กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 765.2 ในศาลบรรพจารย์
ต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน หรือก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของหลิวเสี้ยนหยาง ทุกวันนี้เป็นขอบเขตก่อกำเนิด แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ สวีเสี่ยวเฉียวศิษย์น้องหญิงคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เซี่ยหลิง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด ขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญในเรื่องของยันต์และค่ายกล เลื่อนขั้นเป็นสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้ลำดับรายชื่อของเขายังขยับเคลื่อนขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้จึงได้นำหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าไปแล้ว
คนรุ่นเยาว์สิบคน คนที่เป็นผู้นำคือหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ นอกจากเซี่ยหลิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว ยังมีหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด เจียงอวิ้นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดแห่งสกุลเจียงอวิ๋นหลิน โจวจวี่นักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูที่เคยเป็นวิญญูชนมาสามครั้ง วนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ระหว่างยศของวิญญูชนและนักปราชญ์สองอย่างนี้อย่างมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุยโย่วเปียนผู้ฝึกตนคอขวดขอบเขตโอสถทองแห่งสำนักเจินจิ้ง นอกจากนี้คนรุ่นเยาว์สิบคนล้วนเป็นคนหน้าใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางศึกใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ลุงของหม่าขู่เสวียน อวี๋สืออู้ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร
แจกันสมบัติทวีปยังมีตัวสำรองอีกสิบคน คนหนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยง เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ มีนามว่าอู๋ถีจิง ตอนที่ภูเขาตะวันเที่ยงเลื่อนเป็นสำนัก เด็กหนุ่มก็ได้ถูกเจ้าขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยงรับเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายไปพร้อมกันด้วย
คนรุ่นเยาว์สิบคนและตัวสำรองสิบคนของแจกันสมบัติทวีป ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มีรวมทั้งสิ้นยี่สิบคนนี้ ภูเขาลั่วพั่วโชคดีที่ยังมีสุยโย่วเปียนเป็นผู้ที่ได้ยึดครองตำแหน่งหนึ่งในนั้น
ต่งกู่นั่งอยู่ข้างกายเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ เพราะถึงอย่างไรศาลลมหิมะก็ถือว่าเป็น ‘บ้านแม่’ ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน และทุกวันนี้เว่ยจิ้นก็เป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปอย่างสมชื่อ ยามที่ต่งกู่อยู่กับเว่ยจิ้น แน่นอนว่าต้องมีความเคารพนอบน้อมอย่างมาก ฝ่ายเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยที่แต่ไหนแต่ไรมายามอยู่บนภูเขาก็มักชอบความเงียบสงบจนถึงขั้นสันโดษ ยามที่เจอกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตตามป่าเขาผู้นี้ก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้น แม้ว่าจะยังไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากมาย ทว่าใบหน้าก็มีรอยยิ้มหลายส่วน ต้องรู้ว่าเว่ยจิ้นนั้นขึ้นชื่อว่าไม่มีทางเกรงใจผู้ใด ต่อให้จะกลับไปยังศาลลมหิมะ เว่ยจิ้นก็ยังไปแค่หอเทพเซียนเท่านั้น
