กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 761.2
บทที่ 761.2 ไม่ถูก
หากเผยหมิ่นจับเบาะแสได้ แล้วถ้าหากเขาไม่สนใจค่ายกลกระบี่อีกต่อไป อยู่ดีๆ ก็หาที่ซ่อนตัวของตนพบ เลือกที่จะใช้หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม เปิดฟ้าดิน มองข้ามแม่น้ำแห่งกาลเวลา สยบนกในกรงไว้ในชั่วพริบตาเดียว ระยะห่างระหว่างตีนเขากับยอดเขานี้ก็ยังมีพื้นที่ให้เฉินผิงอันหลบเลี่ยงหนึ่งกระบี่ได้ ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ทำเรื่องประหลาดอยู่ตลอดเวลา เขาทิ้งความคิดบางอย่างไว้ตามจุดต่างๆ หลายจุดล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว คล้ายจิตหยินออกเดินทางไกลที่เป็นดั่งภาพมายาไร้ร่องรอย หลบอยู่เบื้องหลังคอย ‘รวบรวมสมาธิ’ จับสังเกตการออกกระบี่ของเผยหมิ่น วิเคราะห์ว่าเผยหมิ่นสามารถอาศัย ‘ริ้วคลื่นความคิด’ ที่เล็กละเอียดนี้มาปล่อยกระบี่ครั้งถัดไป แต่กลับต้องหล่นลงบนความว่างเปล่า
หากไม่เป็นเพราะถูกปรมาจารย์ป้อนหมัดมามาก ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้เจอเซียนกระบี่มามากมาย
ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปคนใด ลำพังเพียงแค่เผชิญหน้ากับชื่อและคำเรียกขานที่ว่าเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่นี้ ไม่ต้องให้เผยหมิ่นปล่อยกระบี่ออกไปอย่างแท้จริง ก็สามารถทำให้จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งสูญเสียการควบคุมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไปหลายส่วนแล้ว
ก็เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่วิ่งไปขอประลองวิชาอสนีกับเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ย่อมต้องรู้สึกใจฝ่อบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียจากว่าคนผู้นั้นจะเป็นฝูลู่อวี๋เสวียนกับฮว่อหลงเจินเหริน
เผยหมิ่นเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือข้างที่ถือกระบี่สะบัดกระบี่ยาวน้ำฝนที่อยู่ในเมืองให้แหลกสลายเบาๆ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่และน้ำฝนรอบด้านพลันกระจายตัว แผ่ปูออกไปในแนวขวางโดยมียอดเขาที่เผยหมิ่นยืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง สกัดกั้นฟ้าดินเล็กของคนหนุ่มผู้นั้น
ปราณกระบี่แผ่กระจายเหมือนริ้วคลื่นในทะเลสาบที่กระเพื่อมเป็นระลอก สุดท้ายปรากฎกระจกขนาดใหญ่ยักษ์บานหนึ่งตั้งวางอยู่ในโลกมนุษย์
ผู้เฒ่าแบ่งฟ้าดินเล็กของนกในกรงบนและล่างออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย สกัดขวางวิชาอภินิหารแห่งฟ้าดินเอาไว้
แม้ว่าจะเจอจุดซ่อนตัวที่แท้จริงของคนหนุ่มผู้นั้นแล้ว เจ้าเด็กนั่นยืนอยู่ข้างลำธารตรงตีนเขา เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้บอกไปแล้วว่าจะรับสามกระบี่ เผยหมิ่นไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด จึงแสร้งทำเป็นว่าสัมผัสไม่ได้ มองยันต์กระบี่สร้างค่ายกลทำการถามกระบี่กับกระจกปราณกระบี่อีกครั้ง เป็นเวทกระบี่ที่ค่อนข้างแปลกใหม่อีกวิชาหนึ่ง
เพียงแต่ว่ามีลวดลายฉูดฉาดไปสักหน่อย รากฐานวิชายันต์แย่เกินไป เป็นเหตุให้ระดับขั้นของยันต์ไม่อาจสูงไปยังไงได้ อีกทั้งยันต์หลายสิบชนิดที่อยู่ด้านในยังค่อนข้างจะแปลกใหม่ แม้แต่เผยหมิ่นก็ยังเดารากฐานคร่าวๆ ของพวกมันไม่ได้ ทว่าค่ายกลใหญ่ยันต์กระบี่นี้ ถือว่าอยู่ในประเภทมองดูแล้วงดงาม แต่กลับไม่มีความหมายมากนัก
ไม่ใช่สนามรบสักหน่อย การจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกกระบี่ เอาแต่แสวงหาความยิ่งใหญ่ความสมบูรณ์แบบลูกเดียว คนหนุ่มผู้นั้นต้องการอะไรกันแน่? ไม่ทะนุถนอมโอกาสในการออกกระบี่ครั้งสุดท้ายเกินไปหน่อยหรือไม่? หรือจะบอกว่าอายุน้อยเกินไป ความสามารถด้านวิชากระบี่จึงมีเพียงเท่านี้เอง?
