กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 762.4 ยุทธภพที่แก่แล้ว
ทีแรกสตรีก็ยังรับฟังด้วยสีหน้าสดใส ดวงตาสองข้างฉายประกายเจิดจ้า เซียนกระบี่พูดทุกเรื่องได้ร้อยเรียงต่อเนื่องกัน ทางศาลเทพภูเขาก็จะทำตามนี้แล้วกัน แต่จู่ๆ นางก็หน้าม่อย ร้อนใจจนต้องกระทืบเท้า “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ กลัวก็แต่ว่าบัณฑิตที่มีความสามารถเช่นนี้คงไม่มีทางมาจุดธูปที่ศาลเทพของพวกเราน่ะสิ”
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เจ้ากับเหนียงเนียงเทพภูเขาของพวกเจ้าเคยทำอะไรกันมาก่อน ในใจตัวเองจะไม่รู้เลยหรือ? ก็ไปปล้นสะดมเข้าสิ อำเภอจังหวัดในอาณาเขตล้วนหาเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่เหมาะสมไม่เจอ เทพหญิงของศาลท่องราตรีไปในอาณาเขตของตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลจะตายไป ไปเฝ้ารออยู่ที่จุดพักม้าน้อยใหญ่แล้วคอยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับดักชิงตัวคนกลางทางเข้าสิ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้พวกเจ้าก็ไม่ได้ทำร้ายชีวิตของผู้อื่นแล้ว เห็นชัดๆ กันอยู่ว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่เป็นการส่งมอบโชคชะตาบุ๋นให้กับผู้อื่น เมื่อก่อนยังลงมือได้ราบรื่นขนาดนั้น ชอบมาที่วัดเหมือนมาขานชื่อทำงานในวงการขุนนางอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งล้วนจะต้องได้พบเจอกับพวกเจ้า ทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่าไม่คุ้นชินกับความสามารถประจำตัวของตัวเองแล้วหรือ? ศาลเทพภูเขามีควันธูปบางเบาเช่นนี้ก็โทษคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่บอกเล่าเคล็ดลับบางอย่างกับนางโดยใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างจะละมุนละม่อม ในขณะเดียวกันก็เป็นถ้อยคำที่ไม่ได้ฟังเหมือนรหัสลับของพวกคนชั่วช้าในยุทธภพมากขนาดนั้น
สตรีผู้นั้นรับฟังพลางพยักหน้ารับถี่ๆ เข้าใจแล้วๆ เหมือนสมองที่อุดตันถูกเปิดออกกว้าง ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้มีความรู้ดุจเทพเทวดาจริงๆ นอกจากจะไม่ค่อยรักหยกถนอมบุปผาแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนดีไปหมด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “สองสามประโยคสุดท้ายนี้ รบกวนช่วยนำความไปบอกแก่เทพภูเขาเหวยแทนข้าด้วย ทางลัดในวงการขุนนางของขุนเขาสายน้ำประเภทนี้ มีหนึ่งมีสองได้ แต่ไม่ควรมีสาม เจ้าบอกให้เทพภูเขาเหวยไตร่ตรองดูให้มากก็แล้วกัน หากคิดอยากจะสร้างความผาสุกให้กับพื้นที่หนึ่งจริง อีกทั้งสร้างบุญกุศลทำให้ร่างทองสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ก็ต้องลงแรงตั้งใจกับคำว่า ‘แก่นแท้สะอาดบริสุทธิ์’ ให้มาก การค้าหลายอย่างที่มองดูคล้ายจะขาดทุน ทางฝั่งของศาลเทพภูเขาแห่งนี้ก็ต้องลงมือทำอย่างตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่นตระกูลทั้งหลายในหมู่ชาวบ้านที่ทำความดีสะสมบุญซึ่งไม่มีเงินเหลือแม้แต่น้อย ต่อให้ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางมาจุดธูปที่ศาลแห่งนี้ พวกเจ้าก็ต้องปกป้องพวกเขาให้มากหน่อย ท้องฟ้าบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลง พื้นดินมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ คนมีการปกครอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ความจริงใจของมนุษย์ แล้วจะไม่รู้คำสั่งสอนของอริยะปราชญ์เลยได้อย่างไร”
