กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 757.2 ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่เข้าไปฝึกกระบี่ในปิ่นหยก กระทั่งจนถึงตอนนี้ที่ได้มาอยู่ในจวนจินหวงของใบถงทวีป เนื่องจากกระบี่บินของตัวเองอยู่ในลำดับ ‘สามล่าง’ ของการประเมินคฤหาสน์หลบร้อน ป๋ายเสวียนจึงยังคงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าคุณสมบัติบนวิถีกระบี่ของตนแย่ที่สุดในบรรดาคนทั้งเก้า มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าในอนาคตจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จต่ำที่สุด
ไม่ใช่เพราะว่าคฤหาสน์หลบร้อนที่ใต้เท้าอิ่นกวานนั่งบัญชาการณ์มานานหลายปีจงใจหาเรื่องเด็กที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลงสนามรบอย่างป๋ายเสวียน แต่เป็นเพราะในสนามรบแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากผู้ฝึกกระบี่อยู่บนสนามรบที่สี่ด้านแปดทิศล้วนเต็มไปด้วยศัตรูคู่อาฆาต ต่อให้หนึ่งกระบี่ของป๋ายเสวียนสร้างคุณความชอบได้สำเร็จก็ยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะต้องถอยออกมาจากสนามรบทันทีทันใด และที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ การเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรง จำนวนของผู้ฝึกกระบี่กับเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่โจมตีเมืองก็แตกต่างกันมากเกินไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสวียนจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าเขาไม่เหมาะจะออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าป๋ายเสวียนเกิดมาก็ไม่เหมาะสมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต
ดังนั้นยามที่เด็กชายอยู่ที่บ้านเกิด ระดับขั้นกระบี่บินของป๋ายเสวียน หากอิงตามเกณฑ์การประเมินที่อิงตามทฤษฎีคุณความชอบอย่างถึงที่สุดของคฤหาสน์หลบร้อนในปีนั้น จึงได้แค่อันดับ ‘สามล่าง’ เท่านั้น อีกทั้งอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ป๋ายเสวียนมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นเช่นนี้จะสามารถทำให้เด็กคนนี้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง หรือกระทั่งก่อกำเนิดในท้ายที่สุดได้จริงหรือ? ไม่แน่ว่าในสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง หรืออย่างมากสุดสงครามใหญ่สองสามครั้งผ่านไป กระบี่บินก็ถูกทำลายย่อยยับแล้ว แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยังเป็นไม่ได้
ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นเด็กๆ ที่สามารถถูกเซียนกระบี่ต่างถิ่นพากลับมายังใต้หล้าไพศาลได้นั้น ล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่คุณสมบัติดีเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่นตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนที่เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่แห่งธวัลทวีปพากลับไปอย่างจวี่สิงและเฉามู่ ‘เหลยเจ๋อ’ เล่มนั้นของจวี่สิง ปีนั้นถูกคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่อันดับสองกลาง ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของแม่นางน้อยเฉามู่อย่าง ‘พางถัว’ และ ‘หงหนี’ กลับถูกประเมินให้เป็นอันดับ ‘สองล่าง’ และ ‘สามบน’