ธารดวงดาวร่วงลงพื้น พื้นผิวทะเลสาบยกลอยขึ้นสูง ปะทะชนเข้าด้วยกัน
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่ฉีโซ่วอย่าง ‘เที่ยวจู’ มีหวังว่าจะกลายเป็นระดับของอาวุธเซียนได้ หากปณิธานกระบี่และปราณวิญญาณของฉีโซ่วสามารถประคับประคอง ‘เที่ยวจู’ ได้รวดเดียวสามพันหกร้อยเล่ม ฉีโซ่วก็จะสามารถพิสูจน์คำทำนายมหาโชคของอริยะลัทธิเต๋าแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นที่บอกไว้ว่า ‘ครอบครองธารดารา ฝนพรมลงมาบนโลกมนุษย์’ ปีนั้นที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเป็นฝ่ายใช้ยันต์มาเพิ่มพลานุภาพในการโจมตีให้กับกระบี่บินเล่มนี้ของฉีโซ่ว ใช้ยันต์และกระบี่สร้างเป็นค่ายกล จ่ายเงินเพียงเล็กน้อยก็ราวกับว่าสามารถทำให้กระบี่บินมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวิชาเปล่าๆ
ทุกครั้งที่อยู่ระหว่างนั่งเรือโดยสารเดินทางไกล นอกจากเฉินผิงอันจะหลอมปลายกระบี่ไท่ป๋ายเป็นกระบี่อย่างระมัดระวังแล้ว ยังหลอมกองผ้าชุดคลุมสีเทาให้เป็นฝักกระบี่ด้วย ตั้งใจสร้างกระบี่พกประจำกายเล่มหนึ่งขึ้นมา
การวาดยันต์และการฝึกหมัดก็ล้วนไม่มีเกียจคร้าน เพราะต้องแบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่เอาไว้ จึงเป็นเหตุให้เฉินผิงอันถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลสยบกำราบอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นก็ล้วนเป็นการฝึกหมัดทั้งสิ้น ถึงอย่างไรก็ไม่เหลือพื้นที่ให้เฉินผิงอันเกียจคร้านแม้แต่เสี้ยวเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องของการวาดยันต์จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญนอกเหนือจากการฝึกกระบี่อีกที
เดิมทีค่ายกลกระบี่ยันต์ค่ายกลนี้ เฉินผิงอันคิดจะเอาไว้ใช้เป็นของขวัญพบหน้าให้กับภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่ก็นครลมเย็นในอนาคต
ความคิดที่ทิ้งไว้ตรงยอดเขาตำแหน่งเดิม มีกระบี่บินชูอีโผล่พรวดออกมา แล้วพุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่เปล่งวาบ ตรงดิ่งเข้าหาเผยหมิ่นที่อยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้าม
ความคิดอีกจุดหนึ่งที่เหมือนจิตหยินออกจากร่าง กระบี่บินเล่มหนึ่งที่มีสายฟ้าสีม่วงล้อมวนกลับพุ่งยาวเข้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเผยหมิ่น คล้ายกับจะถามกระบี่แต่ดันพุ่งไปผิดทาง
จุดที่ความคิดที่สามซุกซ่อนตัว กระบี่บินเหมือนเข็มสนเล็กๆ (ซงเจิน หมายถึงใบสนที่มีลักษณะเหมือนเข็ม) ชิ้นหนึ่งกรีดผ่ากลางอากาศ พุ่งจากด้านหลังของเผยหมิ่นไปยังยอดเขา ปลายกระบี่ชี้ไปที่ท้ายทอยของผู้เฒ่า
