กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 761.7 ไม่ถูก
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ก็ผ่านมาได้แล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อก่อนสามารถกัดฟันอดทนกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงมากมายมาได้ วันหน้าก็จงสงบใจดื่มด่ำกับโชคดีมหาศาลเถิด”
เหยาเซียนจือพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ข้าต้องกลับไปที่จวนจินหวงสักหน่อย แล้วยังต้องไปยอดเขาเทียนแจว๋ทางทิศเหนือ อาจจะไม่ได้กลับมาที่นครเซิ่นจิ่งแล้ว เพราะต้องรีบกลับไป รอให้ท่านปู่เหยาฟื้นเมื่อไหร่ ข้าจะต้องแวะมาหาอีกรอบแน่นอน ถึงเวลานั้นเมื่อพบหน้ากัน จะดีจะชั่วเจ้าก็ช่วยโกนหนวดโกนเคราสักหน่อย เดิมทีก็เป็นคนรูปโฉมหล่อเหลาดีอยู่หรอก กลับถูกเจ้าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนถูกกำหนดมาให้ต้องกลายเป็นคนโสดขึ้นคานเสียได้”
เหยาเซียนจือยิ้มเอ่ย “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม รูปโฉมก็ไม่ต่างจากอาจารย์เฉินเท่าไรจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “แต่ก็ยังมีความต่างอยู่บ้างกระมัง”
ชุยตงซานพยักหน้า “ต่างมากเหมือนตอนนี้เลยกระมัง”
ยามเช้าตรู่
ชุยตงซานพาอาจารย์ไปเยือนกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ
หลังจากอาจารย์พูดคุยกับเหนียงเนียงเทพวารีตำหนักปี้โหยวเสร็จแล้ว ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเอ่ยลากัน อาจารย์พลันประสานมือคารวะหลิ่วโหรวที่ร่างทองแตกสลายไปเกินครึ่ง พอยืดเอวขึ้นตรงก็ยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งหน้าที่ไปเยี่ยมเยือนตำหนักปี้โหยวจะไม่ลืมพกของขวัญไปด้วยแล้ว”
หลิ่วโหรวตกใจสะดุ้งโหยง รีบคารวะกลับคืน หัวเราะฮ่าๆ พลางโบกมือ จากนั้นก็ขยิบตาให้เฉินผิงอันแรงๆ กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “รู้แล้วๆ เข้าศาลต้องจุดธูปนี่นะ”
ชุยตงซานมีสีหน้าใคร่รู้
เฉินผิงอันเหลือบมองชุยตงซาน อีกฝ่ายรีบพาอาจารย์ออกมาจากนครเซิ่นจิ่งทันที เดินทางไปทางใต้ก่อน พอไปถึงเรือข้ามฟากเรือเมฆา ผลกลับพบว่าพวกเผยเฉียนมารออยู่บนเรือเรียบร้อยแล้ว เผยเฉียนมีสีหน้าปั้นยาก พอเห็นว่าห่านขาวใหญ่ก็อยู่ด้วยจึงอดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก เผยเฉียนเหล่ตามองหัวเราะหึหึ ชุยตงซานรีบหุบยิ้มทันใด พลันเบิกตากว้าง หันขวับไปด่า “พี่โจวเฝยเจ้าไร้คุณธรรมหรือ?!”