การถามกระบี่สองครั้งก่อนหลังที่มีต่อเซี่ยสือ การถามกระบี่ต่อปีศาจใหญ่ในสนามรบสองครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป เขาล้วนไม่เคยเอ่ยคำใด มีเพียงส่งกระบี่ออกไปอย่างเดียวเท่านั้น
ซุนเจียซู่เจ้าประมุขสกุลซุนและจินซู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของกุ้ยฮูหยินได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว แล้วก็เป็นคู่รักบนภูเขาคู่หนึ่งแล้ว
จางซานเฟิงลูกศิษย์ที่รักของฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้อยู่ในช่วงปิดด่าน ดังนั้นจึงไม่อาจออกจากด่านมาเข้าร่วมงานพิธี อิงตามคำกล่าวของหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนก็คือ ครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กจางซานเฟิงจะเลื่อนจากขอบเขตถ้ำสถิตเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ปีนั้นที่จากลากันในแคว้นชิงหลวน จางซานเฟิงยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างเท่านั้น
นอกจากหยวนหลิงเตี้ยนที่มาร่วมงานพิธีของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ศิษย์พี่ทั้งหลาย แม้แต่ตัวอาจารย์เองต่างก็อยู่ร่วมกัน ‘พิทักษ์มรรคา’ ให้แก่จางซานเฟิง ปิดด่านเพื่อให้ได้ชมมหาสมุทร…ฮว่อหลงเจินเหรินที่เป็นขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง บรรพจารย์สายป๋ายอวิ๋น สายเถาซาน สายไท่เสีย ล้วนช่วยปกป้องมรรคาให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งอยู่นอกถ้ำที่ใช้ปิดด่าน…
เรื่องแบบนี้ก็มีแต่ยอดเขาพาตี้เท่านั้นที่ทำออกมาได้ แต่คำว่าพิทักษ์มรรคานั้น อันที่จริงก็แค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายมานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนท่านอาจารย์ผู้อาวุโส ตั้งโต๊ะจัดวางสุราและกับแกล้มอีกสองสามจาน ผลไม้อีกถาดใหญ่ ชมแสงจันทร์ มองลมฝน รอคอยให้แรงบันดาลใจในการแต่งกลอนของอาจารย์บังเกิด พออาจารย์ร่ายโคลงตลกขบขันออกมาสองสามบท แต่ละคนก็จะต้องตบโต๊ะร้องว่าดีด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง…หยวนหลิงเตี้ยนขัดหูขัดตาท่าทางประจบสอพลอของศิษย์พี่สองท่านนั้นมานานหลายปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้ เดิมทีเขาถึงกับเตรียมกระดาษพู่กันและหมึกไว้เรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าในที่สุดก็ถึงคราวกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะบอกให้เขามาร่วมงานพิธีที่ภูเขาลั่วพั่ว ของที่เตรียมไว้จึงไม่ได้เอาออกมาใช้
หลี่ซีเซิ่งพาชุยซื่อเด็กรับใช้ออกเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋
จงขุยกับเกาเฉิงเจ้านครจิงกวานแห่งหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูก ภายใต้การอารักขาคุ้มครองของหย่าเซิ่งเดินทางจากภูเขาทัวเยว่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับมายังไพศาล ก็ได้ติดตามภิกษุน้ำแกงไก่ไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดี
กู้ช่านลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้านครจักรพรรดิขาว ทุกวันนี้อยู่ในฝูเหยาทวีป ว่ากันว่าภายใต้โชควาสนานำพา เขาจึงพบเจอพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เวลานี้จึงกำลังปิดด่านหล่อหลอมมัน
จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาไปยังสำนักเบื้องบนที่แผ่นดินกลาง
เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินจับมือกันเดินทางไกลมาเยือนแจกันสมบัติทวีป ปีนั้นเซียนกระบี่เส้าขอให้หลิวจิ่งหลงและหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิงช่วยนำเถาน้ำเต้าออกมาจากเรือนชุนฟาน ปีนั้นมีน้ำเต้าเล็กออกผลสิบสี่ลูก สุดท้ายก็สุกงอม เรือนชุนฟานโชคดีอย่างยิ่ง ถึงกับมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ถึงสิบลูก เพิ่มมาจากที่คาดการณ์ว่าจะได้แค่เจ็ดลูกอยู่มากนัก แยกน้ำเต้าเจ็ดลูกที่มีคนจองไว้ล่วงหน้าออกไปแล้ว ดังนั้นวันนี้ในมือของเส้าอวิ๋นเหยียนจึงยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเหลืออีกสามลูก ของขวัญร่วมอวยพรในงานพิธีครั้งนี้จึงเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คู่หนึ่ง ความหมายก็คือเรื่องดีมาเป็นคู่ ขณะเดียวกันก็ถือว่าได้ช่วยเหลือถัวเหยียนฮูหยินที่กระเป๋าฟีบแบนยากจนข้นแค้นไว้ครั้งใหญ่ ไม่อย่างนั้นถัวเหยียนฮูหยินที่ตลอดทางที่เดินทางมานี้กระวนกระวายไม่เป็นสุข ก่อนจะขึ้นเขามาก็เกือบจะหมุนตัวเดินกลับ คิดว่าจะไปอยู่รอที่เมืองเล็ก ให้ตายก็คงไม่กล้ามาพบหน้าใต้เท้าอิ่นกวาน เพราะเส้าอวิ๋นเหยียนมอบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งให้นางเป็นการชั่วคราว ถัวเหยียนฮูหยินถึงได้กล้าขึ้นเขามาร่วมอวยพรต่อภูเขาลั่วพั่ว
หลินจวินปี้กับอวี้เจวี้ยนฟูนั้นถูกชุยตงซานที่ ‘ผ่านทางไปพอดี’ พามาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
ครั้งนี้ภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เชิญผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์
ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังดื่มชา เฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจพูดคุยกับชุยตงซานอย่างรวดเร็ว ถึงได้รู้ว่าการเดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของลูกศิษย์ในครั้งนี้ยุ่งอย่างมาก
ชุยตงซานออกเดินทางจากราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีป ข้ามทวีปเดินทางไกล ไปที่สวนกงเต๋อก่อนรอบหนึ่ง ไปพบอาจารย์ของอาจารย์ อาจารย์ปู่ซิ่วไฉเฒ่าสบายดีอย่างมาก เขากับอาจารย์ผู้เฒ่าต่งที่ได้รับการขนานนามว่า ‘บรมครูแห่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของใต้หล้า’ และยังมีโจวมี่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝูในอดีต คนสามคนที่ฝีมือเล่นหมากห่วยแตกมักจะมาเล่นหมากล้อมด้วยกันเป็นประจำ จากนั้นชุยตงซานก็ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ปู่ให้เก็บตราประทับหนังสือชิ้นนั้นเอาไว้ก่อน พอได้รับคำบอกจากปากเปล่าของอาจารย์ปู่และได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากผู้เฒ่าต่ง ก็ได้ไปหาผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้
ส่วนรองเจ้าขุนเขาอย่างเหมาเสี่ยวตงนั้นก็ได้ลาออกจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เข้ามาอยู่ในสถานศึกษาหลี่จี้หนึ่งในสถานศึกษาใหญ่สามแห่ง รับหน้าที่เป็นซือเย่ เป็นรองแค่ผู้อำนวยการใหญ่เท่านั้น อิงตามวิธีคิดคำนวณในวงการขุนเขาสายน้ำของพวกชอบสอดรู้สอดเห็นแล้ว ตำแหน่งซือเย่แห่งสถานศึกษานี้ต่ำกว่าผู้อำนวยการ แต่กลับสูงกว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งเล็กน้อย นักปราชญ์ วิญญูชน และวิญญูชน ‘ผู้เที่ยงตรง’ เจ้าขุนเขาสำนักศึกษา ซือเย่แห่งสถานศึกษา ผู้อำนวยการใหญ่แห่งสถานศึกษา อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปได้รับการบูชา รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋น เจ้าลัทธิศาลบุ๋น นี่ก็คือ ‘การเลื่อนขั้นในวงการขุนนาง’ ของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อที่ค่อนข้างจะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนแล้ว
