กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 764.1 บนยอดเขาจี้เซ่อ
ซ่งจี๋ซินยืนอยู่พักหนึ่งก็หมุนตัวจากไปเงียบๆ ก็เหมือนอย่างที่เขาบอก คนวัยเดียวกันสองคนที่เป็นเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงกันมานานหลายปี อันที่จริงไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก ตั้งแต่เด็กมาต่างก็ไม่ชอบขี้หน้ากัน ไม่เคยเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันมาก่อน เพียงแต่คนทั้งสองคงคาดไม่ถึงว่า ในอดีตที่เคยมีเพียงแค่กำแพงบ้านด้านหนึ่งกั้นขวาง คนหนึ่งคือ ‘บุตรนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการ’ ที่ท่องตำราเสียงดัง กับอีกคนที่เป็นลูกจ้างเตาเผามังกรที่เงี่ยหูแอบฟังเสียงท่องหนังสือ ก่อนหน้านั้นนานมาแล้วคนหนึ่งเป็นคุณชายที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ ข้างกายมีสาวใช้คอยปรนนิบัติทำงานบ้าน กับอีกคนหนึ่งที่เป็นเด็กขาเปื้อนโคลนสวมรองเท้าแตะที่มักจะต้องท้องหิวบ่อยๆ และบางครั้งก็ยังช่วยหิ้วถังน้ำให้ มาวันนี้คนหนึ่งจะกลายมาเป็นอ๋องเจ้าเมืองผู้กุมอำนาจในราชวงศ์ใหญ่อันดับสองของไพศาล ส่วนอีกคนหนึ่งก็กลายไปเป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ซ่งจี๋ซินอดแหงนหน้ามองสีท้องฟ้าอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าแสงแดดและแสงจันทร์ที่ปีนั้นเคยสาดส่องลงมาในตรอกหนีผิงจะรู้สึกว่าการมาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่งเป็นการมาอย่างไม่เสียเที่ยวหรือไม่?
ซ่งจี๋ซินก้าวเดินอย่างเนิบช้า จากลากับเฉินผิงอันโดยไม่ได้บอกกล่าว เดิมทีก็เหมือนต้นหญ้าที่เติบโตอยู่ในคันนาที่คนซึ่งผ่านทางมาจะไม่มีทางหันมามองมากนัก แต่เพราะเคยเป็นเพื่อนบ้านกัน เคยคบค้าสมาคมกันมาประมาณสิบปี ช่วงเวลาในวัยเด็ก วันเวลาในวัยเยาว์ ล้วนมอบให้กับบ้านหลังนั้น มอบให้กับตรอกเล็กคับแคบตรอกนั้น ซ่งจี๋ซินทนมองพวกมันด้วยความรำคาญเต็มทน จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้ คำกล่าวที่ว่า ‘ยามสนต้นเล็กเติบโตอยู่ท่ามกลางกลุ่มหญ้ารกชัฏ ถูกกลบทับมองไม่เห็น มาวันนี้ถึงพบว่าสนสูงตระหง่านกว่าต้นหญ้ามากมายแล้ว’ ก็ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
แต่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเล่า
คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นจากการไหว้คารวะ จะเอ่ยเรียกซ่งจี๋ซินเอาไว้ ซ่งจี๋ซินหันหน้ากลับมาถาม “มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขา “ทางฝั่งของศาลลำน้ำใหญ่แห่งนี้ มีห้องพักสำหรับให้พวกคนที่มาทำบุญเข้าพักบ้างหรือไม่ หากมี เจ้าช่วยหาให้ข้าสักห้อง”