นอกจากกระบี่บินอันดับหนึ่งที่มีจำนวนน้อยนิดซึ่งรวม ‘น้ำค้างหวาน’ กระบี่บินของเซียนกระบี่อู๋เฉิงเพ่ยเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว อันที่จริงกระบี่บินที่อยู่ในหกลำดับรวมระหว่างลำดับสองและสามนั้น ถือว่าระดับขั้นดีเยี่ยมสำหรับในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ไม่เพียงแต่จวี่สิงและเฉามู่ที่ติดตามเซี่ยซงฮวาไปเท่านั้น ยังมีเฉินหลี่และเกาโย่วชิงที่ลี่ไฉ่พาตัวไป ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหมดที่ออกจากบ้านเกิดไปเร็วกว่าพวกป๋ายเสวียน อันที่จริงกระบี่บินล้วนเป็นลำดับสองและลำดับสามทั้งสิ้น
ดังนั้นนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสวียนออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จนมาถึงใต้หล้าไพศาล ขอแค่ป๋ายเสวียนไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วสามารถค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกระทั่งไปถึงขอบเขตโอสถทองได้ ค่อยๆ สร้างความมั่นคงให้กับระดับขั้นของกระบี่บินที่จะต้องเลื่อนขั้นไปทีละนิด ป๋ายเสวียนก็จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีเรี่ยวแรงฮึดสู้ภายหลังที่แข็งแกร่งยิ่ง พลังพิฆาตรุนแรงยิ่งคนหนึ่ง
เผยเฉียนรอคอยที่จะได้เห็นการฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่วของเด็กๆ เหล่านี้อย่างมาก
เจิ้งซู่พาเฉินผิงอันเดินเล่นเที่ยวชมจวนจินหวง ระหว่างทางผ่านศาลาไม้ลักษณะเรียบง่ายโบราณหลังหนึ่ง รอบด้านคือต้นสนใหญ่ตระหง่านหนาครึ้มเขียวขจี
เดินเล่นตลอดทางจนมาถึงที่แห่งนี้ เฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นว่า “ฝู่จวิน วันนี้พวกเรามาเยี่ยมเยือน ค่อนข้างมาไม่ถูกเวลาสักเท่าไร”
เจิ้งซู่ไม่ได้ปิดบัง เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฉาเซียนซือ บอกตามตรง จวนจินหวงของข้าทุกวันนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะรับรองแขกเลยจริงๆ คิดดูแล้วก่อนหน้านี้ที่ท่านผ่านศาลาก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราดื่มเหล้ากันแล้วข้าจะให้คนพาพวกท่านโดยสารเรือไปเที่ยวทะเลสาบซงเจิน เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว ข้าจึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องวงในมากนัก เดิมทีคิดว่าจะดื่มเหล้าก่อนแล้วค่อยเอ่ยถ้อยคำที่ทำลายบรรยากาศพวกนี้กับผู้มีพระคุณ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าช่วยให้เสียเรื่อง”
เจิ้งซู่ผ่อนลมหายใจโล่งอก
หากเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด จวนจินหวงไม่มีเหตุผลที่จะดึงผู้มีพระคุณท่านนี้เข้ามาอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่สองแคว้นที่บรรยากาศพิลึกพิลั่นนี้
การกลับมาพบเจอกันในขุนเขาสายน้ำอีกครั้ง ดื่มสุราให้เต็มคราบ พบเจอด้วยดีก็จากลากันด้วยดี เชื่อว่าวันหน้ายังมีโอกาสได้กลับมาดื่มเหล้าด้วยกัน ได้มาพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานด้วยกันใหม่อีกครั้ง
เฉินผิงอันกับเจิ้งซู่ก้าวเดินเข้าไปนั่งในศาลาไม้
เฉินผิงอันถามว่า “สุขภาพของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา?”