เหมาเสี่ยวตงพาหลี่เป่าผิง หลี่ไหว และยังมีลูกศิษย์ของสถานศึกษากลุ่มใหญ่เดินทางลงใต้ไปตลอดทาง ไล่ไปเยือนตั้งแต่ทักษินาตยทวีป สำนักอวี่หลง จนไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่
ทุกวันนี้คนกลุ่มนี้น่าจะยังอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขุนเขาสายน้ำยาวไกล ดังนั้นจึงพลาดงานพิธีในครั้งนี้ไป
ชุยตงซานร่วมปรึกษากับผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษา จึงใช้นามของซือเย่เหมาแห่งสถานศึกษาหลี่จี้เสนอแนะให้ภูเขาลั่วพั่วได้เลื่อนขั้นเป็นสำนัก
ชุยตงซานยังอ้อมเจ็ดแปดตลบก่อนจะไปพบอริยะปราชญ์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของศาลบุ๋นอย่างฝูเซิ่งที่มีลำดับศักดิ์สูงมาก และคุณงามความดีก็ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นในมือจึงมีจดหมายแนะนำเพิ่มมาหนึ่งฉบับ สุดท้ายบวกกับโจวมี่ที่กำลังจะเดินทางไปรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งในใบถงทวีป เจ้าขุนเขา ซือเย่ อริยะปราชญ์ผู้ได้รับการบูชา จดหมายแนะนำสามฉบับอยู่ในมือเรียบร้อย จากนั้นก็ไปเยือนศาลบุ๋นที่แผ่นดินกลาง ไปหาอาจารย์ผู้อาวุโสหันรองเจ้าลัทธิ สุดท้ายรองเจ้าลัทธิกับเจ้าลัทธิสามท่านและผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาอีกสามท่านได้มารวมตัวประชุมกันที่ศาลบุ๋น สองคนในนั้นหวังว่าจะมีการ ‘พิจารณาใหม่’ เหตุผลก็คือในเมื่อหากอิงตามคำกล่าวของเจ้าชุยตงซานแล้ว เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วก็ ‘เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า’ เท่านั้น คิดจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักย่อมไม่เหมาะสม
ทำเอาชุยตงซานโมโหจนเกือบจะลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น ผลคือหลี่เซิ่งปรากฏตัว เอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า ไม่ต้องพิจารณาใหม่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมไม่ต้องพิจารณาใหม่จริงๆ
รอกระทั่งโจวหมี่ลี่สามคนยกน้ำชาเสร็จ และทุกคนก็ดื่มน้ำชากันไปแล้ว
เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างก็ได้ยกโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่งมาวางไว้ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันกับสหายฉางมิ่ง นี่เป็นการเตรียมการสำหรับการยกพู่กันจดบันทึกทำเนียบ เพราะผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มใหญ่ที่มีฉางมิ่ง หมี่อวี้และเหวยเหวินหลงเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากเฉินผิงอันไม่ได้กลับบ้านเกิดมานานหลายปี อันที่จริงพวกเขาจึงยังไม่ได้รับการบันทึกชื่อลงในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่ออย่างแท้จริง วันนี้จึงต้องมีการชดเชย เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะตัวนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องของการบันทึกชื่อลงในทำเนียบขุนเขาสายน้ำ ตามกฎบนภูเขาแล้ว เดิมทีควรเป็นผู้คุมกฎที่จับพู่กัน ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเล็ก ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้แต่งตั้งตำแหน่งผู้คุมกฎ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงจะเป็นคนเขียนให้แทนก่อน รอให้ข้าบันทึกชื่อของฉางมิ่งลงในทำเนียบด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ค่อยให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งมานั่งตรงนี้”