ตนเดินทางมาอย่างรวดเร็ว เรือเมฆาลำนั้นของเจียงซ่างเจิน เร็วที่สุดก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงถึงจะมาถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีอย่างท่าเรือชุนเฟิง (ลมวสันต์)
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “เห็นแก่ตำราใหม่เอี่ยมบางเล่มของจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่า ข้าจะช่วยเปิดปากพูดเรื่องนี้ก็ให้เจ้าแล้วกัน”
บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าเคยมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแปลกประหลาดอยู่กลุ่มหนึ่ง สร้างเรื่องไม่คาดฝันและการบาดเจ็บล้มตายได้มาก เลขาธิการฝ่ายบุ๋นของจวนอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีพลิกเปิดบันทึกลับจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าหลีแล้วก็ยังไม่อาจพบรากฐานของอีกฝ่าย สุดท้ายได้อาศัยตำราเล่มหนึ่งที่ไม่ได้ระบุที่มา ตรวจสอบจนพบเจอสถานะ ‘ฝันร้าย’ และ ‘คนขโมยใบหน้า’ อย่างรวดเร็ว ถึงสามารถพลิกสถานการณ์การสู้รบกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกตนของต้าหลีจะต้องได้รับความเสียหายในสงครามกันอย่างมหาศาล ภายหลังเมื่อซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองออกคำสั่ง วันนั้นทางนครมังกรเฒ่าก็ได้จัดพิมพ์ตำราเล่มนั้นออกมาหลายพันเล่มทันที แล้วทำการแจกจ่ายไปทั่ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เข้าร่วมการศึกในนครมังกรเฒ่าแทบจะมีอยู่ในมือกันทุกคน
ภายหลังต่อมา อาศัยตำราที่บันทึกเกี่ยวกับผู้ฝึกตนนอกรีตของเผ่าปีศาจร้อยกว่าชนิดนี้ไว้อย่างละเอียด แต่ละทวีปต่างก็เจอตัวเผ่าปีศาจเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาและหมู่ชาวบ้านได้ไม่น้อย ตำราเล่มหนึ่งที่ไร้ชื่อ ถูกผู้ฝึกตนรุ่นหลังเรียกขานว่า ‘บันทึกค้นภูเขา’ เมื่อเทียบกับ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่มีมาก่อนหน้านั้น แน่นอนว่ายังไม่อาจทัดเทียมได้ แต่ก็สามารถช่วยชดเชยเสริมช่องโหว่ให้กับฝ่ายหลังได้
เฉินผิงอันได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าคือบันทึกอะไร
ซ่งจี๋ซินมองอดีตเพื่อนบ้านที่สีหน้าไร้อารมณ์ผู้นี้ คงเป็นเพราะหน้าตาท่าทางเช่นนี้เหมือนกับตอนเป็นเด็กเกินไป เขาจึงอดมีโทสะไม่ได้ นิสัยปากเสียตามความเคยชินจึงบังเกิดขึ้นมา เลยจุ๊ปากยิ้มพูด “ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่คุยกับเจ้า เจ้าล้วนต้องทำหน้าอัมพาตไร้อารมณ์แบบนี้เสมอ คนหน้าตาย น้ำเต้าตัน กระบองฟาดไปกี่ทีก็ปล่อยผายลมออกมาไม่ได้…”
