กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 765.4 ในศาลบรรพจารย์
ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ
เริ่มปิดประตูและทำการประชุมกันอีกครั้ง
เก้าอี้ที่เกินความจำเป็นล้วนถูกยกออกไป
มีเพียงเก้าอี้ว่างสองตัวของเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตู และกวอจู๋จิ่วผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเท่านั้น
ตำแหน่งอื่นล้วนมีคนทยอยกันนั่งลง
เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาของสำนักอักษรจง
ผู้คุมกฎฉางมิ่ง ขอบเขตหยกดิบ
เหวยเหวินหลงนักบัญชีเฉวียนฝู่ ขอบเขตโอสถทอง
ชุยตงซาน เซียนเหริน
เผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาขั้นสูงสุด
เฉาฉิงหล่าง ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร
โจวหมี่ลี่ผู้ถวายงานปกป้องภูเขา ขอบเขตถ้ำสถิต
จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา
สุยโย่วเปียน ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง
หลูป๋ายเซี่ยง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล
เว่ยเซี่ยน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล
จ้งชิว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ขณะเดียวกันก็เป็นเซียนดินโอสถทอง ผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อ
เฉินหลิงจวิน ขอบเขตก่อกำเนิดที่เดินลงน้ำกลายเป็นเจียว
เฉินหน่วนซู่ที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวได้หลอมโชคชะตาบุ๋นจนเป็นขอบเขตประตูมังกร
‘โจวเฝย’ ขอบเขตเซียนเหริน ผู้ฝึกกระบี่
หมี่อวี้ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ
ชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด
เพ่ยเซียง ภูตจิ้งจอกขอบเขตก่อกำเนิด
หงเซี่ย เจียวน้ำก่อกำเนิด
ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ มีคนรวมทั้งหมดสิบเก้าคน
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน ห้าคน เฉินผิงอัน ฉางมิ่ง ชุยตงซาน เจียงซ่างเจิน หมี่อวี้
ผู้ฝึกยุทธที่ขอบเขตสูงกว่าเดินทางไกล หกคน เฉินผิงอัน เผยเฉียน จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน จ้งชิว
ผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด สี่คน เฉินหลิงจวิน ชุยเหวย เพ่ยเซียง หงเซี่ย
นี่ยังไม่นับรวมเจิ้งต้าเฟิงและกวอจู๋จิ่ว
สำนักที่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่แค่บุคคลยิ่งใหญ่ตามความหมายทั่วไปแล้ว
ประหนึ่งเจียวหลงที่ขดตัวอยู่ในบ่อโบราณลึกมืดดำ กำลังค่อยๆ ชูหัวขึ้นมา
นอกจากขาดขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ภูเขา อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีช่องโหว่ใดๆ ให้เอ่ยถึงแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลั่วพั่วล้วนอ่อนเยาว์กันอย่างมาก อายุน้อยแต่ขอบเขตกลับสูงจนน่าเหลือเชื่อ
มือหนึ่งของเฉินผิงอันใช้สองนิ้วดันถ้วยชาหมุนเบาๆ แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ
แบ่งสมาธิออกไปนับไม่ถ้วน ความคิดแยกย้ายไปทั่ว ไร้พันธนาการใดๆ
เพ่ยเซียงและหงเซี่ยที่เป็นคนหน้าใหม่สองคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง อันที่จริงชุยเหวยเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก ถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาท่านนี้ก็คือใต้เท้าอิ่นกวานที่เฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพังมานานหลายปี แล้วยังเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ทุกวันนี้ก็ยิ่งเป็นเจ้าขุนเขาของหนึ่งสำนักแห่งใต้หล้าไพศาล