เจิ้งซู่ถอนหายใจ เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับอะไร ตลอดทั้งบนและล่างราชสำนักล้วนรับรู้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ “ปีนั้นก่อนจะออกไปจากนครเซิ่นจิ่ง ข้ายังตั้งใจไปเยี่ยมเยือนแม่ทัพผู้เฒ่าโดยเฉพาะ เวลานั้นแม่ทัพผู้เฒ่าก็ไม่อาจลุกขึ้นลงจากเตียงได้แล้ว หลายปีมานี้คิดว่าคงจะฝืนประคองตนไว้เสียมากกว่า”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หากข้าจำไม่ผิด อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของต้าเฉวียน สวีเซียนซือท่านนั้นนอกจากจะเชี่ยวชาญวิชาอสนีแล้ว ยังเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ที่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถอีกด้วย โอสถที่เขาหลอมออกมา ดูเหมือนว่าจะสามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาวได้”
ในความเป็นจริงแล้วสวีถงเซียนซือแห่งอารามฉ่าวมู่ได้ตายภายใต้คมกระบี่ชือซินของสุยโย่วเปียนไปนานแล้ว
แต่ด้วยสถานะของราชวงศ์ต้าเฉวียนในใบถงทวีปทุกวันนี้ รวมไปถึงสถานะของตระกูลเหยา ไม่ว่าฮ่องเต้หญิงต้าเฉวียนผู้นั้นจะไปขอยาจากใคร ย่อมไม่มีทางถูกปฏิเสธแน่นอน
พูดถึงแค่สถานที่การลงนามสันนิบาติใบท้อก็อยู่ที่ท่าเรือใบท้อซึ่งห่างจากครเซิ่นจิ่งไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เจิ้งซู่ส่ายหน้า “เฉาเซียนซือคงไม่รู้ อารามฉ่าวมู่แห่งนั้นกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของต้าเฉวียนไปแล้ว จวนเซียนแห่งนี้คือกิจการที่บุตรสืบทอดจากบิดามารุ่นสู่รุ่น ในอดีตก็เป็นสวีถงอดีตเจ้าของคนก่อนที่ปิดด่านกะทันหัน ยกตำแหน่งให้กับทายาทสายตรงก่อน ภายหลังหายนะครั้งนั้นมาเยือน ลมแรงจึงรู้ถึงหญ้าที่แข็งแกร่ง คิดไม่ถึงว่าอารามฉ่าวมู่จะถึงขั้นแอบสมคบคิดกับสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจอย่างลับๆ เกือบจะถูกผู้ฝึกตนของอารามฉ่าวมู่เปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครได้สำเร็จ ดังนั้นตำรับยาของอารามฉ่าวมู่จึงสูญเสียการสืบทอดไปนานแล้ว อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า หลายปีมานี้เพื่อแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา ฝ่าบาทได้หาโอสถไปทั่วสารทิศ อย่าว่าแต่อารามจินติ่งเลย ฝ่าบาทยังถึงขั้นให้คนไปที่ยอดเขาเสินจ้วนของสำนักกุยหยกมารอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ขอยาล้ำค่าหายากมาจากเจ้าสำนักเหวย ว่ากันว่าแม้แต่เทพเซียนผู้เฒ่าลู่แห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีป ฝ่าบาทก็ยังส่งคนเดินทางไกลข้ามทวีปไปหาเขาด้วย”
เจิ้งซู่เห็นว่าเฉาโม่ผู้นั้นสีหน้าสงบนิ่ง เกินครึ่งก่อนหน้านี้ที่เดินทางมาเยือนใบถงทวีป ระหว่างขึ้นเหนือคงผ่านอาณาเขตของต้าเฉวียนและได้ยินเรื่องกองทัพชายแดนตระกูลเหยามาก่อนแล้ว และการที่จวนจินหวงสามารถลุกผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง เจิ้งซู่ก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของตระกูลเหยามากที่สุด จึงอดพูดมากอีกสองสามประโยคไม่ได้ เขาทอดถอนใจจากใจจริงว่า “เฉาเซียนซือเองก็น่าจะเข้าใจ มนุษย์ธรรมดาก็ดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ช่าง คำว่ายาวิเศษแห่งตระกูลเซียน ไม่เพียงแต่ผลประโยชน์จะมีจำกัด ยังอาจเกิดความขัดแย้งกันเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลาปกติใช้ยามาเพิ่มความมั่นคงให้กับรากฐานพลังชีวิตยังพูดได้ง่าย