นางยอบตัวคารวะ พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “คำสั่งสอนที่เข้มแข็งและมีชีวิตชีวาของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ บ่าวจะต้องจดจำให้ขึ้นใจอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหว ช่วยแก้ไขให้นางว่า “คือคำสั่งสอนด้วยความจริงใจ (ภาษาจีนประโยคข้างต้นคือ 墩墩 ตุนตุน แปลว่าเข้มแข็งและมีชีวิตชีวา ภาษาจีนประโยคนี้คือ 谆谆 จุนจุน เขียนคล้ายกัน ออกเสียงใกล้กัน แต่คนละความหมาย) ใช้คำว่า จุนจุน มิใช่ ตุนตุน วันหน้าอ่านตำราให้มาก”
นางพลันหน้าแดงก่ำ อับอายจนแทบอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปใต้ดิน โชคดีที่เซียนกระบี่หนุ่มหยิบงอบขึ้นมาสวมอีกครั้งแล้วพุ่งวาบหายตัวไปเรียบร้อยแล้ว
ในอาณาเขตทางทิศเหนือของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันได้ไปพบกับสองสามีภรรยาซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยน แต่ผู้อาวุโสซ่งกลับออกจากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว ไปยังสถานที่แห่งใด เมื่อไหร่ถึงจะกลับมา ต่างก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด
หลังจากเฉินผิงอันรู้ว่าผู้อาวุโสซ่งยังร่างกายแข็งแรงดีอยู่ แม้จะบอกว่าครั้งนี้ไม่อาจได้พบหน้ากัน ขาดหม้อไฟเคล้าสุราไปหนึ่งมื้อ ทำให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรแล้วลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกโล่งอก เขาจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในศาลเทพภูเขาแล้วเตรียมจะจากไป คิดไม่ถึงว่าซ่งเฟิ่งซานกลับลากตัวเขาให้ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่นั่งลงดื่มเหล้า ผลคือยิ่งดื่มดวงตาของเฉินผิงอันยิ่งเป็นประกายสดใส ซ่งเฟิ่งซานที่จอนผมสองข้างเริ่มเป็นสีดอกเลากลับฟุบหลับบนโต๊ะสิ้นสติไปแล้ว เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หลิ่วเชี่ยนที่เป็นอดีตสายลับต้าหลี เหนียงเนียงเทพวารีในทุกวันนี้ยิ้มให้คำตอบว่า ที่แท้ซ่งเฟิ่งซานก็เคยไปคุยอวดกับท่านปู่ว่า อย่างอื่นเทียบไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความคอแข็ง เฉินผิงอันสองคนก็สู้เขาไม่ได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นขอตัวลา ยิ้มเอ่ยว่า “เหล้ามื้อนี้ก็อย่าไปเล่าให้ผู้อาวุโสซ่งฟังเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้คราวหน้าที่ใหญ่ซ่งหลบเลี่ยงข้า”
หลิ่วเชี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ไม่อย่างนั้นข้าเล่าให้ท่านปู่ฟังว่าพวกท่านสองคนเสมอกันดีไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือเป็นวงกว้าง “ไม่ได้ พี่น้องแท้ๆ นั่งด้วยกันบนโต๊ะเหล้าก็ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
หลิ่วเชี่ยนพลันเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ขอแค่ท่านปู่กลับมา พวกเราจะต้องส่งข่าวไปแจ้งที่ภูเขาลั่วพั่วทันที”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถึงเวลานั้นข้าจะรีบเดินทางมาทันที”
หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเสียงเบา “หลายปีมานี้ท่านปู่ออกจากบ้านไปท่องยุทธภพอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนไม่ได้เอากระบี่ไปด้วย ราวกับว่าแค่ออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น”
เฉินผิงอันรู้สึกกังขาเล็กน้อย
หลิ่วเชี่ยนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้หรอก”
หลิ่วเชี่ยนใช้เสียงในใจกล่าวว่า “ท่านปู่ไม่เคยเชื่อเลยว่า ในช่วงต้นและท้ายของสงครามครานั้น คุณชายเฉินจะหายเข้ากลีบเมฆไปทั้งอย่างนี้ ดังนั้นท่านปู่จึงเป็นกังวลมาตลอดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ้มเอ่ยว่า “รู้แล้วๆ ผู้อาวุโสซ่งจะต้องทั้งเป็นห่วงข้า แล้วก็ต้องด่าข้าไปไม่น้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันประคองงอบ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “รอให้ผู้อาวุโสซ่งกลับมาบ้านเมื่อไหร่ก็ให้บอกเขาไปว่า มือกระบี่เฉินผิงอันคืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
หลิ่วเชี่ยนอึ้งค้างไร้คำพูดตอบโต้
ต่อให้จะเป็นซ่งเฟิ่งซานสามีของนางก็ยังแค่เคยได้ยินชื่อของภูเขาลั่วพั่วและกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ไม่รู้เลยว่า ‘อิ่นกวาน’ หมายถึงอะไร
แต่นางนั้นเป็นเพราะมีชาติกำเนิดจากนักรบพลีชีพของต้าหลี ถึงได้รู้เรื่องนี้ อีกทั้งเพราะสถานะของนางจึงไม่อาจพูดเรื่องนี้ออกมาได้ง่ายๆ
หลิ่วเชี่ยนถาม “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้น…อิ่นกวาน เฉินสืออี?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ก็คือคนที่อยู่อันดับสุดท้ายนั่นแหละ”
หลิ่วเชี่ยนคิดแล้วก็ถามว่า “ข้าจะปลุกเฟิ่งซานให้ตื่น พวกท่านดื่มเหล้าด้วยกันอีกสักสองสามกาดีไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “เหลือค้างไว้แหละดีแล้ว”
สุดท้ายหลิ่วเชี่ยนก็มองคนชุดเขียวที่สะพายกระบี่เดินก้าวยาวๆ จากไป นางถึงขั้นลืมเดินไปส่งเขาด้วยซ้ำ
นางเพียงแค่คิดว่า รอให้ท่านปู่กลับบ้านแล้วรู้เรื่องนี้ คงต้องคุยโวว่าตัวเองตามีแววอีกแล้วกระมัง
หลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงท่านปู่ทั้งเป็นกังวลและทั้งเสียใจ เพราะสำหรับท่านปู่แล้ว ดูเหมือนว่าต่อให้ตัวเองไม่อยู่ในยุทธภพแล้ว แต่ขอแค่คนหนุ่มคนนั้นยังอยู่ในยุทธภพ ยุทธภพก็จะยังคงเป็นยุทธภพแห่งนั้น ยามที่ออกไปท่องอยู่ในยุทธภพก็จะยังเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ ยังคงยึดหลักกฎเกณฑ์เก่าๆ ยังพิถีพิถันในเรื่องเดิมๆ อยู่ในยุทธภพที่เก่าแก่เช่นนี้ก็ทำให้คนแก่ยังคงห่วงพะวงและฝากความหวังไว้ให้แก่คนรุ่นเยาว์ได้เสมอ มีครั้งหนึ่งท่านปู่ลากเฟิ่งซานและนางไปด้วยกัน ท่านปู่กินหม้อไฟไปได้แค่ไม่กี่คำก็ดื่มจนเมาแล้ว บอกว่าขอแค่เจ้าเด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่ ตนก็จะไม่โกรธเคืองอะไรอีกแล้ว ดังนั้นอย่าได้ไม่กล้ามาดื่มเหล้า มากินหม้อไฟอีกเด็ดขาด ถูกตาแก่คนหนึ่งด่าแค่ไม่กี่คำจะนับเป็นอะไรได้
หน้าประตูใหญ่ของศูนย์ฝึกวรยุทธที่อยู่ในแคว้นเล็กห่างไกลแห่งหนึ่ง
คนชุดเขียวเคาะประตูแรงๆ กลางดึก
คนหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าศูนย์วิ่งตาปรืองัวเงียมาเปิดประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มาหาใคร?”