แม้ว่าผู้สืบทอดสามคนของเฉินผิงอันที่มีเผยเฉียนเป็นหนึ่งในนั้น ยามที่จุดธูปคารวะ ตำแหน่งที่ยืนจะเป็นรองแค่เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันเท่านั้น ทว่าการจัดวางตำแหน่งเก้าอี้ของภูเขาลั่วพั่ว ‘เก้าอี้อันดับหนึ่ง’ ตัวที่อยู่ใกล้กับเฉินผิงอันมากที่สุดกลับเป็นของสหายฉางมิ่ง นักบัญชีเหวยเหวินหลง จากนั้นถึงได้เป็นพวกเฉาฉิงหล่างสามคน
นี่คือกฎบนภูเขา ผู้คุมกฎ นักบัญชีแห่งคลังทรัพย์สิน ผู้ถวายงานลำดับสูงสุด นั่งอยู่ในสามตำแหน่งนี้ เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์จะค่อนมาทางด้านหน้ามากที่สุด
สหายฉางมิ่งลุกขึ้นยืน นางคารวะเจ้าขุนเขาก่อน จากนั้นจึงคารวะทุกคนอีกครั้ง
อันที่จริงทุกคนที่มาเข้าร่วมงานพิธีซึ่งอยู่ห่างไกลจากภูเขาลั่วพั่วต่างก็สงสัยใคร่รู้กันอย่างมากว่าสตรีสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะที่มีรอยยิ้มอบอุ่นผู้นี้เป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ถึงได้โดดเด่นจนกลายมาเป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วได้เช่นนี้
บรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วมีน้ำหนักมากแค่ไหน ทุกคนที่มาเข้าร่วมงานพิธีซึ่งต่อให้เป็นจินซู่ผู้ฝึกตนหญิงแห่งนครมังกรเฒ่า บุคคลที่ได้พบเจออาจารย์ที่ดี อีกทั้งยังได้สามีที่ดีอย่างนางนี้ มักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องบนภูเขาเท่าไร แต่กระนั้นในใจนางก็รู้เรื่องนี้ชัดเจนดี ชัดเจนอย่างมาก เดิมทีเฉินผิงอันก็เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าชอบใช้เหตุผล และบรรพจารย์ผู้คุมกฎบนภูเขาลั่วพั่วก็หมายความว่าต้องเป็นบุคคลที่สูงส่งเหนือใครเพียงหนึ่งเดียวในนามบนภูเขาลั่วที่มี ‘เหตุผล’ ใหญ่เท่ากับเจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาสำคัญบางอย่างยังจะมีเหตุผลมากกว่าด้วย
เฉินผิงอันเขียนตัวอักษร ‘ฉางมิ่ง’ ลงในช่องของ ‘ผู้คุมกฎ’ ที่อยู่ในหน้าแรกของทำเนียบภูเขาลั่วพั่วเล่มนั้น
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้ม ถือพู่กันแล้วลุกขึ้นยืน ฉางมิ่งเดินไปทางนั้น รับพู่กันมาจากเฉินผิงอันแล้วนั่งลง
ตามมาด้วยการเขียนชื่อเฉวียนฝู่ (ชื่อตำแหน่งขุนนางที่ดูแลคลังสมบัติ) แห่งภูเขาลั่วพั่ว เหวยเหวินหลง
เหวยเหวินหลงลุกขึ้นกุมหมัดคารวะเฉินผิงอันก่อน จากนั้นจึงคารวะทุกคน สุดท้ายกุมหมัดไม่ยอมวาง มองไปทางเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่แห่งเรือนชุนฟาน อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้
เส้าอวิ๋นเหยียนหัวเราะร่าลุกขึ้นยืน ใช้การคารวะของคนที่ลำดับศักดิ์เท่ากันมากุมหมัดคารวะกลับคืนเหวยเหวินหลงลูกศิษย์ในวันวาน ตามกฎบนภูเขา วันนี้เมื่อทั้งสองฝ่ายเดินออกไปจากประตูใหญ่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ มารยาทพิธีการที่มีต่อกันก็ถือว่าสามารถแยกกันคิดคำนวณได้
เซียนกระบี่เส้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่คุณสมบัติในการฝึกตนธรรมดาของตนผู้นี้จะสามารถกลายมาเป็นนักบัญชีของภูเขาลั่วพั่ว กลายมาเป็นแขนซ้ายแขนขวาของใต้เท้าอิ่นกวานได้
ถัวเหยียนฮูหยินชำเลืองตามองเส้าอวิ๋นเหยียนที่ใบหน้าแดงปลั่งแล้วรู้สึกขัดอกขัดใจเล็กน้อย เป็นสี่เรือนส่วนตัวใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเหมือนกัน คงเป็นเพราะเรือนชุนฟานตั้งชื่อได้ดี ทุกวันนี้ถึงได้กลายเป็นคนที่ยิ้มแย้มชื่นมื่นได้มากที่สุด (ชุนฟานหมายถึงธงหรือกระดาษตัดลายที่จะติดเพื่อต้อนรับวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ คำว่ายิ้มแย้มชื่นมื่นในประโยคนี้มาจากประโยคภาษาจีนว่า ชุนเฟิงเต๋ออี้ ทั้งชุนฟานและชุนเฟิงเต๋ออี้ต่างมีคำว่าชุนเหมือนกัน)