ไอ้หมอนี่ก็อยู่บนเรือด้วย มีความเป็นไปได้ว่าจะมาถึงเรือเมฆาก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ พอแน่ใจว่าการถามกระบี่ท่ามกลางค่ำคืนสายฝนไม่ได้ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงแอบติดตามอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตนและอาจารย์อย่างลับๆ ล่อๆ โดยไม่เผยตัว เพียงไม่นานชุยตงซานก็เข้าใจความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ ต้องเป็นเรือเมฆาลำนี้ที่ซุกซ่อนค่ายกลขุนเขาสายน้ำซึ่งลึกลับอำพรางอย่างถึงที่สุดเอาไว้ แน่นอนว่าไม่อาจทำให้เจ้าประมุขสกุลเจียงผู้นี้ข้ามพื้นที่ครึ่งทวีปมาได้โดยตรง แต่ก็ต้องทำให้หลังจากที่เจียงซ่างเจินออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแล้วสามารถเดินทางขึ้นเหนือได้เร็วยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
สิ่งที่มีชื่อเสียงมากยิ่งกว่าหนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหรินของเจียงซ่างเจิน รวมไปถึงเรื่องราวอันทรงเสน่ห์ของเจ้าประมุขสกุลเจียง คาดว่าก็คงเป็นความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดของคนผู้นี้นี่เอง เป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ตอนที่เป็นโอสถทองก็สามารถหนีเอาชีวิตรอดภายใต้เปลือกตาของศัตรูที่ขอบเขตสูงกว่าตนหนึ่งขอบเขตหรือถึงขั้นสองขอบเขต อันที่จริงนี่สามารถอธิบายหลายเรื่องได้แล้ว อีกทั้ง ‘อดีตเจ้าสำนัก’ ของสำนักกุยหยกผู้นี้ ปีนั้นสามารถท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปเพียงลำพังได้อย่างกำเริบเสิบสาน สะสมคุณความชอบในการสู้รบอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวเตร่ไปทางตะวันตกที เดี๋ยวร่อนไปทางตะวันออกที ออกกระบี่ไม่หยุด แต่กลับอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด กระโจมทัพใหญ่หลายแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงขั้นไม่มีแม้แต่การดักฆ่าอย่างเข้าท่าเข้าทีได้เลยสักครั้ง ก็ยิ่งอธิบายให้เห็นว่าการปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ของเจียงซ่างเจินนั้นยากจะตอแยได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว
เป็นขอบเขตเซียนเหรินเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเซียนเหรินของชุยตงซานที่มีน้ำหนักอย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเจียงซ่างเจิน
เจียงซ่างเจินปรากฏตัวตรงระเบียงชมทัศนียภาพของห้องหนึ่งบนเรือจริงๆ เขาฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง พูดอย่างเกียจคร้านว่า “หลังจากพวกเจ้าออกจากวัดเทียนกงมาได้ไม่นานเท่าไร ข้าก็ไปถึงซากปรักสนามรบแห่งนั้นแล้ว น้องชุยคงเดาไม่ถึงสินะ เห็นพวกเจ้าเดินเตร็ดเตร่กลับนครเซิ่นจิ่งอย่างสบายอารมณ์ ข้าก็เหมือนได้กินยาสงบใจไปเม็ดหนึ่ง เลยวิ่งไปจุดธูปในวัด จากนั้นร่วมคัดคัมภีร์พร้อมกับกั๋วกงท่านหนึ่งไปหนึ่งรอบ เจ้าตัวดี ข้าไม่ได้ข่มตาหลับตลอดทั้งคืนเลยนะ”
เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินได้ทยอยเจอกับเฉินผิงอัน ชุยตงซานและเจียงซ่างเจินติดๆ กัน อันที่จริงก็ไม่ง่ายเลย ย่อมไม่มีทางผ่อนคลายไปกว่าหลิวเม่าแน่นอน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คุ้มครองอาจารย์ของข้าให้ดีล่ะ”