ทุกวันนี้ภาษาทางการของต้าหลี แท้จริงแล้วได้กลายเป็นภาษาทางการของทวีปหนึ่งไปแล้ว
บุรุษสะพายกระบี่ยิ้มกล่าว “มาหาจอมยุทธเคราดกคนหนึ่ง แซ่สวี”
คนหนุ่มผู้นั้นกลอกตามองบน “ที่ศูนย์ไม่มีจอมยุทธเคราดกอะไรทั้งนั้น แต่เจ้าศูนย์ของข้าแซ่สวีจริง นี่เจ้าจะ…มาถามหมัดรึ? หากคิดจะมาประลองฝีมือถึงที่ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ในยุทธภพไม่มีกติกาเช่นนี้ อีกอย่างก็บอกไว้ก่อนนะว่า อาจารย์ปู่เจ้าศูนย์ของข้าล้างมือออกจากวงการไปแล้ว หากจะพูดถึงฝีมือหมัดเท้า เจ้าต้องมาหาอาจารย์ข้า อีกทั้งแนะนำเจ้าว่าอย่าได้วู่วามเด็ดขาด อาจารย์ข้าขึ้นชื่อว่าหมัดหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าเตะข้างที่ยิ่งดุดัน เท้าหนึ่งเตะไป ต่อให้เป็นไม้แข็งๆ หนาเท่าชามข้าวก็ยังถูกเตะหักครึ่งได้! เจ้าอย่าคิดว่าสะพายกระบี่แล้วจะร้ายกาจ…ใช่แล้ว กระบี่เล่มนี้ทำมาจากวัสดุอะไรล่ะ หลอมจากเหล็กกล้าหรือ? ซื้อมากี่ตำลึง? ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
บุรุษส่ายหน้า “ข้ามาหาพี่ใหญ่สวีเพื่อดื่มเหล้า”
คนหนุ่มโมโหไม่เบา “ทั้งเคราดก ทั้งพี่ใหญ่สวี สรุปว่าเจ้ามาหาใครกันแน่?”
โชคดีที่อาจารย์ปู่เจ้าศูนย์บ้านตนเป็นคนที่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อน คนหลายสิบคนในศูนย์จึงได้รับการกล่อมเกลาไปด้วย ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสคงไม่รู้แล้วว่า ‘เคราดก’ นั่นหมายถึงอะไร
คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “มาหาสวีหย่วนเสีย”
ผู้ฝึกยุทธหนุ่มขวางอยู่หน้าประตู “เจ้าเป็นใครกัน ข้าบอกแล้วว่าอาจารย์ปู่ของข้าล้างมือออกจากวงการ ถอยออกจากยุทธภพไปแล้ว!”
ช่วยไม่ได้ เคยได้ยินอาจารย์พูดให้ฟังเป็นการส่วนตัว ปีนั้นตอนที่อาจารย์ปู่ของตนเพิ่งจะก่อตั้งศูนย์ฝึกยุทธขึ้นมา ยามที่ถามหมัดประลองฝีมือกับผู้อื่นก็ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง ดังนั้นในอดีตสิ่งเดียวที่ช่วงชิงมาได้ก็คือฉายาในยุทธภพที่บอกว่า ‘จอมยุทธใหญ่สวีที่เจอหมัดล้วนต้องพ่ายแพ้’ โชคดีที่อาจารย์และอาจารย์ลุงอาจารย์อาทั้งหลายต่างก็มีหมัดเท้าค่อนข้างแข็ง ใช้คำกล่าวของคนบนเส้นทางเดียวกันในยุทธภพก็คือหมัดเท้าไม่เฉียบคม แต่รับการต่อยตีกลับมีความสามารถอย่างยิ่ง ดังนั้นจะดีจะชั่วชื่อเสียงของศูนย์ฝึกยุทธจึงเลื่องลือขึ้นมาได้บ้าง หลายปีมานี้กิจการของศูนย์ฝึกยุทธเองก็ไม่เลว ทว่าหมัดและเท้าของอาจารย์ปู่ไม่ได้เรื่อง การรับลูกศิษย์ก็ธรรมดา มีเพียงความสามารถด้านการคุยโวเท่านั้นที่เป็นอันดับหนึ่ง บอกว่าในช่วงอายุที่เขาอยู่ในวัยรุ่งโรจน์และยังหล่อเหลาสง่างามมากๆ นั้น ได้พบเจอสหายสองคนในยุทธภพโดยบังเอิญ นั่นต่างหากที่ถือว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาหมัดที่แท้จริงไปจากเขา คนหนึ่งหมัดเร็ว คนหนึ่งหมัดช้า หากเอามาไว้ในยุทธภพของพวกเราก็สามารถต่อยตีจากตีนเขาไปถึงบนยอดเขา ต่อให้เป็นพวกเทพเซียนบนภูเขาที่บินไปบินมาทั้งหลายก็ยังไม่อาจขัดขวางได้ ถึงอย่างไรก็เป็นอาจารย์ เป็นอาจารย์ปู่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของศูนย์ที่ดูแลกระเป๋าเงินอีกด้วย ท่านผู้เฒ่าพูดอะไรพวกเขาก็ต้องฟังไปตามนั้น ยังจะทำอย่างไรได้อีก