ไม่เพียงเท่านี้ ค่ายกลกระบี่ธารดวงดาวที่ปะทะกับทะเลสาบกระบี่ปริแตกไปได้แค่ครึ่งเดียว ฟ้าดินก็พลันพลิกตลบ ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพหนึ่งคล้ายถูกคนพับบิดตามแต่ใจ ธารดวงดาวค่ายกลกระบี่ครึ่งหนึ่งจึงผุดลอยขึ้นมาจากทิศไกลของฟ้าดิน มองดูคล้ายอยู่ห่างไปไกลมาก จากนั้นก็กระโดดพรวดหดย่อพื้นที่ ไม่ต่างจากด้ามร่มท่อนนั้น กลบฟ้าทับดิน พริบตาเดียวก็ปกคลุมผู้เฒ่าที่อยู่บนยอดเขาไว้ภายในทั้งหมด
เผยหมิ่นยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา เผชิญหน้ากับค่ายกลกระบี่ธารดวงดาวครึ่งแห่งและกระบี่บิน ‘แห่งชะตาชีวิต’ สามเล่ม ผู้เฒ่าก็ทำเพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทำมุทรากระบี่เท่านั้น
ไม่ออกกระบี่แม้แต่ครั้งเดียว เผยหมิ่นเพียงแค่ไม่จงใจควบคุมปราณกระบี่อันเอ่อท้นไพศาลบนร่างอีกต่อไป บนยอดเขาจึงมีปราณกระบี่โชติช่วงประดุจดวงตะวันดวงใหญ่ที่พลันโผล่พรวดออกมาจากทะเลบูรพาแล้วลอยขึ้นสู่จุดสูงในโลกมนุษย์ แสงกระบี่แยงตาขยายครืนครั่นไปเป็นวงกว้าง
ค่ายกลกระบี่ธารดวงดาวถูกกระแทกชนจนแหลกสลาย จริงดังคาด กระบี่บินที่มีสายฟ้าถักทอซึ่งราวกับวิ่งไปผิดทางนั้น ก็วิ่งไปผิดทางจริงๆ ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ตัวเขา กระบี่บินสองเล่มที่ปลายกระบี่แยกกันชี้มาที่หัวใจและท้ายทอยของผู้เฒ่า กระบี่บินหนึ่งในนั้นที่แสงกระบี่เป็นสีขาวหิมะคือเวทอำพรางตา เปล่งวูบหนึ่งครั้งก็พุ่งหายไปที่อื่น มีเพียงกระบี่บินที่ลักษณะคล้ายเข็มสนเล็กบางเท่านั้นที่ไม่รู้จักกลัวตาย ขยับมาใกล้ยอดเขา ไม่เปลี่ยนทิศทาง ผลคือพุ่งเข้าชนแสงกระบี่เข้าอย่างจัง มองดูเหมือนตะปูที่ตอกฝังอยู่ในผนังอย่างไรอย่างนั้น
เผยหมิ่นบังคับปราณกระบี่ ประกบสองนิ้วคีบกระบี่บินเล่มนั้นให้ติดค้างอยู่ที่เดิม เขาส่ายหน้าอย่างระอาใจ เป็นกระบี่จำลองของเซียนกระบี่จากภูเขาชังกระบี่อุตรกุรุทวีปจริงดังคาดเสียด้วย
ในใจของเผยหมิ่นไม่รู้สึกสงสัยอีกต่อไป เพราะว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ที่มีชื่อว่า ‘กู่ชุ่ย’ เล่มนั้นก็คือร่างจริงที่กระบี่บินซึ่งอยู่บนปลายนิ้วเล่มนี้จำลองมา ปีนั้นก็ได้ถูกเขาใช้หนึ่งกระบี่ฟันให้แหลกสลาย ดังนั้นวันนี้พอได้เห็นกระบี่บินเล่มนี้อีกครั้ง เผยหมิ่นถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
กระบี่บินซงเจินสั่นสะท้านเบาๆ เผยหมิ่นหัวเราะ เพิ่มน้ำหนักนิ้วมือบีบให้มันแหลกสลาย “กระบี่บินกู่ชุ่ย นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น ไม่ควรจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกของคนรุ่นหลังเพราะกระบี่จำลองเล่มหนึ่ง”