เรื่องของการรักษาอาการป่วยช่วยชีวิตนั้น หากไม่ทันระวังจะต้องเจอจุดจบที่ว่ารักษาปลายเหตุแต่ทำลายต้นกำเนิด ดังนั้นข้าที่อยู่ที่นี่พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ร่างกายของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเรียกได้ว่าสถานการณ์ใหญ่จากไป อายุขัยสิ้นสุดแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่าแม่ทัพผู้เฒ่าสามารถอดทนจนมาถึงอายุปูนนี้ได้ อายุมากเกือบร้อยปี สถานการณ์บ้านเมืองของราชวงศ์ต้าเฉวียนทุกวันนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน ย่อมต้องลุกผงาดกลายมาเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของใบถงทวีปได้อย่างแน่นอน ต่อให้แม่ทัพผู้เฒ่าจะต้องสิ้นอายุขัยจากไป ก็คงไม่มีความเสียดายอะไรมากนัก”
อันที่จริงสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่มีอายุขัยยืนยาว สามารถบุกเบิกจวนเป็นของตัวเองได้แล้ว พวกเขาเห็นการเกิดการตายบนโลกมนุษย์มาจนชินชาแล้ว หากไม่เป็นเพราะยังจดจำสกุลเหยาต้าเฉวียนได้ไม่ลืมเลือน เจิ้งซู่ก็คงไม่ถึงกับต้องเสียใจขนาดนี้
สองหมัดที่วางอยู่บนหัวเข่าของเฉินผิงอันกำแน่นแล้วคลายออกเบาๆ พยักหน้ารับ ถามว่า “ดูจากท่าทางที่แคว้นเป่ยจิ้นเอาป้ายแบ่งเขตมาตั้งไว้ก่อน จากนั้นค่อยมาขวางทาง คงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเร่งให้ฝู่จวินย้ายขึ้นเหนือแล้วสินะ? ทางฝั่งฮ่องเต้ต้าเฉวียนพวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร? จะทำให้ฝู่จวินลำบากใจเกินไปหรือไม่?”
ขอแค่จวนจินหวงย้ายขึ้นเหนือ อันที่จริงเจิ้งซู่ย่อมไม่วางตัวลำบาก คนที่วางตัวลำบากอย่างแท้จริงคือราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ตัดสินใจจะให้จวนจินหวงปักหลักอยู่ที่เดิม
เจิ้งซู่ถอนหายใจอยู่ในใจ เอ่ยถ้อยคำที่คลุมเครือประโยคหนึ่งว่า “เรื่องของการกินเงินเดือนท่านต้องภักดีต่อท่านนี้ ไม่ว่าฝ่าบาทจะตัดสินใจอย่างไรก็ล้วนเป็นภาระหน้าที่ของเทพเล็กๆ แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างพวกเรา แค่ทำตามคำสั่งไปก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ต้าเฉวียนและเป่ยจิ้นแบ่งทะลสาบซงเจินกันไปคนละครึ่ง ค่อนข้างสมเหตุสมผล”
เจิ้งซู่มีสีหน้าจนใจ
หากทั้งสองฝ่ายปรึกษาพูดคุยกันได้เช่นนี้ก็ดีน่ะสิ เป่ยจิ้นกองกำลังแคว้นอ่อนแอ แต่กระนั้นกลับยังไม่ยอมถอยให้ จะต้องให้จวนจินหวงย้ายขึ้นไปอยู่บนเส้นแบ่งขอบเขตเดิมทางเหนือของต้าเฉวียนให้ได้ ส่วนราชวงศ์ต้าเฉวียนที่แข็งแกร่งกว่าก็ยิ่งไม่มีทางพูดคุยด้วยง่ายเข้าไปใหญ่ นับตั้งแต่จวนเซินกั๋วกงในเมืองหลวงไปจนถึงแม่ทัพบู๊ชายแดนต้าเฉวียน ทั้งบนและล่างราชสำนักต่างก็ยืนกรานในเรื่องนี้อย่างหนักแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถวายงานเส้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าจะย้ายจวนจินหวงไปทางเหนือ แต่ยังคงทิ้งภูเขาลูกหนึ่งไว้ทางทิศใต้สุดของทะเลสาบซงเจิน นี่ก็ถือว่ายอมถอยให้มากพอแล้ว ถือว่าให้หน้าใหญ่เทียมฟ้าแก่เป่ยจิ้นแล้ว
หลายครั้งที่เจิ้งซู่ไปเยือนทะเลสาบซงเจินเป็นการส่วนตัวเพื่อเข้าร่วมการประชุมของชายแดน ฟังจากความหมายของผู้ถวายงานเส้า ดูเหมือนว่าขอแค่เป่ยจิ้นละโมบไม่รู้จักพอ กล้าได้คืบแล้วยังจะเอาศอก อย่าว่าแต่ยกทะเลสาบซงเจินให้ส่วนหนึ่งเลย แม้แต่จวนจินหวงก็จะไม่ย้ายไปแล้ว
หรือไม่อาจจะย้าย แต่ย้ายไปทางใต้แทน!