อากาศกลางดึกเหมือนอากาศหนาวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะอายุมากแล้ว ผู้เฒ่าหลังค่อม เส้นผมขาวโพลนเต็มศีรษะคนหนึ่งจึงหลับไม่ค่อยสนิทนัก ผู้เฒ่าจึงสวมเสื้อตัวหนาชิ้นหนึ่งมายืนอยู่ตรงลานประลองยุทธ เหม่อมองมาทางประตูใหญ่ หลังจากผู้เฒ่าเบิกตากว้างขึ้นแล้วก็ได้แต่พึมพำว่า “เฉินผิงอัน?”
เฉินผิงอันยกมือขึ้น เขย่งปลายเท้า โบกมืออย่างแรง ร่างเปล่งวูบทีเดียวก็ข้ามธรณีประตูของประตูด้านข้างเข้ามา ทิ้งผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่พอตาพร่าลายก็มองไม่เห็นเงาคนแล้วไว้คนเดียว
เฉินผิงอันเดินเร็วๆ เข้าไปหาสวีหย่วนเสีย
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังเดินเข้าหามือกระบี่หนุ่ม หมุนตัวกลับเอาแขนรัดคอเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะมาเอาป่านนี้?!”
เฉินผิงอันถูกลากจนตัวเอียงไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นนึกอยากจะตบหลังของผู้เฒ่าเบาๆ เพียงแต่ลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็แค่วางมือไว้บนไหล่ของจอมยุทธเคราดกในอดีตเท่านั้น
นอกประตูศูนย์ฝึกยุทธ
เผยเฉียน เจียงซ่างเจิน บวกกับป๋ายเสวียนที่ทำหน้าหนาติดตามมา คนทั้งสามต่างก็แอบตามมาด้วย แค่ไม่ได้เข้าไปในเรือน
ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เฝ้าประตูเห็นบุรุษวัยกลางคนนอกประตูรูปโฉมคล้ายคนมีเงินอย่างมากก็ไม่กล้าโวยวายอีก พอมองไปยังหญิงสาวงดงามที่มัดผมเป็นมวยกลมกลางศีรษะก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไร
ป๋ายเสวียนถามเสียงเบา “พี่หญิงเผย เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน กล้าไม่เกรงใจอาจารย์เฉาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาจารย์เฉาเองก็ไม่โกรธด้วย กลับกันยังทำท่าทางขี้ขลาด ไม่เหมือนกับอาจารย์เฉาเลยแม้แต่น้อย”
เผยเฉียนแอ่ยตอบเบาๆ เช่นเดียวกัน “เป็นสหายในยุทธภพคนหนึ่งที่อาจารย์พ่อของข้าให้ความเคารพนับถืออย่างมาก”
ป๋ายเสวียนถามอย่างกังขา “คนที่ขนาดอาจารย์เฉาก็ยังให้ความเคารพนับถือย่างมากหรือ? ถ้าอย่างนั้นวิชาหมัดเท้าของเขาจะไม่สูงเกินแผ่นฟ้าไปเลยหรือไร แต่ข้ามองดูแล้วศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่เท่าไรนี่นา”
เผยเฉียนเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เจียงซ่างเจินกลับเอนตัวพิงประตู สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีถามว่า “น้องชายผู้นี้ เจ้ามีศิษย์พี่หญิงหรือศิษย์น้องหญิงบ้างหรือไม่?”