เจียงซ่างเจินเอียงหัวน้อยๆ เหล่ตามองเลียนแบบเผยเฉียน พูดบ่นว่า “เอาแต่พูดจาเหลวไหล เริ่มจะไม่ค่อยเหมือนน้องชุยที่ข้ารู้จักแล้ว”
เผยเฉียนมองอดีตเจ้าสำนักเจียงท่านนั้นแล้วกระตุกมุมปาก
ชุยตงซานก้าวหนึ่งก้าวกระโดดข้ามราวรั้ว ร่างพลิกหมุนหนึ่งรอบ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างสะบัดเป็นวงกลมตามลมไปอย่างบ้าคลั่ง ออกเดินทางไกลไปทั้งอย่างนี้
หวนกลับมายังนครเซิ่นจิ่งอีกครั้ง เมื่อจัดการธุระเสร็จก็จะเอาตราประทับหนังสือชิ้นหนึ่งไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ไม่เคยเหยียบย่างไปเยือนมาร้อยปีกว่าแล้ว
ในที่สุดก็ไม่ลืมที่จะปล่อยแม่นางน้อยหน้าตายอย่างซุนชุนหวังออกมา
หลังจากซุนชุนหวังออกมาจากจักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานแล้ว สีหน้าก็ยังคงไร้อารมณ์ดังเดิม นางนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นเริ่มบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่นทันที
เจียงซ่างเจินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ดูท่าแล้วความเคลื่อนไหวไม่ใช่น้อยๆ เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ผู้นั้น เป็นอย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวจากชุยตงซาน ทำเอาเจียงซ่างเจินตกใจยกใหญ่ ประโยคในจดหมายคือ ‘รีบมาที่นครเซิ่นจิ่ง ร่วมกันเล่นงานเผยหมิ่นให้ตาย ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว’ …
เจียงซ่างเจินออกเดินทางทันทีโดยที่ไม่มีความลังเลใดๆ
คิดว่าขอแค่ต่อสู้ครั้งนี้เสร็จ ต่อให้ข้าผู้อาวุโสจะตัดสินใจไม่อยากเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วอะไรแล้ว แต่เจ้าขุนเขาหนุ่มจะกล้าไม่รั้งตัวไว้ได้อย่างไร?
เพียงแต่เจียงซ่างเจินคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมาเสียเที่ยว
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “สูงส่งมาก”
เผยเฉียนถามเบาๆ “อาจารย์พ่อได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ใช่แล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงออกจากจวนจินหวงมาก่อนไม่รอข้าล่ะ?”
เผยเฉียนมองเจียงซ่างเจิน
เจียงซ่างเจินจึงเดินห่างออกไปอย่างรู้กาลเทศะ จากนั้นก็เงี่ยหูตั้งใจฟัง คิดว่าจะแอบฟังเสียงในใจ ล้วนไม่ใช่คนนอก คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะต้องเกรงใจกันไปไย
สัมผัสได้ว่าหญิงสาวจับจ้องแผ่นหลังของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เจียงซ่างเจินก็ได้แต่หันหน้ากลับไปพูดว่า “รับรองว่าไม่แอบฟัง”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พาเผยเฉียนไปที่ห้อง พอเผยเฉียนนั่งลงแล้วก็รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ ท่านเดาดูสิว่าข้าได้เจอกับผู้ฝึกกระบี่คนไหน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยิ้มตอบ “คนที่ปีนั้นมาลอบฆ่าแม่ทัพผู้เฒ่า? ตาเรียว ปากบาง หน้าตาค่อนข้าง…ใจร้าย ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาก็เหมือนกับกระบี่ยาวของคนปกติทั่วไป ค่อนข้างประหลาด แสงกระบี่เป็นสีแดงสด”