เฉินผิงอันหลับตาลงช้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกโชคดีอย่างมากที่ได้รู้จักทุกท่าน อีกทั้งยังได้กลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านซึ่งนั่งอยู่ ณ ที่นี่ได้มาปรากฏตัวในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อในเวลานี้”
ในศาลบรรพจารย์เงียบสงัดจนถึงขั้นหากเข็มตกก็คงได้ยินกันทั่ว
มีเพียงหมี่ลี่น้อยที่ปรบมืออย่างไร้เสียง
เฉินผิงอันสายตาอ่อนโยน รอกระทั่งหมี่ลี่น้อยหยุดการกระทำ เขาถึงได้พูดต่อไปว่า “ช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายังคงอย่าเอะอะให้มากเกินไปจะดีกว่า คำกล่าวที่กล่าวต่อภายนอกก็คือเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาพีอวิ๋นแล้วหันมาให้การสนับสนุนภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำให้พวกเราเลื่อนขั้นเป็นสำนักได้ในคราวเดียว ส่วนข้อที่ว่าโลกภายนอกจะเชื่อหรือไม่ พวกเราไม่อาจไปควบคุมได้ และทำไมถึงต้องปิดบังอำพรางเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ทุกท่านฟังอย่างละเอียด”
หมี่อวี้สีหน้าอึ้งค้าง
เจียงซ่างเจินเอ่ยชื่นชม “ต้องขอบคุณเซียนกระบี่หมี่ที่ปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรจนน้ำมาคลองสำเร็จ ไม่เปิดเผยร่องรอยได้เช่นนี้”
ชุยตงซานพยักหน้าอย่างแรง “นั่นสิๆ เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไม่เป็นผู้ถวายงานลำดับรอง ตามเหตุตามผลแล้วล้วนอธิบายไม่ขึ้นเลย”
เจียงซ่างเจินอึ้งตะลึง ตัวสั่นเยือก หมายความว่าอะไร? แล้วก่อนหน้านั้นที่บอกไว้ในจดหมายลับว่าต้องได้เป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งแน่นอนล่ะ? บอกไว้ไม่ใช่หรือว่าจะต้องร้องไห้พลางโวยวายว่าจะผูกคอตายให้อาจารย์ของเจ้าดู?
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ดังนั้นการประชุมในวันนี้ เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งก็คือต้องปรึกษากันว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วควรจะให้ใครมารับหน้าที่กันแน่”
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อ ใครจะมาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ข้าไม่มีความเห็น เพียงแค่ฟังตามคำของอาจารย์พ่อและผู้คุมกฎเท่านั้น เอาเป็นว่าข้าแนะนำให้โจวเฝยมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับรอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยสถานะเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงแห่งสำนักกุยหยก”
เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงแห่งสำนักกุยหยก? ก็คือเจียงซ่างเจินที่เป็นคนของใบถงทวีป แต่กลับดันไปสร้างชื่อเสียงระบือไกลอยู่ในอุตรกุรุทวีปคนนั้นน่ะหรือ? เซียนกระบี่ใหญ่ที่สุดท้ายแทบจะถือได้ว่าอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวปกป้องยอดเขาเสินจ้วนเอาไว้ได้ผู้นั้น?
หนังตาเฉินหลิงจวินกระตุกยิกๆ เริ่มดีดลูกคิดอย่างระมัดระวังทันใด เมื่อก่อนพี่น้องโจวเฝยเคยมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอยู่หลายครั้ง ตนได้มีการกระทำหรือคำพูดที่ล่วงเกินเขาบ้างหรือไม่นะ
หงเซี่ยกับเพ่ยเซียงก็ยิ่งหน้าขาวซีด
เจียงซ่างเจิน อดีตเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักกุยหยก!
บุคคลอันดับหนึ่งที่กอบกู้สถานการณ์เลวร้ายของใบถงทวีป!
โจวหมี่ลี่อ้าปากกว้าง แม่นางน้อยรีบหันหน้าไปแสดงสายตาแห่งความชื่นชมที่จริงใจอย่างถึงที่สุดให้กับเจียงซ่างเจิน ผู้ถวายงานที่ใช้นามแฝงว่าโจวเฝยผู้นี้ใช้ได้เลยนี่นา เพียงแต่มองดูแล้วไม่ค่อยแก่ชราสักเท่าไรนะ
ช่างมีอนาคตสดใสยิ่งใหญ่เสียจริง เจียงซ่างเจินไม่เสียแรงที่เป็นคนแซ่โจวเลย