คงเพราะสัมผัสได้ว่าความอดทนของอีกฝ่ายมาถึงขีดจำกัดแล้ว ซ่งจี๋ซินจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ รอยยิ้มก็มีความจริงใจเพิ่มอีกหลายส่วน “แต่ก็ถือว่าเจ้าโชคไม่เลวเลยจริงๆ ตามคำกล่าวของพวกคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในตรอกใกล้เคียงทั้งหลาย นิสัยเหมือนพ่อเจ้า หน้าตาเหมือนแม่เจ้า อีกอย่าง เรื่องของเทพภูเขาซ่งบนภูเขาลั่วพั่ว ก่อนที่ศาลเทพภูเขาจะย้ายไป เว่ยซ่านจวินก็ไม่เคยสร้างความลำบากใจใดๆ ให้แก่เขา สุดท้ายยังยกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลอย่างภูเขาฉีตุนให้เทพภูเขาซ่งได้สร้างศาลเทพขึ้นมาใหม่ด้วย ถือเสียว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าครั้งหนึ่งแล้วกัน ส่วนเฉินผิงอันจะยอมรับหรือไม่ วันหน้าจะขอทวงคืนหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องของเจ้า ถึงอย่างไรซ่งมู่ก็ได้รับความกรุณาแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “หากรู้จักวางตัวเป็นคนแบบนี้แต่แรก ครั้งนั้นก็คงไม่ต้องโดนซ้อมแล้ว”
ซ่งจี๋ซินยื่นมือมาลูบลำคอตามจิตใต้สำนึก “อย่าพูดให้ฟังดูง่ายแบบนั้นสิ ข้าเกือบจะถูกเจ้าบีบคอตายเชียวนะ เรื่องนั้นเป็นข้าที่ไร้คุณธรรมจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ขอโทษเจ้าแล้วกัน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด ตกลงกันแล้วนะว่าบัญชีเก่าครั้งนี้ พวกเราสองคนหายกันแล้ว”
ซ่งจี๋ซินเคยแต่งคำพูดส่งเดชเรื่องฮวงจุ้ย หลอกให้เฉินผิงอันไปเป็นลูกจ้างในเตาเผามังกรเพื่อหาเลี้ยงชีพ ทำให้เฉินผิงอันต้องผิดคำสาบาน พอเฉินผิงอันรู้ความจริงก็เกือบจะบีบคอซ่งจี๋ซินตายอยู่ในตรอกหนีผิง เด็กหนุ่มตัวดำเกรียม หุ่นก้านก็ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ ทว่าเรี่ยวแรงกลับมากจนน่าตกใจ ซ่งจี๋ซินที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์ได้ไปเดินวนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่ง นับจากนั้นมาอันที่จริงเขาหายใจไม่สะดวกมาตั้งหลายปี เพียงแต่ว่าพอลองมองย้อนกลับไปดู ต่อให้ปีนั้นเฉินผิงอันตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะฆ่าเขา ตายนั้นไม่มีทางตายแน่ เพราะอันที่จริงมีนักรบพลีชีพสายลับของต้าหลีที่รับผิดชอบจับตามองตรอกหนีผิงได้แอบมองภาพเหตุการณ์นั้นอยู่อย่างลับๆ ก่อนที่ลมและน้ำกองกำลังแคว้นของต้าหลีจะลุกผงาดขึ้นมา ก่อนที่ซ่งจ่างจิ้งเสด็จอาจะพาเขาไปจุดธูปคารวะที่สะพานแบบคานนั้น ซ่งจี๋ซินในอดีตที่เปลี่ยนชื่อจาก ‘ซ่งเหอ’ ในทำเนียบของฝ่ายกิจการเชื้อพระวงศ์มาเป็น ‘ซ่งมู่’ ก่อน จากนั้นค่อยถูกลบชื่อทิ้งไปนั้น ไม่มีทางตายได้อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “เดิมทีข้าก็ไม่ได้มีความแค้นร้ายแรงอะไรกับเจ้าอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายหายกันย่อมดีที่สุด”