เดิมทีกองกำลังแคว้นของเป่ยจิ้นก็อ่อนด้อยกว่าราชวงศ์ต้าเฉวียนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่มีทางถูกกองทัพชายแดนตระกูลเหยากดข่มจนแทบหายใจไม่ออก เป่ยจิ้นในทุกวันนี้ยิ่งอ่อนแอกว่าเดิม โครงว่างเปล่าโครงหนึ่งที่จับตะวันออกมาผสมตะวันตก แม้แต่ที่ว่าการหกกรมอันเป็นศูนย์กลางของแคว้น คนที่แก่ก็แก่ไป แต่ละคนอายุมาก หูตาฝ้าฟาง เวลาเดินยังไม่มั่นคง คนที่อายุน้อยก็อายุน้อยนัก เลื่อนขั้นขุนนางไม่เร็วไม่ได้ ขนาดราชสำนักในเมืองหลวงยังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพน้อยใหญ่เลย ปลาและมังกรปะปนกันมั่วซั่ว ที่ว่าการในท้องถิ่นก็มีแต่ภาพบรรยากาศวุ่นวายที่เอาคนไร้ความสามารถมาสวมรอยให้ครบจำนวน
แรกเริ่มที่ภรรยาเลื่อนขั้นเป็นเทพวารีทะเลสาบซงเจิน ได้สร้างร่างทอง สร้างศาล ถูกรับเข้าทำเนียบขุนเขาสายน้ำ ใช้สถานะของภูตผีมารับหน้าที่เป็นฝู่จวินของหนึ่งทะเลสาบ แน่นอนว่าเจิ้งซู่แห่งจวนจินหวงต้องปิติยินดียิ่งยวด ทว่าทุกวันนี้กลับทำให้เจิ้งซู่กลัดกลุ้มยิ่งนัก ตนดูแคลนฝีมือการควบคุมคนของฝ่าบาทท่านนั้นเกินไปจริงๆ
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้เขาไม่สะดวกจะพูดมาก ทั้งไม่สอดคล้องกับกฎมารยาทในวงการขุนนาง แล้วยังอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าได้ผลประโยชน์ไปแล้วยังเรียกร้องไม่รู้จักพอ ต้าเฉวียนปฏิบัติต่อจวนจินหวงอย่างดีเช่นนี้ได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วฝ่าบาทจะตัดสินใจเช่นไร เจิ้งซู่ก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
ดังนั้นเจิ้งซู่จึงส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ข้าคงไม่พูดเรื่องพวกนี้กับผู้มีพระคุณแล้ว”
ฝู่จวินท่านนี้กังวลว่าจะทำให้เฉาโม่เดือดร้อน หากเป็นเพียงแค่บุญคุณความแค้นระหว่างขุนเขาสายน้ำที่เทพวารีศาลเถื่อนทะเลสาบซงเจินคิดช่วงชิงมหามรรคา ไม่เกี่ยวพันกับสถานการณ์ของราชสำนักและของชายแดนสองแคว้น เจิ้งซู่ก็รู้สึกว่าตนที่ถูกชะตากับเซียนกระบี่เฉาจากต่างถิ่นตรงหน้าผู้นี้มาก คงจะไม่ถือสาหากอีกฝ่ายจะช่วยเหลือจวนจินหวงจริงๆ ถึงอย่างไรหากชนะก็ดื่มสุราร่วมฉลอง ภูเขาไม่เปลี่ยนแต่สายน้ำยังรินไหล เจิ้งซู่เชื่อว่าต้องมีวันหนึ่งที่จวนจินหวงชดใช้น้ำใจคืนได้แน่นอน ต่อให้จะพ่ายแพ้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เซียนกระบี่หนุ่มท่านนี้ถูกมัดเท้าไม่อาจเดินหน้า จมปลักอยู่ในโคลนลึก