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ใหญ่โจวเป็นผู้ถวายงานอันดับรอง ผู้คนย่อมยอมรับนับถือ ใครไม่ยินยอม ก็เท่ากับว่าถามหมัดกับข้า ถามหมัดข้ายอมแพ้ แต่ก็ยังจะยืนกรานในความคิดของตัวเอง นอกจากพี่ใหญ่โจวแล้ว ใครจะมาเป็นผู้ถวายงานลำดับรอง ข้าล้วนไม่ยอมทั้งนั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงเห็นคล้อย “ถึงอย่างไรเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงก็มีกิจธุระรัดตัว มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานลำดับรองของภูเขาลั่วพั่วเรา แม้จะเป็นการเอาคนมีความสามารถมาทำงานเล็กที่ไม่อาจแสดงฝีมือได้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
เจียงซ่างเจินโอดครวญไม่หยุด ได้แต่กล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ยุ่งเลยสักนิดเดียว สำนักกุยหยก สำนักเจินจิ้ง ข้าล้วนไม่ใช่เจ้าสำนักแล้วนะ”
เว่ยเซี่ยนที่ยกสองแขนกอดอกงีบหลับมาโดยตลอด ในที่สุดก็เอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยคว่า “ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง พูดอะไรโผงผาง โจวเฟยแค่มองก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ วันหน้าการปิดด่านย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ผู้ถวายงานลำดับหนึ่งคือหน้าตาของสำนัก และยิ่งต้องคอยแอบลงจากภูเขาอยู่เป็นระยะเพื่อไปรบราฆ่าฟัน ภูเขาลั่วพั่วย่อมไม่สะดวกใจที่จะถ่วงรั้งการฝึกตนของพี่ใหญ่โจว”
หมี่อวี้รับฟังด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา ในศาลบรรพจารย์แห่งนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่หวังให้เจียงซ่างเจินได้มาเป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งที่สุดแล้ว แค่ให้เขาเป็นผู้ถวายงานทำเนียบวงศ์ตระกูลก็พอ อย่าว่าแต่ลำดับหนึ่งเลย ลำดับสองก็ไม่ต้องเหมือนกัน
เฉาฉิงหล่างรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกไป “ข้ารู้สึกว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานลำดับหนึ่งจะค่อนข้างสมเหตุสมผลมากกว่า แล้วค่อยให้เซียนกระบี่หมี่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานลำดับรอง แต่พวกเราสามารถปิดบังตัวเลือกของผู้ถวายงานลำดับหนึ่งและลำดับรองต่อภายนอกไว้เป็นการชั่วคราวก่อนได้”
เจียงซ่างเจินเกือบจะน้ำตาเอ่อคลออยู่รอมร่อ ในที่สุดก็มีคนที่พูดจาผดุงความเป็นธรรมแทนเขาสักที ต้องอาศัยเฉาฉิงหล่างที่เป็นกระแสน้ำใส เป็นหน้าตาแห่งขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วจริงๆ เสียด้วย!
เฉินผิงอันกลั้นขำ หันหน้ามาหาฉางมิ่ง “ความเห็นต่างกันเยอะเลยนะ ผู้คุมกฎว่าอย่างไร?”
สหายฉางมิ่งลุกขึ้นยืนพูด “เจ้าขุนเขาเป็นผู้ตัดสินใจ ฉางมิ่งแค่รับผิดชอบเติมช่องว่างตรงตำแหน่งของลำดับหลัก ลำดับรองในทำเนียบให้ครบถ้วนเท่านั้น”
ฉางมิ่งเดินไปยังโต๊ะที่ยังไม่ถูกยกออกไป หยิบทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเล่มนั้นขึ้นมาใหม่ คลี่กางออกก็เปิดมาเจอช่องว่างของหน้าบทผู้ถวายงานลำดับหลัก ลำดับรองพอดี
ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างของชุยตงซานห้อยระลงมาจากที่วางแขนเก้าอี้ หลังจากใส่ไฟกระพือลมแล้วเขาก็ตัดสินใจว่าจะนั่งดูไฟชายฝั่งเท่านั้น
คนหนึ่งหน้าไม่อายตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง อีกคนหนึ่งจิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคงให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นอันดับหนึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้มีเพียงศาลบรรพจารย์บ้านตนเท่านั้นถึงจะมีได้จริงๆ
ส่วนเจียงซ่างเจินจะไม่พอใจที่เขาไร้คุณธรรมหรือไม่ มารดาเถอะ นี่คือการประชุมในศาลบรรพจารย์ มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าชุยตงซานด้วยหรือ?
เฉินผิงอันพลันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน กุมหมัดให้กับเจียงซ่างเจิน “ขอแสดงความยินดีกับผู้ถวายอันดับหนึ่งโจวด้วย วันหน้าต้องรบกวนแล้ว”
ในศาลบรรพจารย์ นอกจากเจียงซ่างเจิน ทุกคนล้วนลุกขึ้นยืนแทบจะเวลาเดียวกัน กุมหมัดคารวะเจียงซ่างเจิน เอ่ยแสดงความยินดีติดๆ กัน
หมี่อวี้ที่ถูกผู้คนเรียกคำแล้วคำเล่าว่าเซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่เป็นคนที่กล่าวประโยคยินดีอย่างจริงใจเป็นพิเศษ
เจียงซ่างเจินสะบัดชายแขนเสื้อ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม กุมหมัดคารวะกลับคืน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ได้รับความรักความเมตตาจากทุกท่าน รู้สึกละอายใจยิ่งนัก คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง รู้สึกผิดเหลือเกิน”
เห็นว่าเจ้าขุนเขายิ้มบางๆ เจียงซ่างเจินก็รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันทีทันใด “ในเมื่อทุกคนฝากความหวังไว้ให้โดยที่ไม่มีใครเห็นต่าง ข้าก็คงต้องย้ายที่นั่งแล้วนะ”
เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยกเก้าอี้ วิ่งตุปัดตุเป๋าย้ายเก้าอี้ไปไว้ตำแหน่งด้านหลังของฉางมิ่งกับเหวยเหวินหลง ขณะเดียวกันทุกคนซึ่งมีชุยตงซาน เผยเฉียน และเฉาฉิงหล่างเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็คลี่ยิ้มพลางเคลื่อนย้ายตำแหน่งตามไปด้วย
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งในศาลบรรพจารย์ ตำแหน่งเก้าอี้ย่อมต้องนั่งอยู่ติดด้านหน้าสุด
เจียงซ่างเจินนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ หันตัวกลับมายิ้มเอ่ย “น้องชุย พวกเราสองพี่น้องได้เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะ”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือออกมา เจียงซ่างเจินยิ้มพลางตีมือกับเขาเบาๆ
ชุยตงซานคว้าจับฝ่ามือของเจียงซ่างเจินเอาไว้ ถามเสียงเบาว่า “ซองแดงล่ะ? หากไม่ให้คนละซอง คงไม่ค่อยเข้าทีเท่าไรกระมัง?”
เจียงซ่างเจินกล่าว “หนึ่งคนได้สองซอง เตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว”
เผยเฉียนนวดคลึงหน้าผาก
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ตงซาน เปิดม้วนภาพขุนเขาสายน้ำทางตะวันตกของเมืองเล็ก”
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที ในศาลบรรพจารย์ก็มีภาพแผนที่ที่เทือกเขาสลับสล้างทอดตัวยาวสายหนึ่งลอยขึ้นมา ไอหมอกก้อนเมฆลอยอวล ปราณวิญญาณไหลริน มองเห็นเส้นสายได้อย่างชัดเจน
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินไปที่ริมขอบของม้วนภาพ ยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง วาดวงกลมเล็กวงหนึ่งรอบขุนเขาสายน้ำแถบหนึ่ง แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ภูเขารวมทั้งหมดหกสิบสองลูกซึ่งรวมภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อซานจวินอยู่ด้วย สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ครอบครองภูเขาเสินซิ่ว ภูเขาเที่ยวเติงและยอดเขาเหิงซั่ว นอกจากนี้ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวที่อยู่โดยรอบ แท้จริงแล้วเป็นภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว แค่ให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนเช่าไว้สามร้อยปีเท่านั้น หลังจากนั้นสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ได้ซื้อภูเขาไปอีกสี่ลูก โดยรวมแล้วโอบล้อมอยู่รอบภูเขาบรรพบุรุษ หลังจากหร่วนฉงย้ายศาลบรรพจารย์ไปไว้ที่อาณาเขตขุนเขาเหนือเก่าซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง หากไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ ด้วยนิสัยของหร่วนฉงจะต้องให้เช่าภูเขาสี่ลูกนี้ หรืออาจถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าเลือกที่จะขายให้กับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราโดยตรง เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนที่ปีนั้นภูเขาลั่วพั่วของพวกเราให้เช่าภูเขาสามลูก”
ชุยตงซานเริ่มชี้ไปตามตำแหน่งต่างๆ “อาจารย์ซื้อภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาลั่วพั่วลูกนั้นมา แบ่งภูเขาหนิวเจี่ยวกับเว่ยซานจวินคนละครึ่ง ภูเขาจูซาที่สกุลสวี่นครลมเย็นย้ายออกไป ภูเขาหลังอ๋าวที่ให้เกาะจูไชแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนยืมเช่าชั่วคราว ยอดเขาเว่ยเสีย หอบูชากระบี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุด รวมไปถึงภูเขาเจินจูที่อยู่ทางทิศตะวันออกสุด บวกกับภูเขาหวงหูที่มีเฉินหลิงจวินสานสะพานความสัมพันธ์ซื้อมา ระหว่างที่อาจารย์ออกเดินทางไกล ภายใต้การดำเนินการของจูเหลี่ยน ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็ได้ทยอยซื้อภูเขาเซียงฮว่อ ยอดเขาหย่วนมู่ เนินจ้าวตู๋มาอีกในราคาต่ำ”
ทุกครั้งที่ชุยตงซาน ‘ชี้’ ไป โชคชะตาน้ำรากภูเขาน้อยใหญ่ทั้งหลายก็จะทยอยกันปรากฏขึ้นมา
ชุยตงซานเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “นอกจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว หน้าผาแท่นสังหารมังกรที่อยู่บนภูเขาหลงจี๋ ทั้งศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ต้องไม่มีทางละทิ้งไปอย่างแน่นอน พวกเราไม่ต้องไปคิดให้มากความ ส่วนเซียนซือกลุ่มที่ฝึกตนอยู่บนยอดเขาอีไต้ อันที่จริงทำเนียบศาลบรรพจารย์ของพวกเขาอยู่ที่แคว้นเมิ่งเหลียง เป็นเพื่อนบ้านกับภูเขาเมฆาเรือง ฝ่ายแรกถือเป็นกองกำลังตระกูลเซียนลำดับสองของแจกันสมบัติทวีป และอันดับยังอยู่ค่อนไปทางท้ายด้วย เพียงแต่ว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ดังนั้นก็ไม่ต้องคิดมากเช่นเดียวกัน แต่กองกำลังตระกูลเซียนอีกสิบกว่าแห่งที่เหลืออยู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรกัน พวกเราเองก็อย่าไปรังแกพวกเขา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็มองมาทางเจียงซ่างเจิน
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “ซื้อๆๆ ขายๆๆ ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ แค่นี้ก็มีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันแล้วไม่ใช่หรือ?”
เหวยเหวินหลงเอ่ย “บนสมุดบัญชีของเฉวียนฝู่ อันที่จริงยังพอจะมีกำไรเหลืออยู่เล็กน้อย”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็สอดปาก ยิ้มถามว่า “กำไรที่เหลืออยู่เล็กน้อยคือเหลือเท่าไร?”
เหวยเหวินหลงรีบลุกขึ้นยืนทันใด กล่าวรายงานบัญชีก้อนนั้น
การค้าที่ทำร่วมกับแนวเส้นของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก สวนน้ำค้างวสันต์ จวนไช่เฉวี่ย นครเหนือเมฆ บวกกับเส้นทางการค้าเส้นที่สองที่บุกเบิกใหม่ของสำนักพีหมา ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ถ้ำสวรรค์วังมังกร แล้วยังมีเส้นที่สามอย่างสามแม่น้ำเมืองหงจู๋ ต่งสุ่ยจิ่ง ตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า และซุนเจียซู่ นอกจากนี้ยังมีรายรับจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ร้านผ้าห่อบุญ รวมไปถึงรายรับอีกก้อนใหญ่จากการที่พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนเป็นคอขวดของพื้นที่มงคลระดับสูง
ดังนั้นคำว่า ‘กำไรเหลือเล็กน้อย’ ของเหวยเหวินหลงจึงเป็นเงินสดที่ไม่ได้รวมหนี้ก้อนใหญ่ซึ่งใช้คืนไปหมดแล้ว แต่เป็นเงินฝนธัญพืชสามพันหกร้อยเหรียญที่นอนอยู่บนหน้าบัญชี
ประเด็นสำคัญคือนอกเหนือจากนี้ ในห้องบัญชีของเฉวียนฝู่ยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกหกร้อยเหรียญ
และรายรับจากพื้นที่มงคลรากบัวหนึ่งแห่งกับเส้นทางการค้าอีกสามเส้นก็มีมาไม่ขาดสาย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกเดินไปที่ริมขอบของม้วนภาพ “ภูเขาทั้งหมดหกสิบสองลูก ในเวลาหนึ่งร้อยปีพวกเราพยายามช่วงชิงมาให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือ นอกจากภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวิน ภูเขาหลงจี๋ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ได้ครอบครอง กับยอดเขาอี้ไต้แล้ว ภูเขาที่ตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งที่เหลือทั้งหมดได้ครอบครอง ล้วนสามารถพูดคุยได้ ปรึกษาได้ แต่จำไว้ว่าในเมื่อเป็นการปรึกษาก็ต้องปรึกษากันดีๆ เรื่องของการบังคับซื้อบังคับขายอย่าได้ทำ เพราะถึงอย่างไรญาติห่างไกลก็ไม่อาจสู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง หากสามารถเชื่อมโยงติดต่อกันเป็นแถบได้ย่อมดีที่สุด ทำไม่ได้ก็ค่อยไปหาแดนบินใต้อาณัติแห่งอื่นในแจกันสมบัติทวีปแทน”
——