ซ่งจี๋ซินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับต้าหลีล่ะจะคิดบัญชีอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อมีเทพมองอยู่ ทุกก้าวใต้ฝ่าเท้าล้วนอยู่บนหลักเหตุผล”
ซ่งจี๋ซินยิ้มรับ พาเฉินผิงอันไปหาคนเฝ้าศาล บอกว่าสหายบนภูเขาข้างกายตนคนนี้อยากจะขอค้างคืนในศาลหนึ่งคืน แน่นอนว่าคนเฝ้าศาลย่อมไม่กล้าพูดคำว่าไม่กับอ๋องเจ้าเมือง ห้องพักสำหรับผู้มีจิตศรัทธาในศาลจะมีคนเข้าพักเต็มแค่ไหน หากคิดหาวิธีก็ยังสามารถหาห้องมาให้ได้
คนเฝ้าศาลลำน้ำใหญ่ในทุกวันนี้คือผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่ในอดีตเคยไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยา อายุมากเป็นร้อยปีแล้ว แต่กระนั้นกลับยังดูแข็งแรงเปี่ยมกำลังวังชา เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ถือว่าเป็นปัญญาชนกลุ่มแรกสุดที่ไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาซานหยา ผู้เฒ่าไม่ใช่คนของต้าหลี ดังนั้นปีนั้นที่เป็นฝ่ายไปขอศึกษาต่อที่ต้าหลีจึงดูโดดเดี่ยวมากเป็นพิเศษ ในช่วงเวลานั้นต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือยังคงเป็นดินแดนป่าเถื่อนที่คนทั้งทวีปรู้กัน และปัญญาชนผู้รอบรู้ของราชวงศ์ต้าหลีเองก็ขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้สึกเป็นเกียรติกับการที่สามารถร่วมขับขานบทกวีกับบัณฑิตจากราชวงศ์สกุลหลูและต้าสุย ส่งจดหมายไปให้เยอะมาก แต่จดหมายที่ตอบกลับมามีน้อยมาก ต่อให้บ้านของตัวเองจะมีชุยฉานซิ่วหู่ มีฉีจิ้งชุนที่เป็นเจ้าขุนเขา แต่ก็ยังคงไม่ยินดีจะสนใจคนทั้งสองในเรื่องของบทความ วงการนักประพันธ์ในเวลานั้นยังมีคำกล่าวมากมายที่ได้รับคำชมอย่างแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่นทัศนียภาพยามอาทิตย์อัสดงของขุนเขาสายน้ำสกุลหลู เป็นเอกเลิศล้ำแห่งทิศเหนือของหนึ่งทวีป ดวงจันทร์ครึ่งดวงของต้าสุย เหนือกว่าจันทร์เต็มดวงของต้าหลี…
โชคดีที่เสียงกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีดังกังวาน คำกล่าวที่สุภาพมีมารยาทเหล่านี้ เมื่อเจอกับลมทะเลทรายด่านชายแดนที่พัดดัง เจอกับกีบเท้าม้าที่เหยียบย่ำ ลมพัดซ้ำอีกทีก็จางหายไปแล้ว
พอได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากทางศาล ซ่งจี๋ซินก็หันกลับมาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่สนใจเจ้าแล้วนะ? หากมีเรื่องอีกจริงๆ ก็พูดมาตอนนี้เลย หลังจากนี้คิดอยากจะไปหาคนที่จวนอ๋องเจ้าเมืองของเมืองหลวงสำรองก็ต้องทำตามกฎบนภูเขาแล้ว เป็นอย่างไร ยังมีเรื่องจะคุยอีกไหม?”