จากนั้นจึงรวบรวมปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่แหลกสลายไปแล้วกลับคืนมา คล้ายกับว่าทำให้ ‘กู่ชุ่ย’กระบี่บินของเซียนกระบี่กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง เผยหมิ่นเอ่ยว่า “กระบี่แรก รับให้ดีล่ะ”
ภูเขาที่เผยหมิ่นอยู่พลันว่างเปล่า ล้วนถูกค่ายกลกระบี่ธารดารากระแทกชนจนแหลกเละไปแล้ว
ผู้เฒ่าลอยตัวอยู่กลางอากาศ รวบรวมปราณกระบี่ที่หลงเหลือส่วนสุดท้ายในฟ้าดินมาหลอมเป็นกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่ง กระบี่แรกนี้ก็แค่เลียนแบบเซียนกระบี่ที่ชอบใช้กระบี่บินตัดหัวคนมากที่สุด อันที่จริงค่อนข้างจะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่กระบี่ที่สองในมือ ขอแค่ปล่อยออกไป พละกำลังจะต้องมากกว่าเล็กน้อย
ฟ้าดินเล็กที่ถูกวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งพันธนาการเอาไว้แห่งนี้เริ่มค่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นพื้นที่ไร้อาคมที่ใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณได้ดีที่สุดแล้ว
กระบี่แรกที่คนหนุ่มปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ ทับซ้อนสิบสองกระบี่ให้รวมเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เพราะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงคิดจะข่มขู่เผยหมิ่นที่เคยยึดครองตำแหน่งผู้นำเวทกระบี่ในไพศาล แล้วก็ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งคิดจะโอ้อวดวิชากระบี่ของตัวเองให้ดู แต่เพราะต้องการใช้ความเร็วที่มากที่สุดมาเผาผลาญปราณวิญญาณในฟ้าดินให้หมดสิ้น ส่วนเหตุใดถึงไม่ได้ใช้สถานะของเทพเทวดาเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมากลืนกินปราณวิญญาณให้หมดสิ้นเหมือนปลาวาฬสูบน้ำไปในทีเดียว ก็เป็นเพราะความระมัดระวังตัว ในสายตาของเผยหมิ่น นี่คือการเลือกที่ชาญฉลาด ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็จะต้องเป็นฝ่ายกินกระบี่ของเผยหมิ่นก่อนหนึ่งกระบี่ เผยหมิ่นไม่ถือสาที่จะเอาปณิธานกระบี่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งทิ้งไว้ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของคนหนุ่ม แล้วเดินทางไปตามจุดพักม้าเส้นชีพจร ท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำ เจอประตูเคาะประตู ลุยน้ำลงห้วย พริบตาเดียวก็เดินทางได้ไกลร้อยพันลี้
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นผู้นำของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา ต่อให้จะตอแยได้ยากแค่ไหน จะตาสูงมองไม่เห็นหัวใครจึงคิดว่าผู้ฝึกลมปราณในฟ้าดินแท้จริงแล้วก็มีแค่สองชนิดคือผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ สักเท่าไร