เผยเฉียนถอนหายใจ “อาจารย์พ่อ ทำไมท่านถึงไม่ปล่อยให้คนอื่นได้ประหลาดใจสักครั้งเลยนะ ต่อให้แสร้งทำเป็นเดาไม่ออกก็ยังดีนี่นา”
เฉินผิงอันนวดคลึงข้างแก้ม เพียงแต่ว่าไม่นานก็หลุดหัวเราะ “เจ้าสามารถอดทนไม่ยอมออกหมัดได้ ถือว่าทำถูกแล้ว นอกจากนี้อาจารย์พ่อก็อยากจะถามกระบี่กับเขาอย่างจริงจังสักครั้ง ใช่แล้ว ผ่านไปอีกปีสองปี ข้ายังจะมาเยือนใบถงทวีปอีกรอบ ถึงเวลานั้นจะพาเจ้ามาด้วย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
เจียงซ่างเจินที่อยู่ตรงหัวเรือเองก็พยักหน้าเบาๆ ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาก็ให้เลื่อมใสนัก ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าในปีนั้นเลย
เผยเฉียนวางสองแขนไว้บนโต๊ะ เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์พ่อ อันที่จริงที่ไม่ได้ตีกันก็เพราะมีสาเหตุ เป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนเสด็จไปถึงทะเลสาบซงเจิน เจิ้งฝู่จวินของจวนจินหวงได้รับกระบี่บินส่งข่าว ไม่รู้ว่าเหตุใดเจิ้งฝู่จวินถึงไม่พิถีพิถันเรื่องข้อห้ามในวงการขุนนางแล้ว เป็นฝ่ายถามพวกเราว่าอยากไปเป็นแขกที่จวนวารีหรือไม่ เพราะในจดหมายลับเหนียงเนียงเทพวารีท่านนั้นบอกว่านางอยากพบพวกเรามาก”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “อันที่จริงปีนั้นพวกเราเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เจิ้งฝู่จวินกับหลิ่วฝู่จวินไม่จำเป็นต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานถึงเพียงนี้”
เผยเฉียนครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “นั่นสิ ยังคงเป็นพวกเขาสองสามีภรรยาที่เกรงใจกันเกินไป สุราจอกนั้น พวกเราเหลือค้างไว้ก่อนแล้วกัน”
เจียงซ่างเจินที่อยู่ตรงหัวเรือทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่หยุด ขับเรือตามกระแสลม หญ้ายอดกำแพง ใครเป็นคนพูดกันนะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เมื่อข้าผู้ถวายงานลำดับหนึ่งโจวไปถึงภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่ จะเป็นคนแรกที่ไม่ตอบตกลงกับเรื่องนี้ทันที!
จากนั้นอาจารย์และศิษย์สองคนก็พากันเงียบเสียงไป
เผยเฉียนพลันคำรามอย่างเดือดดาล “โจวเฝย?!”
เจียงซ่างเจินเผ่นปรู๊ดมายังระเบียงนอกห้อง เอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นางเผย มีอะไรจะกำชับหรือ?”
เผยเฉียนพลันได้ยินเสียงในใจของอาจารย์พ่อ นางจึงเอ่ยกับเจ้าตะพาบนอกประตูผู้นั้นว่า “ไม่มีอะไรจะกำชับ ก็แค่ว่าพอไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะต้องสนับสนุนเต็มกำลังให้เจ้าได้เป็นผู้ถวายงานลำดับรอง ใครกล้าผิดมโนธรรมคัดค้านเรื่องนี้ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ตอบตกลง”
เจียงซ่างเจินอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เฉินผิงอันหัวเราะพลางเปิดประตู
เจียงซ่างเจินคิดวิธีแก้ไขความผิดพลาดได้เจ็ดแปดข้อในเสี้ยววินาทีแล้ว ดังนั้นจึงเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่น พอนั่งลงแล้วก็ยิ้มถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ พวกเราจะดื่มชาหรือดื่มเหล้ากันดีล่ะ?”