เฉินผิงอันประสานมือขอบคุณคนเฝ้าศาลก่อน ครั้นจึงหันมายิ้มให้ซ่งจี๋ซิน “เห็นแก่ที่เจ้าพูดคุยเรื่องของตรอกหนีผิงมาไม่น้อย ข้าก็ไม่มีอะไรให้คุยกับเจ้าแล้วจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินเองก็ไม่ถือสาว่ามีคนนอกอยู่ด้วยแล้วตัวเองจะเสียหน้าหรือไม่ เขาเอ่ยสัพยอกกับเฉินผิงอันว่า “งานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้ง ทำให้กระเป๋าเงินส่วนตัวของข้าสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ดังนั้นในงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ของเจ้าในอนาคต ข้าคงไม่ไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนมาหรือไม่มา ไม่เป็นไร แต่ของขวัญของจวนอ๋องเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวงสำรอง จะไม่ไปถึงไม่ได้”
ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ก็ยังคงเป็นคนเห็นแก่เงินอยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันกล่าว “คำพูดประเภทนี้ เจ้าที่เหรียญในกระเป๋าเงินส่งเสียงดังมาตั้งแต่เด็กจะมาว่าข้าไม่ได้หรอก”
คนเฝ้าศาลตกตะลึงอย่างหนัก ไม่รู้จริงๆ ว่ามือกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วไม่คุ้นหน้าผู้นี้เป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ถึงได้โชคดีสนิทสนมคุ้นเคยกับซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองถึงเพียงนี้ ฟังดูแล้วคำพูดไร้ความเกรงใจกันอย่างมาก หรือว่าจะเป็น ‘คนบ้านเดียวกัน’ บางคนที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจู? ยกตัวอย่างเช่นหลินโส่วอีคนเฝ้าศาลคนก่อนก็มีมิตรภาพส่วนตัวจากการที่เคยเป็นสหายร่วมห้องเรียนกับอ๋องเจ้าเมือง ไม่ว่าจะพูดคุยอะไรกันก็ไม่ต้องใช้ภาษาของขุนนางมากเกินไปนัก เพียงแต่ว่าต่อให้คนเฝ้าศาลหลินจะพูดจาไร้ความยำเกรงเพียงใดก็ยังไม่ได้พูดจาตามแต่ใจอย่างบุรุษตรงหน้าผู้นี้
จำนวนครั้งที่ซ่งมู่มาจุดธูปที่ศาลลำน้ำใหญ่มีน้อยจนนับนิ้วได้ สามปียังไม่ถึงหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่มาล้วนชอบแต่งกายธรรมดา ไม่ชอบวางมาดโอ้อวด อ๋องเจ้าเมืองที่ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปอยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่น วันนี้กลับเป็นฝ่ายมาขอห้องพักแห่งหนึ่งให้คนอื่นด้วยตัวเอง นี่ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สถานการณ์ของราชสำนักต้าหลีในทุกวันนี้ค่อนข้างจะลุ่มลึก การกระทำหลายอย่างของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนได้ใจคนอย่างมาก ถูกราชสำนักของแคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งที่ยุ่งอยู่กับการรวบรวมตำราประวัติศาสตร์ของทางการพากันขนานนามให้เป็นฮ่องเต้ที่พันปีจะพานพบสักครั้ง แต่อันที่จริงไม่ว่าใครก็ล้วนรู้ดีว่าซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่ตัวอยู่บนแนวรบเส้นแรกบนสนามรบตลอดเวลา กลับมีความสัมพันธ์ควันธูปกับเซียนซือบนภูเขามากกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างซ่งมู่และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่ดียิ่งกว่า