แต่ก็จำต้องยอมรับว่า ถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่ก็ยังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณ ยังคงต้องการปราณวิญญาณฟ้าดิน ยามที่เข่นฆ่าคนก็ต้องพยายามใช้ปราณวิญญาณที่มีอยู่ในฟ้าดินนอกกายให้ได้มากที่สุดเสียก่อน
และถึงอย่างไรเผยหมิ่นก็ไม่ใช่ผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ที่เขาเคยถ่ายทอดเวทกระบี่ให้สองสามบทคนนั้น ผู้เฒ่าทั้งไม่สามารถผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ แล้วก็ไม่อาจเลียนแบบป๋ายเหย่ที่ในใจมีบทกวีให้ใช้ไม่หมดสิ้น ปราณวิญญาณฟ้าดินจึงมีต้นกำเนิดให้ใช้ไม่ขาดสาย เผยหมิ่นเสียดายมาโดยตลอดที่ป๋ายเหย่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง เพียงแค่ถือกระบี่ไท่ป๋าย แต่กลับไม่เคยบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ ไม่อย่างนั้นเผยหมิ่นก็ไม่รู้สึกว่ามหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่จิตใจทะเยอทะยานสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้าคนนั้นจะทำตามแผนที่วางไว้ได้สมใจปรารถนา
ร่างของเฉินผิงอันที่อยู่ตรงตีนเขาวูบหายไป ระหว่างฟ้าดินคล้ายมีเสียงลมพัดต้นสนดังซู่ๆ เป็นระลอก ปราณกระบี่มากมายไพศาลที่ราวกับรวบรวมความเก่าแก่โบราณทั้งหมดของต้นสนเขียวในใต้หล้าไว้ด้วยกันมาปรากฎอยู่ตรงจุดเดิมที่เฉินผิงอันยืนอยู่ จากนั้นก็ตามติดเฉินผิงอันที่ข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินได้ตามใจปรารถนาไป มองไม่เห็นคนชุดเขียวที่บนมวยผมปักปิ่นหยก ‘กู่ชุ่ย’ ที่กลายมาเป็นกระบี่บินเล่มหนึ่งของเผยหมิ่นชั่วคราวจึงเหมือนทหารที่แปรพักตร์ยามออกศึก ยอมทำตามเจตจำนงของผู้เฒ่าที่ชี้บอกไป ปรากฏตัววูบวาบครั้งแล้วครั้งเล่า โผล่เข้าโผล่ออกอย่างลึกลับ คอยติดตามเฉินผิงอันหดย่อพื้นที่อยู่ตลอดเวลา มีอยู่หลายครั้งที่ถึงขั้นทำนายได้ล่วงหน้า ไปปรากฏตรงจุดที่เฉินผิงอันจะไปโผล่ก่อนหน้าเขา หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันก็คาดการณ์ได้ล่วงหน้าเหมือนกัน ก็คงเป็นฝ่ายเอาหัวไปโหม่งชนกระบี่บินเล่มนั้น พาตัวไปหาที่ตายแล้ว
สุดท้ายกระบี่บินที่เปลี่ยนจากซงเจินที่แหลกสลายกลายเป็นกู่ชุ่ยก็พุ่งเข้าชนกับกระบี่บินชูอี เรือนกายกระบี่ของฝ่ายหลังแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด มีเพียงแค่ปลายกระบี่ที่บิ่นแตกเท่านั้น ทว่ากระบี่บินที่เผยหมิ่นสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ กลับแหลกสลายไปแล้ว
ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่กระบี่บินชูอีได้รับความเสียหายสาหัสขนาดนี้นับตั้งแต่ติดตามเฉินผิงอันออกเดินทางไกลมาจนถึงทุกวันนี้ ปลายกระบี่แทบจะหักไปเลย
เอ๊ะ?