คนหนุ่มถอนหายใจ ส่ายหน้า คงเพราะนึกถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจขึ้นมา จึงไม่ทันระวังหลุดพูดความจริงว่า “อาจารย์ข้าพอดื่มเหล้าเมาก็ชอบคลุ้มคลั่ง ขอแค่เจอกับสตรีก็จะต้องร้องไห้ น่าขนลุกขนพองนัก ดังนั้นศิษย์พี่หญิงสองคนในอดีตจึงตกใจกลัวจนหนีไปแล้ว ท่านผู้เฒ่าอาจารย์ปู่ก็จนปัญญา”
เจียงซ่างเจินพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของเจ้าก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับข้าน่ะสิ”
คนหนุ่มถามอย่างสงสัย “ต่างก็ชอบดื่มเหล้าแล้วคลุ้มคลั่งหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “เจ้านี่ก็ช่างคุยเก่งนักนะ”
หางตาของคนหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวนอกประตูแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงดังว่า “ข้าเคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อน”
ป๋ายเสวียนกระซิบเบาๆ “พี่หญิงเผย ไอ้หมอนี่คิดอะไรกับท่านแล้วล่ะ เจ้าตัวดี สายตามีแววใช้ได้เลย”
เผยเฉียนก้มหน้าลง ยิ้มบางๆ “ป๋ายเสวียน ทำไมเจ้าถึงยังไม่ฝึกหมัดเสียทีล่ะ?”
ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง โคลงศีรษะเอ่ยว่า “ไม่รีบร้อนหรอก ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ อาจารย์เฉาเองก็บอกแล้วว่า หากข้าเรียนวิชาหมัด อย่างมากสุดสองสามปีก็สามารถประลองฝีมือกับพี่หญิงเผยได้แล้ว ยังบอกอีกว่าเมื่อก่อนก็มีคนแซ่ป๋ายคนหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน ยามอยู่กับพี่หญิงเผยแล้วมีมาดวีรบุรุษผู้องอาจอย่างมาก อาจารย์เฉาจึงบอกข้าว่าอย่าให้มีแซ่ดีๆ อย่างเสียเปล่า จะต้องพยายามให้มากๆ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เจ้าเหมือนกับป๋ายโส่วผู้นั้นอยู่มากจริงๆ”
ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “เขาต้องเหมือนข้าสิถึงจะถูก”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไรหรอก”
ป๋ายเสวียนรู้สึกว่าในคำพูดของเผยเฉียนยังแฝงคำพูดไว้อีกที
เจียงซ่างเจินเหลือบตามองป๋ายเสวียน อายุน้อยๆ แต่กลับสมเป็นลูกผู้ชายจริงๆ
ในศูนย์ฝึกยุทธ บนโต๊ะเหล้า
ชั่วชีวิตนี้ที่ได้ดื่มเหล้ามา นอกจากครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัวแล้ว เฉินผิงอันที่แทบจะไม่เคยเมามาย คืนนี้กลับดื่มจนเมาหัวราน้ำ ดื่มจนผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนึกว่าตัวเองต่างหากถึงจะเป็นคนที่อายุน้อย คนที่คอไม่แข็ง สวีหย่วนเสียถึงกับนึกไปว่ายังคงเป็นดั่งเมื่อหลายปีก่อนที่ตัวเองยังคงเป็นมือดาบเคราดกผู้องอาจผึ่งผาย ส่วนเจ้าผีขี้เหล้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม
——