อีกทั้งยังมีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งบอกว่าฮ่องเต้ซ่งเหอเป็นลูกศิษย์ของราชครูชุยฉาน แต่อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่กลับเป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน ทว่านิสัยการกระทำของพี่น้องแท้ๆ คู่นี้ ดูเหมือนว่าจะตรงข้ามกับอาจารย์ของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ฮ่องเต้ซ่งเหอทำให้ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่มีความเฉียบขาดในเรื่องของศึกสงคราม ตลอดหลายปีที่นั่งเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวงแห่งที่สองนี้ก็ยังคงปกครองด้วยวิธีการที่เข้มแข็งทรงพลัง กระทำการรวดเร็วฉับไว มีครั้งหนึ่งจิ้นชิงซานจวินของขุนเขากลางละเมิดกฎ เพียงแค่คำตำหนิคำเดียวที่ออกไปจากจวนอ๋องเจ้าเมืองก็ทำให้ซานจวินใหญ่ท่านหนึ่งถึงกับต้องมาขออภัยโทษที่ศาลด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้มีคำกล่าวที่ว่า ‘ภูเขาก้มหัวให้น้ำ’ เกิดขึ้น
คนเฝ้าศาลไม่กล้ารั้งรออยู่นาน บอกที่ตั้งของห้องพัก มอบกุญแจให้หนึ่งดอกแล้วก็จากไป
ซ่งจี๋ซินกล่าว “ไปล่ะ”
แล้วก็ไม่คาดหวังให้เฉินผิงอันไปส่งตัวเอง
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ข้าจะไปส่งเจ้าที่หน้าประตู”
ซ่งจี๋ซินทำสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนคนที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน “ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เห็นแก่ที่เจ้าไม่ทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง”
ซ่งจี๋ซินเหลือกตามองบน “อย่า ติดไว้ก่อนก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันกลับเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ส่ง ต่อให้เจ้าขอร้องก็ไม่ได้มา จะไปส่ง เจ้าคิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่”
ซ่งจี๋ซินสะบัดชายแขนเสื้อ สุดท้ายสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มมองเจ้าคนผู้นี้ “ดุดันขนาดนี้เชียว นี่ไม่เหมือนเจ้าเท่าไรเลยนะ”
เฉินผิงอันเอามืออ้อมไปด้านหลัง ปลดกระบี่ยาวที่สะพายไว้ลงมา
ทำเอาซ่งจี๋ซินตกใจสะดุ้งโหยง ถึงกับสบถด่าโดยตรง “มารดาเถอะ นี่เจ้าจะทำบ้าอะไร? เฉินผิงอัน จะสู้กันก็อย่ารังแกคนอื่นสิ”
เฉินผิงอันเหลือบตามองอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ถือกระบี่ไว้ในมือ แล้วเอาไปห้อยไว้ข้างเอว เพียงแต่ว่าลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ห้อยกระบี่ไว้ฝั่งซ้าย แต่สับเปลี่ยนตำแหน่งย้ายมาอยู่ฝั่งขวา
การกระทำที่มองดูเหมือนเกินความจำเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ซ่งจี๋ซินมองจนหนังตากระตุก มารดามันเถอะ เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้คือคนถนัดซ้ายที่ยากจะสังเกตได้! ปีนั้นมีอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันใช้สองมือขึ้นรูปเครื่องปั้นอยู่หน้าประตู แม้แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังลืมเรื่องนี้ไป
เฉินผิงอันกล่าว “หม่าขู่เสวียนยังอยู่ที่ริมน้ำของลำน้ำใหญ่ ข้าจะไปหาเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ซ่งจี๋ซินรีบคีบยันต์ส่งข่าวกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อทันที หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าสองคนก็คุยเรื่องในวันวานกันให้ดีๆ ล่ะ วางใจเถอะ มีข้าอยู่ ทางฝั่งของเมืองหลวงแห่งที่สองนี้ จะไม่มีใครเข้าไปสอดยามที่พวกเจ้าสองคนประลองฝีมือกันแน่นอน”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าตื่นเต้น ก็แค่ทักทายกันเท่านั้น ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือตีกันหรอก เจ้าไม่ต้องจงใจเอ่ยเตือนเซียนเหรินลัทธิเต๋าที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองคนนั้น”