คนหนุ่มมองความจริงออกเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถูกกระบี่บินกู่ชุ่ยวิ่งไล่ตามไปพันหมื่นลี้แล้ว?
เผยหมิ่นตกตะลึงเล็กน้อย
ผู้เฒ่าพลันหมุนตัวเตรียมจะปล่อยกระบี่ที่สองออกไป
เฉินผิงอันถึงกับสละกระบี่ยาวเล่มนั้นทิ้งไม่ต้องการ เพียงแค่ใช้ฝักกระบี่ต่างกระบี่ เงื้อกระบี่หนึ่งผ่าฟันมาแต่ไกล
เผยหมิ่นจำต้องหรี่ตาลง ต่างคนต่างแลกกระบี่กันคนละที เวทกระบี่ของทั้งสองคน มหามรรคาเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด คนหนึ่งกระบี่แนวตั้ง แสงกระบี่พุ่งลงเป็นแนวเส้นตรง คนหนึ่งกระบี่แนวขวาง แสงกระบี่เหมือนขุนเขาที่ทอดตัวยาว
กระบี่ในมือของเผยหมิ่นแตกสลาย ทว่าเรือนกายกลับยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
กระบี่นี้พละกำลังไม่อ่อนด้อยเลยสักนิด ไม่ค่อยเหมือนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่สามารถย้ายขุนเขาแคว้นเล็กซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำมาใช้ได้สักเท่าไร
เผยหมิ่นเองก็คร้านจะรวมปราณเป็นกระบี่ต่อไป จึงประกบสองนิ้วต่างกระบี่ จิ้มลงไปเบาๆ ตรงจุดหนึ่งด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ยิ่ง
ผู้เฒ่าเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาจริงๆ แล้ว
วิธีการของคนหนุ่มมีมากเกินไป ความคิดละเอียดรอบคอบเกินไป การถามกระบี่ครั้งนี้ไม่รวดเร็วฉับไวเอาเสียเลย
ส่งกระบี่ที่สาม สามกระบี่ติดต่อกัน จากนั้นล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก เป็นตายล้วนขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?
ทางฝั่งภูเขาด้านหลังเผยหมิ่น คนชุดเขียวที่ไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงอีกต่อไปถูกบีบให้ต้องเผยกาย มือขวากำฝักกระบี่ไว้แน่น สองนิ้วของมือซ้ายดันปลายฝักกระบี่ด้านหนึ่งเอาไว้ ถูกแสงกระบี่กระแทกโจมตี ทั้งคนทั้งฝักกระบี่ถอยกรูดไปด้านหลังตลอดทาง
แสงกระบี่รุนแรงหนักหน่วงเกินไป ประหนึ่งค้อนเหล็กที่ทุบลงบนกระดาษเต็มแรง สุดท้ายเฉินผิงอันต้องยื่นแขนสองข้างดันไปเบื้องหน้า ตรงข้อมือ แขน หัวไหล่ ล้วนมีเสียงลั่นแตกดังกังวานติดต่อกันเป็นทอดๆ ฝักกระบี่ในมือกระแทกเข้าที่หน้าอกของเฉินผิงอันอย่างแรง คนชุดเขียวปลิวกระเด็นไปด้านหลัง แต่กระนั้นก็ยังยื่นมือออกมาคว้า กระบี่ยาวที่หลอมขึ้นจากปลายกระบี่ไท่ป๋ายซึ่งอยู่บนยอดเขากลับคืนสู่ฝัก ใช้สิ่งนี้มาลดทอนพละกำลังช่วงท้ายของแสงกระบี่เส้นนั้น แสงกระบี่ระเบิดแตก ชุดคลุมอาคมสีเขียวขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี ใบหน้าของคนหนุ่ม โดยเฉพาะสองมือก็ยิ่งมีรอยเลือดเล็กๆ นับไม่ถ้วนที่เลือดสดไหลซึมออกมา
ในที่สุดเฉินผิงอันก็หยุดยั้งเรือนกายที่ถอยแล้วถอยอีกเอาไว้ได้ มือซ้ายถือฝักกระบี่ นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ เรือนกายงองุ้ม มือขวาที่เดิมทีควรจับกระบี่ยังคงกุมบาดแผลตรงหน้าท้องที่เดิมทีเลือดหยุดไหลไปแล้ว เลือดสดไหลซึมผ่านร่องนิ้วออกมา