เพราะถึงอย่างไรคนหนุ่มก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ที่ตอแยได้ยากที่สุดบนภูเขา ยามแก้แค้นผู้อื่นก็น้อยครั้งนักที่จะมีความแค้นข้ามคืน หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ไม่ใช่คำกล่าวที่ผู้ฝึกกระบี่คุยโวโอ้อวดตัวเอง ต่อให้หนึ่งกระบี่สังหารคนไม่ได้ สองสามกระบี่ฟันลงไปก็ทะยานลมเผ่นหนีไปไกลทันที ผ่านไปสามวันห้าวันค่อยทำอย่างนี้ใหม่อีกครั้ง มีหลักการป้องกันโจรพันวันเสียที่ไหน? พรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่งจะต้องปิดภูเขาไปทั้งอย่างนี้หรือ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูกศิษย์ลงจากเขาไปหาประสบการณ์อะไรนั่นหรือไร?
แต่หากผู้ฝึกลมปราณคิดจะแก้แค้นผู้ฝึกกระบี่กลับยุ่งยากกว่ามากนัก ผู้ฝึกกระบี่น้อยนักที่จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่ละคนล้วนมีภูเขาเบื้องหลังที่มีรากฐานหนาแน่น รวมไปถึงบรรพจารย์ที่เป็นเซียนกระบี่ยิ่งกว่าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัย “ข้าออกจากบ้านเกิดลงเขามาหาประสบการณ์ไม่มากนัก อย่างมากสุดก็แค่เข้าใจกฎเกณฑ์ของขุนเขาสายน้ำ ส่วนกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางกลับไม่รู้อะไรเลย ไม่ควรถามเช่นนี้จริงๆ”
เจิ้งซู่ลุกขึ้นยิ้มกล่าว “ไม่ต้องคิดมาก ไปดื่มสุรากันเถอะ ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เหล้าหมักหลันฮวากาหนึ่งจะจัดการไม่ได้ เฉาเซียนซือดื่มได้กี่กาก็ดื่มเท่านั้น ดื่มไม่ถึงสามกาก็พกเอาไปดื่มระหว่างทางหลายๆ กาหน่อย แต่ข้าว่าเฉาเซียนซือไม่เหมือนคนที่ดื่มเหล้าไม่เป็นนะ แค่สามกาเท่านั้น สบายมาก”
เรื่องของการยุให้คนดื่มเหล้านี้ ตอนนี้ฝู่จวินแห่งจวนจินหวงยังไม่รู้ว่าตัวเองมาเจอกับผู้อาวุโสยอดฝีมือตัวจริงเข้าให้แล้ว
เพียงแต่ว่าจู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “ฝู่จวิน สุราอาจต้องเหลือค้างไว้ก่อน ข้ามีธุระเร่งด่วนจำเป็นต้องออกเดินทางไกลสักเที่ยว คาดว่าคงต้องใช้เวลาสองสามวัน ส่วนจะนานแค่ไหนนั้นยังบอกได้ยาก ข้าจะพยายามกลับมายังจวนจินหวงให้เร็วที่สุด”
เจิ้งซู่อึ้งค้างอยู่กับที่ เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจเช่นไรดี เด็กๆ ที่เฉาโม่พามาด้วยจะอยู่ในจวนต่อไป หรือว่าจะไปยังทะเลสาบซงเจินเลย แน่นอนว่าอย่างหลังเหมาะสมและปลอดภัยมากกว่า แต่หากเป็นเช่นนี้ก็อาจกลายเป็นที่สงสัยว่าจงใจไล่แขกแล้ว
——