ซ่งจี๋ซินขมวดคิ้ว “กำลังมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ คำพูดของพวกเราก็ล้วนได้ยินหมดแล้ว?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มองอยู่จริง แต่ไม่ได้ฟัง หน้าตาของอ๋องเจ้าเมืองใหญ่มากนี่นะ”
ซ่งจี๋ซินกลับมายิ้มได้ดังเดิม เก็บยันต์แผ่นนั้นกลับมา
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป
เฉินผิงอันกล่าวว่า “เจ้ากลับเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ชอบพลิกหน้าไม่จำคน”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เฉินผิงอัน แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ วันนี้เจ้าพูดจาแปลกประหลาดเป็นกระบุงโกย ข้าก็ต้องอดทนอยู่ตลอด”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้ามาเกือบสิบปี ยังไม่รู้สึกเลยว่าต้องอดทน แต่สุดท้ายนี้จะพูดความจริงที่ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร เจ้ามันก็เก่งแต่ในโปงผ้าห่ม ความสามารถในการทะเลาะก็ได้แต่เอามาโอ้อวดบารมีอยู่กับข้าเท่านั้นแหละ ไม่อาจเทียบชั้นกับพวกยอดฝีมือทั้งหลายได้เลย”
ซ่งจี๋ซินไม่โมโหแม้แต่น้อย กลับกันยังหัวเราะฮ่าๆ ไม่ทันระวังเสียงจึงดังไปหน่อย ผลคือถูกเฉินผิงอันถองเข้าให้ เจ็บจนซ่งจี๋ซินแยกเขี้ยว
มารดาของกู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง มารดาของหลี่ไหวที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเล็ก หญิงชราแห่งตรอกซิ่งฮวา บวกกับหวงเอ้อเหนียงที่ขายสุราอยู่ในเมืองเล็ก
ปรมาจารย์ใหญ่สี่ท่านนี้คาดว่าคงสามารถถือว่าเป็นผู้ที่ฝีมือรวบยอดครอบคลุม เป็นผู้อาวุโส กู้ช่าน หลี่ไหว ซ่งจี๋ซิน หม่าขู่เสวียน เฉินผิงอัน น่าจะพอถือว่าเป็นเด็กรุ่นเยาว์บนเส้นทางนี้ได้เหมือนกัน…
เมื่อพวกคนรุ่นเยาว์ของถ้ำสวรรค์หลีจูพากันเดินทางออกจากบ้านเกิด ไม่รู้ว่ามีคนต่างบ้านต่างเมืองมากน้อยแค่ไหนที่ต่างก็เคยได้ลิ้มรสฝีมือสูงต่ำของคนหนุ่มสาวเหล่านี้
ซ่งจี๋ซินนวดคลึงชายโครง เอ่ยทอดถอนใจว่า “คิดถึงวันวานจริงๆ”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “เมื่อยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ต้องหวนนึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา แล้วย้อนมามองดูความสุขในวันนี้ การเข่นฆ่าบนทางสายใหญ่กว้างขวางก็หนีไม่พ้นต้องอาศัยการอดทน อาศัยการทุ่มเท ตายก็คือตาย เป็นก็คือเป็น เส้นทางยามค่ำคืนต่อจากนี้ ยิ่งถึงจุดสูงก็ยิ่งเดินได้ยาก เจ้าจงอดทนให้มาก ทางฝั่งของเมืองหลวงนั้น เบื้องหน้ามีหลิ่วชิงเฟิง เบื้องหลังมีจ้าวเหยา คนหนึ่งร้ายกาจมาก คนหนึ่งสนิทกับเจ้าอย่างมาก ไม่ว่าจะอย่างไร จำไว้ว่าต้องปูทางถอยไว้ให้ตัวเองก่อน ส่วนทางถอยจะเป็นการเดินขึ้นสู่เบื้องบน หรือเป็นการเดินกลับทางเดิม สรุปก็คือขอแค่ให้เป็นทางถอยทางหนึ่งก็พอ”
ซ่งจี๋ซินอืมรับหนึ่งที พยักหน้ารับเบาๆ จู่ๆ ก็หันหน้ามาถามเสียงเบาว่า “ไม่สู้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าดีกว่า ออกไปจากศาล ข้าก็ไม่รู้จักเจ้าแล้ว”
ไม่สู้เจ้าเฉินผิงอันมาเป็นราชครูคนใหม่ของต้าหลีดีไหม?
ช่างเถิด ข้าเฉินผิงอันไม่รู้จักอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่อะไร วันนี้อยู่ในศาลแห่งนี้ ก็แค่พูดความในใจสองสามประโยคกับหนึ่งในลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีอย่างซ่งจี๋ซิน เพื่อนบ้านที่เขาไม่เคยชื่นชอบก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี การถามตอบที่เหมือนทายคำปริศนานี้ ทั้งสองฝ่ายจึงเข้าใจกันดีอยู่ในใจ
——