จิตแห่งกระบี่ดุจน้ำนิ่ง ปณิธานหมัดตระหง่านง้ำ
ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบอย่างประหลาดๆ ได้เช่นกัน
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถนำปณิธานหมัดอันยิ่งใหญ่ไพศาลของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางผสานรวมเข้ากับเวทกระบี่ได้ มีให้พบเห็นไม่บ่อยนักจริงๆ
เผยหมิ่นไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสไล่ตามไปโจมตีต่อ เพราะว่าไม่มีความจำเป็น
จะดีจะชั่วก็ควรจะมอบโอกาสให้คนหนุ่มผู้นี้ได้หยุดพักหายใจหายคอกันบ้าง
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่พื้นฐานดีเยี่ยมคนหนึ่ง เรือนกายแข็งแกร่งผิดสามัญ บวกกับที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งสามารถหวนกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายได้ตามธรรมชาติ แล้วยังชอบสวมชุดอาคมที่ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว เชี่ยวชาญวิชายันต์ ถนัดการใช้เวทคาถาหลากหลายที่ไม่ถึงขั้นไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด แล้วยังเป็นคนหนุ่มที่ไม่ชอบรนหาที่ตาย…มิน่าเล่าถึงกลายมาเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าได้ เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง แต่กลับสามารถรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้
คนทั่วไปมาเจอเข้า ไม่เพียงแต่ฆ่าได้ยาก ยังง่ายที่แผนการทั้งหมดจะพลิกคว่ำไม่เป็นท่าด้วย
ประเด็นสำคัญคือเจ้าเด็กนี่เสียเปรียบไปครั้งหนึ่งแล้วกลับรู้จักจำ
ถึงกับเข้าใจว่าเหตุใดตนถึงหาร่องรอยพบได้ง่ายเช่นนั้น
เป็นเพราะกระบี่ยาวที่หลอมมาจากปลายกระบี่ไท่ป๋ายที่เผยพิรุธของเฉินผิงอัน
ด้านหนึ่งเพราะปณิธานกระบี่ของกระบี่เล่มนี้หนักเกินไป ในฐานะผู้ฝึกกระบี่อาวุโสท่านหนึ่งที่เดินขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุดของวิถีกระบี่ในไพศาล นอกจากนี้เวทกระบี่และไท่ป๋ายกระบี่พกของป๋ายเหย่ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเผยหมิ่น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกห้องทำสมาธิของวัดเทียนกง เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็น่าจะบอกตัวตนของตนให้เฉินผิงอันรู้ก่อนแล้ว
เพื่อไม่ให้ดูเป็นการเอาเปรียบอีกฝ่าย เมื่อครู่ตอนที่เรียกกระบี่บิน ‘กู่ชุ่ย’ ออกมา เผยหมิ่นจึงจงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเซียนเหริน
คนหนุ่มตกกระไดพลอยโจร จึงจงใจแยกกระบี่ยาวและฝักกระบี่ออกจากกัน เลือกจะถือไว้แค่ฝักกระบี่ เงื้อกระบี่ฟันในระยะประชิด สุดท้ายแปรเปลี่ยนอันตรายกลายเป็นโอกาสที่ไม่ถือว่าเป็นโอกาสใดๆ
เผยหมิ่นมองสบตากับคนหนุ่มผู้นั้น
ฝ่ายหลังกระทืบเท้าลงบนพื้นหนึ่งที ภูเขาทั้งลูกปริแตกไปเกินครึ่ง ถูกเท้าเดียวเหยียบจนแบนราบ
——