นางรีบถอนสายตากลับมาทันใด นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ที่แท้อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นก็กำลังยิ้มตาหยีมองมาทางตน
สี่ฮูหยินแห่งใต้หล้าไพศาล ทุกวันนี้ในศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วถึงกับมีมานั่งอยู่สองท่าน ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมย กุ้ยฮูหยินแห่งเกาะกุ้ยฮวา
ตามหลังผู้คุมกฎฉางมิ่ง เฉวียนฝู่เหวยเหวินหลง จึงเป็นเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งเค่อชิงของภูเขาพีอวิ๋นมาได้ไม่นาน
ต่อมาจึงเป็นชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด จางเจียเจินสายของห้องบัญชี เจี่ยงชวี่ผู้ฝึกตนสายยันต์ จ้าวซู่เซี่ย จ้าวหลวน ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเผยเฉียน โจวจวิ้นเฉินที่มีชื่อเล่นว่าอาหมาน
เพ่ยเซียงภูตจิ้งจอกก่อกำเนิดที่หลายปีมานี้ฝึกตนอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว หงเซี่ยเจียวน้ำก่อกำเนิด อวิ๋นจื่อที่เพิ่งสร้างโอสถทองได้สำเร็จ
รวมไปถึงตัวอ่อนเซียนกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่เก้าคน
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีการอีกสามอย่าง
อย่างแรกคือผู้ฝึกกระบี่กวอจู๋จิ่ว ได้อยู่ในตำแหน่ง ‘ผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก’ ซึ่งอยู่ในหน้าที่สองของทำเนียบศาลบรรพจารย์ บันทึกชื่อของนางลงไป ให้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน
เรื่องที่สองคือผู้ฝึกยุทธหนุ่มจ้าวซู่เซี่ยก็ได้กราบเฉินผิงอันเป็นอาจารย์เช่นกัน ได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันอย่างเป็นทางการอีกคนหนึ่ง
นับแต่บัดนี้ไป ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันจึงมีชุยตงซาน เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง กวอจู๋จิ่ว จ้าวซู่เซี่ย รวมทั้งสิ้นห้าคน
เรื่องที่สาม โจวจวิ้นเฉิน กราบเผยเฉียนเป็นอาจารย์ และอันที่จริงก็เท่ากับว่าได้กลายมาเป็นศิษย์หลานของเฉินผิงอัน
พิธีกราบอาจารย์ต้องให้ลูกศิษย์โขกหัวคำนับ อาจารย์ดื่มชา
หลังจากที่เขากับลูกศิษย์อย่างเผยเฉียนต่างคนต่างรับลูกศิษย์เรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันก็ได้ทยอยดื่มน้ำชากราบอาจารย์จากจ้าวซู่เซี่ยหนึ่งถ้วย และน้ำชากราบอาจารย์ปู่จากโจวจวิ้นเฉินหนึ่งถ้วย หลังจากวางถ้วยน้ำชาลง เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกท่าน เรื่องของการว่าจ้างเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วเรา ไม่สู้พวกเรามาตีเหล็กตอนยังร้อน เริ่มกำหนดกันวันนี้เลยดีไหม?”
หากไม่เป็นเพราะติดขัดที่กฎระเบียบของขุนเขาสายน้ำ เวลานี้เฉินผิงอันก็คงบอกให้ชุยตงซานเดินไปปิดประตูใหญ่แล้ว
บัณฑิตบางคนที่อยู่ในสายบุ๋นสายเดียวกับเหวินเซิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องปักบุปผาลงบนผ้าแพร ยกตัวอย่างเช่นหลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย ต่งสุ่ยจิ่ง
เว่ยป้อคือซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ หลิวจิ่งหลงคือประมุขของสำนักหนึ่ง หลิวจ้งรุ่นคือเจ้าของเกาะแห่งหนึ่ง ซุนชิงคือเจ้าจวนไช่เฉวี่ย สวีซิ่งจิ่วคือเจ้านครเหนือเมฆ ตามหลักแล้วไม่เหมาะสม จึงได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้
พันธมิตรบางคนที่มีการไปมาหาสู่กันก็ไม่ควรวาดงูเติมขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ปะปนกันจนวุ่นวาย ยากจะคิดบัญชีอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อ ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า เหวยอวี่ซงแห่งสำนักพีหมา
——