เผยเฉียนกลับลุกขึ้นยืนกะทันหัน กุมหมัดบอกลาเจียงซ่างเจินด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง
หลังจากที่เผยเฉียนปิดประตูห้องลงเบาๆ เจียงซ่างเจินก็หันมาพูดอย่างสะท้อนใจกับเฉินผิงอัน “เจ้าขุนเขา ท่านรับลูกศิษย์ที่ดีมาจริงๆ ทำให้ข้าอยากอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “แค่พอสมควรก็พอแล้ว เผยเฉียนไม่หลงกลมุกนี้หรอก”
เจียงซ่างเจินยังคงพูดพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “แต่จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นเผยเฉียนที่สายตาดีที่สุด อายุน้อยๆ ก็สามารถติดตามท่านออกเดินทางไกลไปเยือนสองทวีป ทนกับความลำบากได้ดี ทั้งยังรู้ความเป็นที่สุด”
ตรงระเบียงนอกห้อง เผยเฉียนกลอกตามองบน พูดไปเรื่อย ปีนั้นที่อยู่ในใบถงทวีปแห่งนี้ ทนความลำบาก? ที่ข้าต้องทนคือมะเหงกที่มากที่สุดต่างหากล่ะ ตั้งแปดสิบกว่าครั้ง…ช่างเถิด จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว
เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าต่าง กลั้นขำ เอ่ยเสียงเบาว่า “โจวเฝย อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้พบกับเทพเซียนผู้เฒ่าลู่แล้ว”
เจียงซ่างเจินยิ้มอย่างรู้ทัน “ขุนเขาไม่แปรเปลี่ยนสายน้ำไหลริน เทพเซียนผู้เฒ่าลู่ได้พบพวกเราสองคนต้องดีใจอย่างมากแน่นอน”
……
ภูเขาลั่วพั่ว
เพราะว่าเมื่อคืนวานฝันดี วันนี้แม่นางน้อยชุดดำจึงอารมณ์ดีอย่างมาก ดังนั้นจึงไปที่ริมลำธาร แกะผมเปียน้อยๆ ออก เก็บเปลือกเมล็ดแตงมาถือเอาไว้ นอนคว่ำอยู่ริมน้ำแล้วจุ่มหัวเข้าไปในลำธาร จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เลียนแบบก้าวเดินของห่านขาวใหญ่ แล้วก็เลียนแบบวิชาหมัดของเผยเฉวียน ดวงหน้าเล็กๆ เคร่งขรึม จากนั้นก็ร้องตะโกนดังๆ หนึ่งที หมุนตัวล่องลอยไปตามก้อนหินทีละก้อน เส้นผมปลิวสะบัดหมุนเป็นวง เปลือกเมล็ดแตงที่อยู่ในมือเอามาแทนกระบี่บินที่ถูกขว้างสวบๆๆ ออกไป
แม่นางน้อยชุดดำวิ่งตะบึงกลับมาบนฝั่ง หยิบคานหาบสีทองอันเล็ก ไม้เท้าเดินป่า เดินอาดๆ ไปเฝ้าประตูใหญ่ที่ตีนเขา
ทุกวันนี้เวลาที่หมี่ลี่น้อยลาดตระเวนภูเขาเพียงลำพัง นอกจากเส้นทางเดิมที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงหลังจากลาดตระเวนแล้วจะไปเฝ้าหน้าประตูใหญ่เพื่อรอคนกลับบ้าน เพื่อที่ว่านางจะได้พบเห็นเป็นคนแรกแล้ว หมี่ลี่น้อยยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือหลังจากที่เฝ้าประตูเสร็จ กลางดึกนางจะชอบชักเท้าวิ่งห้อไปที่ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ จากนั้นก็จะก้าวถอยหลังย้อนกลับไปนอนยังที่พัก แล้วก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งทำแบบนี้มาแค่ไม่กี่วัน แต่ทำมาเกินครึ่งปีแล้ว
ตรงตีนเขาของวันนี้ นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก เฝ้ามองประตูใหญ่ แม่นางน้อยชุดดำมองสีท้องฟ้าที่มืดสนิท หลังจากเอาม้านั่งเล็กไปวางไว้ในตำแหน่งเดิมก็วิ่งไปที่ยอดเขาจี้เซ่อ
รอกระทั่งหมี่ลี่น้อยเดินถอยหลังกลับมาถึงตรงขั้นบันได เฉินหลิงจวินที่นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นก็ถามว่า “หมี่ลี่น้อย นี่เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่?”
