับเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างเพียงคนเดียวที่…ได้ครอบครองกระบี่บินสามเล่ม ‘ชุนซาน’ ‘จูหว่าง’ ‘หนีซาง’ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินสามเล่มต่างก็คล้ายคลึงกันอย่างมาก ไม่เน้นการโจมตี เชี่ยวชาญการป้องกัน สามารถมองเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำสวมชุดคลุมอาคมระดับสมบัติอาคมสามตัวพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าย่อมสามารถหันกลับมาหล่อเลี้ยงกายเนื้อของตัวเองและบำรุงจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตามหลักแล้วเหยาเสี่ยวเหยียนเกิดมาก็ได้ครอบครองคำว่าสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม การฝ่าทะลุขอบเขตควรจะเป็นคนที่เร็วที่สุด เพียงแต่ว่านิสัยของเหยาเสี่ยวเหยียนค่อนข้างนุ่มนิ่มบอบบาง บนเส้นทางการฝึกตนจึงกลายเป็นว่าถูกนิสัยหลังกำเนิดถ่วงรั้งให้ล่าช้า
เหอกู กระบี่บิน ‘เฟยไหลเฟิง’
อวี๋เสียหุย กระบี่บิน ‘โพ่จื่อลิ่ง’
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของป๋ายเสวียนที่อันที่จริงแล้วเกิดมาก็เหมาะกับการจับคู่เข่นฆ่ามากที่สุด ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอันดับหนึ่งระหว่างการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่เลยทีเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมป๋ายเสวียนถึงได้มีคำพูดติดปากว่า ‘หวังว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว’ ‘แน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัว’