กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 767.2 ปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่เปิดไม่ได้
การฝึกจิตใจบนภูเขา ต้องการฝึกฝนหรือไม่?
หากเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางเอาแต่ถามกระบี่ต่อศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงและต่อคู่สามีภรรยานครลมเย็น คาดว่าสตรีที่สร้างเรื่องก่อราวผู้นั้นคงขำท้องคัดท้องแข็ง ต่อให้พวกเฉินผิงอันสองคนคืนสติกลับมาแล้วถามกระบี่อีกครั้ง เถียนหว่านก็คงจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นั่นต่างหากถึงจะทำให้คนสะอิดสะเอียนได้อย่างแท้จริง หากลองคิดพิจารณาโดยเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าก่อนที่เถียนหว่านผู้นั้นจะตัดสินใจออกไปจากแจกันสมบัติทวีป เกินครึ่งคงจะเป็นฝ่ายเผยพิรุธออกมา เพื่อใช้มันมา ‘เตือน’ ภูเขาลั่วพั่วของตนและร้านตีเหล็กแห่งนี้ของหลิวเสี้ยนหยาง จากนั้นค่อยถือโอกาสลากเซอเยว่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกระแวงสงสัยไปทั่ว
อีกอย่างเฉินผิงอันก็สงสัยด้วยว่าเถียนหว่านที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นี้จะเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกับหันอวี้ซู่เซียนเหรินจากสำนักว่านเหยาใบถงทวีป
ทว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่มีหลักฐานใดๆ
คนทั้งสองลุกขึ้น เดินออกไปจากสะพานหินโค้งด้วยกัน เดินเล่นเลียบลำคลองหลงซวีไปทางตอนบนของลำคลองกันต่อ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ จู่ๆ ก็กระโดดข้ามลำคลอง จากนั้นก็กระโดดกลับมาฝั่งตรงข้าม ทำเช่นนี้ไปมาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สองมือของหลิวเสี้ยนหยางรองอยู่ใต้ท้ายทอย เดินเล่นอยู่ริมตลิ่งลำคลองฝั่งหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
คนทั้งสองมาถึงหน้าผาหินสีดำที่เป็นหลุมเป็นบ่อ หลิวเสี้ยนหยางหา ‘เก้าอี้’ ที่คุ้นเคยเจอแล้วก็นั่งลงไป เฉินผิงอันนั่งลงด้านข้าง ระหว่างคนทั้งสองยังมีแอ่งหนึ่งกั้นกลาง คือที่นั่งประจำของเจ้าขี้มูกยืดน้อยในปีนั้น
อาณาเขตหลงโจวขึ้นชื่อว่าโชคชะตาน้ำโชติช่วงที่สุดของราชวงศ์ต้าหลี แม่น้ำเถี่ยฝู แม่น้ำชงตั้น แม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ แม่น้ำสี่สาย เทพวารีหยางฮวาแห่งแม่น้ำเถี่ยฝู หลี่จิ่นแห่งแม่น้ำชงตั้น เย่ชิงจู๋แห่งแม่น้ำอวี้เย่ องค์เทพแห่งสายน้ำอันดับหนึ่งท่านหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำสามท่านที่อันดับรองลงมา อาณาเขตของแม่น้ำสี่สายกว้างขวาง ไม่ได้อยู่แค่ที่จังหวัดหลงโจวเท่านั้น แต่ศาลของเทพวารีทั้งสี่องค์กลับสร้างอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวทั้งสิ้น
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ลำคลองหลงซวีสายนี้ หม่าหลันฮวาเลื่อนจากแม่ย่าลำคลองมาเป็นเทพลำคลอง หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยได้สร้างศาล สร้างเทวรูปร่างทองเป็นของตัวเอง เมื่อก่อนนางรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก รอกระทั่งสงครามใหญ่ผ่านไป ทางทิศใต้ของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป แม่น้ำลำคลองนับพันแห่งบ้างก็ถูกทำลาย บ้างก็ถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนเส้นทาง กลายเป็นว่านางแอบดีใจ รู้สึกว่าได้เลื่อนขั้นเป็นเทพลำคลองที่มีชีวิตมั่นคง อันที่จริงก็ไม่เลว”
ภูเขาเจินจูคือที่ตั้งของ ‘ไข่มุก’ ที่มังกรที่แท้จริงคาบเอาไว้ในปีนั้น ดังนั้นลำคลองหลงซวีก็คือ ‘หนวดมังกร’ สมชื่ออย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าหนวดมังกรสองเส้นบ้างผลุบบ้างโผล่ ซ่อนตัวอยู่บนถนนหลักของเมืองเล็ก บนหนวดมังกรมีซุ้มก้ามปู บ่อโซ่เหล็ก ต้นไหวโบราณ ขยับเคลื่อนไปทางประตูรั้วทางทิศตะวันออกในอดีตอย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่หม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวาจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพแห่งสายน้ำ พวกพ่อปู่แม่ย่าลำคลองอย่างพวกนางก็เหมือนกับเทพแห่งผืนดินที่อยู่ใต้อาณัติของเทพอภิบาลเมืองประจำสถานที่ต่างๆ คือเสมียนน้ำขุนนางในวงการขุนเขาสายน้ำ บนทำเนียบทองหยกของราชสำนัก ยากมากที่จะยกระดับขั้นและระดับความสูงของเทวรูปได้ เพราะถึงอย่างไรลำธารลำคลองภูเขา น่านน้ำและความเล็กใหญ่ของภูเขา ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่แน่นอน อาณาเขตก็ใหญ่เพียงเท่านั้น ไม่มีทางที่จะมีอาณาเขตขุนเขาสายน้ำเพิ่มขึ้นมาเปล่าๆ อีกสามสี่ส่วน
และในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงเส้นทางสายน้ำที่มักจะทอดยาวไปร้อยปี หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยปี ก็มักจะชักนำให้เกิดการตกต่ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำกลุ่มใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่เอี่ยมกลุ่มใหญ่ลุกผงาดขึ้นมา การเคลื่อนย้ายศาลย้ายเทวรูปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำ มักจะยากกว่าการย้ายศาลบรรพจารย์ของจวนเซียนบนภูเขามากนัก หากแม่น้ำลำคลองมีการเปลี่ยนเส้นทาง ท้องน้ำแห้งขอด ระดับน้ำของทะเลสาบลดระดับลง เทวรูปร่างทองของเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งและของหูจวินก็จะต้องเจอกับ ‘ภัยแล้ง’ เช่นเดียวกัน จะต้องเจอแดดแผดเผาจนปริแตก ได้แต่สืบทอดควันธูปต่อไปอย่างถูไถ แต่กลับยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ได้
แต่เมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปต้องดับสูญกันไปนับไม่ถ้วน เมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลง แคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งของต้าหลี เหล่าผู้กล้าทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ ต่างก็พากันชดเชยเสริมตำแหน่ง ‘เทพอภิบาลเมือง’ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละสถานที่ให้ครบถ้วน
เฉินผิงอันกล่าว “ยายหม่าของตรอกซิ่งฮวาผู้นี้ แม้ว่าจะชอบด่าคน แต่จิตใจไม่ได้เลวร้าย เป็นคนขี้ขลาดมาก ปีนั้นที่อยู่ในเมืองเล็กก็เป็นนางที่เชื่อเรื่องผีเรื่องเทพมากที่สุด เรื่องของเตาเผามังกรในปีนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง คนที่มีความแค้นกับข้าอย่างแท้จริงคือพ่อแม่ของหม่าขู่เสวียนที่ละโมบในทรัพย์สินเงินทอง อีกทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตจนติดเป็นนิสัย ดังนั้นหม่าขู่เสวียนถึงได้บอกให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่อาณาเขตของภูเขาเจินอู่ อันที่จริงเดิมทีนี่ก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง เป็นการบอกกับข้าว่าหากข้ามีปัญญาก็ให้ไปหาเรื่องเขาหม่าขู่เสวียนที่ภูเขาเจินอู่เอาเอง”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “นั่นก็เพราะว่าเป็นเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น หม่าขู่เสวียนจะต้องพาหม่าหลันฮวาจากไปพร้อมกันแน่นอน ต่อให้หม่าขู่เสวียนไม่พานางไป ด้วยความขี้ขลาดของหม่าหลันฮวาก็ไม่มีทางอยู่ต่อที่นี่ อีกทั้งข้ายังเดาว่าผู้เฒ่าหยางเคยพูดคุยกับหม่าหลันฮวามาก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หลิวเสี้ยนหยางพลันเอ่ยว่า “หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่เคยไปที่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียนพวกเราเลยสักครั้ง?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง แต่ก็ยังพยักหน้า “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปมาก่อนจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเกิดวันที่เท่าไร?”
เฉินผิงอันตอบ “วันที่ห้าเดือนห้า”
หลิวเสี้ยนหยางอืมรับหนึ่งที โยนหินเข้าไปในแอ่งน้ำลึก “วันปิ่งอู่ของเดือนห้า คือช่วงเวลาที่กลางวันยาวนานที่สุดในใต้หล้า ปราณหยางโชติช่วงที่สุด เหมาะแก่การเซ่นไหว้บวงสรวง เพื่อบอกกล่าวแก่ทวยเทพบนสวรรค์ โดยมีเทพแห่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก เทพแห่งดวงจันทร์เป็นผู้ร่วมเสริม”
“ไม่ว่าจะเป็นซ่งเหอหรือซ่งมู่ อยู่ที่นี่ก็มีแค่ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่มีฉายาว่าซ่งปันไฉคนเดียวเท่านั้น ตอนที่ข้าอยู่ทักษินาตยทวีปเคยขอให้อาจารย์สวี่ช่วยอธิบายตัวอักษรให้ เขาบอกว่าอักษรตี้ (กษัตริย์/ราชา/พระผู้เป็นเจ้า) อันที่จริงก็คือการเอาฟืนที่มัดไว้รวมกัน และยังมีกระจกส่องอัคคีหยางสุ้ย มาใช้ดึงไฟสวรรค์ ในยุคโบราณมีกฎระเบียบที่สูงมาก ซ่งจี๋ซินชื่อนี้ ต้องไม่ใช่ผู้ตรวจการซ่งอวี้จางเป็นผู้ตั้งอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของราชครูต้าหลี เพียงแต่ว่าอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ในทุกวันนี้คงยังไม่รู้ว่า แรกเริ่มนั้นเขาก็คือหมากที่ถูกทอดทิ้ง อาศัยสะพานแบบคานที่สกปรกโสมมซึ่งซ่งอวี้จางสร้างขึ้นกับมือตัวเอง หลังจากช่วยให้โชคชะตาแคว้นของต้าหลีเป็นดั่งลมโชยน้ำขึ้นแล้ว องค์ชายซ่งมู่ที่บนทำเนียบของกองงานเชื้อพระวงศ์เป็นคนตายไปนานแล้วนั้น เดิมทีจะต้องถูกสกุลซ่งต้าหลีใช้เสร็จแล้วโยนทิ้งไป”
“วันที่ห้าเดือนห้า ปันไฉ หยางสุ้ย”
หลิวเสี้ยนหยางพูดมาถึงตรงนี้ก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน “พวกเราสามคน บวกกับโชคชะตาของหลงโจวแห่งนี้ เดิมทีก็เป็น ‘วัตถุดิบวิเศษแห่งสวรรค์’ ที่หร่วนซิ่วใช้หลอมคันฉ่องเปิดฟ้าอยู่แล้ว สามอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณ โชคชะตาหรือเนื้อหนังมังสา ไม่ว่าอะไรก็ตาม สรุปก็คือล้วนหลอมออกมาเป็นคันฉ่องหนึ่งบาน เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าเท่านั้นหรือที่รู้สึกว่ากำลังฝันไป? ข้าเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันเงียบงัน
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เพียงแต่ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร สุดท้ายแล้วแม่นางซิ่วซิ่วก็เปลี่ยนใจ น่าสงสารหลี่หลิ่วที่ต้องมารับเคราะห์แทนพวกเรา”
เพราะความเป็นเทพทั้งหมดของหลี่หลิ่วได้ถูกหร่วนซิ่ว ‘กินเกลี้ยง’ ไปแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ภูเขาทัวเยว่เคยเป็นหนึ่งในสองหอบินทะยาน แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสร่วมมือกับหลงจวิน กวนจ้าวทำลายเส้นทางนั้นทิ้ง ดังนั้นหอบินทะยานของผู้อาวุโสหยางจึงเป็นเส้นทางเดินขึ้นฟ้าเพียงเส้นเดียว”
ดังนั้นแผนการของโจวมี่ อันที่จริงคือจับจ้องหอบินทะยานในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้มานานแล้ว
สามารถยึดครองใต้หล้าไพศาลได้ย่อมดีที่สุด แต่หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างพ่ายแพ้ ถ้าอย่างนั้นโจวมี่ก็มีโอกาสแหวกฟ้าจากไป กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ของสรวงสวรรค์เก่า
มหาสมุทรความรู้โจวมี่ หนึ่งในเทพสูงสุด
เบื้องหลังของโจวมี่นอกจากผู้ฝึกตนเพียงหยิบมือที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับมาจุติใหม่แล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาทัวเยว่จำนวนมากกว่า
ดังนั้นช่วงหลังของสงคราม การโจมตีของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงได้แสดงให้เห็นถึงความไร้ระเบียบ การต่อสู้สามแนวเส้นบุกรุดหน้าไปพร้อมกัน คล้ายกับว่าในเมื่อไหแตกไปแล้วก็ทุ่มให้มันแหลกไปเสียเลย
บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ถึงได้สละตบะและขอบเขตทั้งหมดอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องสร้างความปั่นป่วนให้กับกระแสน้ำแห่งกาลเวลาและ ‘มาตรฐานในการวัดความยาว ความจุและน้ำหนัก’ ทั้งหมดของสองใต้หล้าให้จงได้ ในบางความหมายแล้ว นั่นคือ ‘ฟ้าอำนวยบนมหามรรคา’ ของสองใต้หล้าที่ปะทะกันเป็นครั้งแรก
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ร้านตระกูลหยางไม่มีตาเฒ่านั่งสูบยาอยู่อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นข้อสงสัยมากมาย เจ้าล้วนสามารถถามให้ชัดเจนได้มากกว่านี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องถามแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างจนใจ “พวกเราสามคนนั้นไม่ต้องพูดถึง ล้วนเป็นคนของที่นี่ ประเด็นสำคัญคือแม่นางเซอเยว่ นางมาที่นี่ได้อย่างไร? เจ้าอย่าทำเป็นแกล้งโง่กับข้า ข้าบอกไปแล้วว่า เพื่อบอกกล่าวแก่ทวยเทพบนสวรรค์ โดยมีเทพแห่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก เทพแห่งดวงจันทร์เป็นผู้ร่วมเสริม ‘ดวงจันทร์ร่วมเสริม’!”
เฉินผิงอันเอ่ย “นี่คือการประลองหมากล้อมระหว่างชุยฉานกับมหาสมุทรความรู้โจวมี่ เป็นการ…ถามใจกับแม่นางซิ่วซิ่ว”
อันที่จริงการคาดเดานี้ของเฉินผิงอันใกล้เคียงกับความจริงมากแล้ว
ปีนั้นฉีจิ้งชุนปรากฏตัวที่ศาลของลำน้ำใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ร่วมมือกับชุยฉานวางแผนเล่นงานโจวมี่อย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นฉีจิ้งชุนยังเคยเอ่ยว่า เดิมทีเขาสามารถทำหน้าที่เป็น ‘เทพทวารบาล’ ได้ ซึ่งก็หมายความว่าความคิดแรกเริ่มสุดของเขาไม่ใช่ร่วมมือกับชุยฉานถามมรรคาต่อโจวมี่ แต่เป็นการวางแผนต่อหมื่นหนึ่งบางอย่างที่ใหญ่อย่างถึงที่สุด โดยแรกสุดฉีจิ้งชุนจะปรากฏตัวที่หน้าประตูใหญ่ของหอบินทะยาน ขัดขวางการเปิดฟ้าและเดินขึ้นฟ้าของทุกคน
แต่สุดท้ายแล้วฉีจิ้งชุนก็เลือกที่จะเชื่อชุยฉาน ล้มเลิกความคิดนี้ไป หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ฉีจิ้งชุนยอมรับในคำกล่าวหนึ่งที่ชุยฉาน ‘พูดอย่างไม่ใส่ใจ’ กับเฉินผิงอันบนหัวกำแพงเมือง คำกล่าวที่ว่า ใต้หล้าสงบสุขแล้วหรือ? ใช่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถนอนหนุนหมอนสูงอย่างไร้กังวลได้แล้วหรือ ข้าว่าไม่แน่เสมอไป
ในระหว่างนี้หยางเหล่าโถวชิงถงเทียนจวินที่มีหอบินทะยานอยู่ในมือ การเลือกของเทพวารีหลี่หลิ่ว รวมไปถึง ‘ผู้อาวุโส’ ท่านนั้นที่อยู่บนสะพานโค้งสีทอง ท่ามกลางการวางแผนของชุยฉาน อันที่จริงพวกเขาต่างก็ได้ทำการเลือกของตัวเองไว้นานแล้ว
เพียงแต่ว่าความลับเหล่านี้ เว้นเสียจากมีคนเปิดฟ้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่หน้าหนึ่งที่ไม่มีคนไปเปิด แล้วก็เปิดไม่ได้ด้วย
อาจารย์ฉีจากไปแล้ว บนโลกไม่มีซิ่วหู่อยู่อีก ส่วนหยางเหล่าโถวก็เป็นไปตามคำทำนายของลู่เฉินที่บอกว่า ‘ท่านจมสู่หวงเหอ ท่านอย่าได้โทษฟ้า’
การช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟที่เกิดขึ้นอีกครั้งในอีกหมื่นปีให้หลัง หลี่หลิ่วพ่ายแพ้อีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ยังสูญเสียความเป็นเทพทั้งหมดไป และการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงครั้งนี้ อันที่จริงหลี่หลิ่วไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าตอนที่หร่วนซิ่วมาหานาง หลี่หลิ่วไม่ได้เอ่ยอะไรด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่ว่าตอนนั้นนางมองสตรีชุดเขียวที่คล้ายกับว่าความเป็นคนได้หลุดพ้นจากนางไปหมดสิ้นแล้ว หลี่หลิ่วที่เลือกจะดึงความเป็นเทพทั้งหมดออกมาจึงมองหร่วนซิ่วด้วยสายตาฉายแววเวทนา
ก่อนหน้านั้นท่ามกลางตัวอักษรใหญ่สี่คำที่แกะสลักบนหน้าผาว่า ‘ฟ้าสร้างเซินสิ่ว’ พวกนางเคยพูดคุยกันซึ่งจบลงด้วยความไม่เบิกบาน
หลี่หลิ่วที่ ‘ไม่ค่อยรู้จักวางตัวเป็นคน’ ทำตัวเป็นคนอย่างแท้จริง หร่วนซิ่วที่ ‘นิสัยดีอย่างมาก’ กลับเปิดฟ้าจากไป
สายตาของเฉินผิงอันมืดทะมึน มองประสานกับบ่อน้ำที่ดำมืด
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “เรื่องของการถามกระบี่ต่อสองสถานที่ ไม่อาจให้เจ้ามีหน้ามีตาเพียงคนเดียวได้ เจ้าไปที่นครลมเย็น เรื่องของเสื้อเกราะโหวจื่อที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แม้จะบอกว่านครลมเย็นตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าบังคับซื้อบังคับขาย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นข้าที่ตอบตกลงเองกับปาก ขนาดข้ายังไม่คิดจะทวงคืนกลับมา เจ้าก็แค่อธิบายเหตุผลให้ชัดเจนก็พอแล้ว ใช้เหตุผลเป็นเรื่องที่เจ้าถนัด ข้าไม่ถนัด เอาเป็นว่าเรื่องของแคว้นหูทำให้เจ้าผูกปมแค้นกับสกุลสวี่ลึกล้ำขนาดนั้น ดังนั้นเจ้าไปนครลมเย็นจึงค่อนข้างเหมาะสม ข้าแค่ไปถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงครั้งหนึ่งก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ได้สิ จะไปตอนไหน เจ้าบอกกับข้าล่วงหน้าก่อน เพราะถึงอย่างไรต้องออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าก็ต้องปรึกษากับพี่สะใภ้ของเจ้าให้ดีๆ ก่อน”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่รับรองว่ามากสุดไม่เกินสองปี ก่อนหน้านั้นข้าอาจจะไปเยือนอาณาเขตของขุนเขากลางสักรอบหนึ่ง ไปดูสถานที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาตะวันเที่ยงสักหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางได้ยินเช่นนี้ก็ให้รำคาญใจ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างเร่งร้อนว่า “ข้าต้องกลับไปแล้ว พี่สะใภ้ของเจ้าจะได้ไม่ต้องรอนาน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนตามไปด้วย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลับร้านไปด้วย? จะได้ทำอาหารให้พวกเจ้าสักมื้อ ถือเสียว่าเป็นของขวัญแทนคำขอขมา”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือไปกดข้างแก้มของเฉินผิงอันแล้วผลักออกแรงๆ “ไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อย เจ้าเด็กนี่ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนคนประเภทที่ว่า ‘พี่สะใภ้ของข้าหน้าตางดงามมากจริงๆ พวกเราสองพี่น้องต้องเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไปชั่วชีวิต’ วันหน้าจะต้องป้องกันเจ้าสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจเหมือนอย่างวันนี้อีก ข้าเพิ่งจะออกจากบ้านไปซื้อเหล้า กลับบ้านมาเห็นก็ใจหายแวบ ดีนักนะ เจ้าเด็กนี่กำลังเรียนรู้เอาจากนักพรตบัดซบที่ตั้งแผงดูดวง ยิ้มตาหยีดูลายมือให้พี่สะใภ้เจ้าเสียได้…”
เฉินผิงอันหัวเอียงไปข้าง หน้าดำทะมึน
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ จู่ๆ ก็ยื่นมือมารัดคอเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ปีนั้นเจ้าที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของตรอกหนีผิงชอบนั่งฟังเรื่องแบบนี้ที่มุมกำแพงทุกวัน ข้าไม่เคยเล่าให้ใครฟัง อายุน้อยๆ ทว่าอากาศหนาวเหน็บบนก้นกลับสามารถย่างแผ่นแป้งได้ เรี่ยวแรงมหาศาลบนร่างไม่มีที่ให้ปลดปล่อย อันที่จริงก็พอจะเข้าใจได้”
เฉินผิงอันพูดหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ขอบคุณที่เตือน”
——