แม่นางน้อยพองแก้มป่อง ไม่พูดไม่จา เพียงแค่เดินก้าวถอยหลังไปทีละก้าวเท่านั้น
เฉินหลิงจวินแทะเมล็ดแตง “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ทำบ้าอะไรอยู่ ไหนลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบเม้มปาก จากนั้นก็เดินถอยหลังต่ออีกครั้งพลางพูดตอบเสียงอู้อี้ว่า “ข้าอยากจะให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับอย่างไรล่ะ เจ้าลองคิดดูนะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าลาดตระเวนภูเขา ทุกวันล้วนต้องเดินไปข้างหน้า วันเวลาก็เลยวิ่งไปข้างหน้าวันแล้ววันเล่า ถูกไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเดินถอยหลังทุกวัน เหอะ! ข้าพูดแบบนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร? เจ้าก็คงยังไม่รู้กระมัง ก้าวที่ข้าก้าวเดินยามลาดตระเวนภูเขาทุกวันกว้างแค่ไหน ตอนนี้ฝีเท้ามีมากหรือน้อยแล้ว? ล้วนมีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง”
เฉินหลิงจวินอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มถาม “มีประโยชน์ไหมล่ะ?”
แม่นางน้อยชุดดำยกมือข้างที่ถือไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาเกาหัว “ข้าคนเดียวก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนะ”
เฉินหลิงจวินเก็บเมล็ดแตง เดินมาหยุดอยู่ข้างกายหมี่ลี่น้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าทำเป็นเพื่อนเจ้า?”
แม่นางน้อยโคลงศีรษะ ดีใจอย่างถึงที่สุด ตะโกนเรียก “จิ่งชิง จิ่งชิง จิ่งชิง จิ่งชิง!”
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินหลิงจวินเดินเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อยจนไปถึงที่เรือนไม้ไผ่
หมี่ลี่น้อยเอาไม้เท้าเดินป่าและคานหาบเล็กสีทองวางไว้บนโต๊ะ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ถามเสียงเบาว่า “พรุ่งนี้ยังไปด้วยกันอีกไหม?”
แม่นางน้อยชุดดำเกาหัว หัวเราะหึหึ คงเพราะรู้สึกว่าจิ่งชิงจะไม่มีทางตอบตกลง
เฉินหลิงจวินพยักหน้า “ข้าชอบนอนไม่อยากลุก พรุ่งนี้เจ้าไปเรียกข้าที่หน้าประตูแล้วกัน จำไว้ว่าต้องเรียกหลายๆ ทีหน่อยนะ”
หมี่ลี่น้อยเรียกจิ่งชิงยาวเหยียดเป็นพรวน จากนั้นก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะหิน ขมวดคิ้ว พึมพำว่า “เป็นเพราะเจ้าขุนเขาคนดีรู้สึกว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาบนภูเขาของพวกเราไม่มีประโยชน์อะไร ค่อนข้างจะน่าอายใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่ยินดีจะกลับมาบ้านแล้ว ข้าคิดไปคิดมา เจ้าขุนเขาคนดีล้วนชอบพวกเจ้าทุกคนมากๆ เลยนี่นา จิ่งชิง หากเจ้าเดินเป็นเพื่อนข้าอีกสองสามวัน แล้วยังไม่มีประโยชน์อะไร ข้าก็จะไปทะเลสาบคนใบ้แล้วนะ ไม่แน่ว่าพอข้ากลับบ้าน เจ้าขุนเขาคนดีก็อาจจะกลับบ้านมาด้วยก็ได้ ถูกไหม?”
ลมเย็นๆ ขุมหนึ่งพัดโชยผ่านภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นเสียงอบอุ่นอ่อนโยนก็ดังขึ้นด้านหลังหมี่ลี่น้อย “ข้าว่าไม่ถูกนะ”
——