กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 773.1 พกกระบี่บินทะยาน
เฉินผิงอันหาโรงแรมที่คึกคักแห่งหนึ่งเข้าพัก ยังต้องจ่ายเงินด้วยเงินและทองธรรมดา คนเข้าพักสามคนค้างแรมสามคืน รวมเป็นเงินสองตำลึงกับอีกแปดเฉียน ลูกจ้างร้านหยิบตาเต็งชั่งน้ำหนักออกมา ใช้กรรไกรเล็กตัดก้อนเงินให้กลายเป็นเศษเงินด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย
เฉินผิงอันเห็นวัตถุชิ้นนี้ อยู่ๆ ก็ไพล่นึกไปถึงของชุดนั้นในร้านตระกูลหยางในอดีต นอกจากใช้ตัดเศษเงินยามที่มีการค้าขายแล้ว ยังเอาไว้ชั่งน้ำหนักสมุนไพรล้ำค่าหายากบางส่วนที่ราคาสูงด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันตอนเด็กเห็นพวกลูกจ้างร้านยินดีระดมพลหยิบเอาวัตถุชิ้นนี้ออกมาชั่งสมุนไพรบางชนิด เด็กชายที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ยืนอยู่ด้านล่างโต๊ะคิดเงินตัวสูงก็จะรีบเม้มปาก มือสองข้างกำเชือกสองเส้นแน่น ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นพิเศษ รู้สึกเพียงว่าเหน็ดเหนื่อยมากเกินครึ่งวัน ต่อให้จะต้องถูกลมพัดฝนตกตากแดดอะไรก็ล้วนไม่นับเป็นอะไรได้แล้ว
ความคิดหลากหลายแล่นเร็วอย่างที่มิอาจควบคุม เพราะว่าตาเต็งตรงหน้านี้เป็นวัตถุสำหรับใช้ช่างน้ำหนัก เฉินผิงอันจึงนึกไปถึงระดับการวัดเวลาและการชั่งวัดของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ขึ้นมาอีก จากนั้นก็คิดไปถึงผู้ฝึกลมปราณที่เป็นมังกรข้ามแม่น้ำกลุ่มที่ซ่งจี๋ซินพูดถึงตอนอยู่ศาลลำน้ำใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะว่าบนโต๊ะคิดเงินของโรงเตี๊ยมมีตาเต็งชั่งน้ำหนักนี้อยู่ ถาดตาชั่งและคันไม้อูมู่ และยังมีลูกตุ้มโลหะอีกหลายลูก เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นของธรรมดาทั่วไปล่างภูเขา ดังนั้นหลังจากเหลือบมองไปครั้งหนึ่งแล้ว เฉินผิงอันจึงสังเกตเห็นว่ามันก็เหมือนกับหนังสือในนครเถียวมู่ที่ต่างก็ไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้จริง เขาจึงไม่ได้คิดมากและไม่มองมากอีก
ตัวเผยเฉียนนั้นมีตาเต็งชั่งน้ำหนักอยู่ชุดหนึ่ง ลูกตุ้มสองลูกในนั้นยังถูกนางแกะสลักคำว่า ‘ไม่เคยขาดทุน’ (ฉงปู้เผยเฉียน) ‘อนุญาตให้แค่หาเงินได้เท่านั้น’ (จื่อสวี่เจิงเฉียน) ดังนั้นเวลานี้จึงเหมือนกับพบเจอคนรู้จักในต่างบ้านต่างเมือง เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติ เผยเฉียนจึงตั้งใจมองมันมากกว่าเฉินผิงอัน มองอย่างละเอียด แล้วจู่ๆ นางก็พลันกระซิบกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์พ่อ ตาเต็งชุดนี้ใช้ไม้ฉิวเจี่ยว ครอบครัวคนธรรมดาไม่สามารถใช้ได้”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เกินครึ่งคงเป็นตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูงที่ตกอับ ของชิ้นนี้จึงพลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน น่าเสียดายที่ต่อให้วัสดุจะล้ำค่าแค่ไหน ของชิ้นนี้ก็เป็นเพียงภาพมายา พวกเราเอากลับไปด้วยไม่ได้”
เผยเฉียนพยักหน้า คิดแล้วก็ถามอีกว่า “บนคานของตาชั่งยังมีตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่ง ‘ซานหยางต้าฟาง คลังในสร้างด้วยความเคารพ’ อาจารย์พ่อ นี่พูดถึงเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในเมื่อเป็นการสร้างจากคลังใน นั่นก็แสดงว่าต้องเป็นของในวังแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นของราชวงศ์ไหน”
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ อีกเดี๋ยวพวกเราเข้าพักในโรงเตี๊ยมเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปที่ร้านหนังสือขายจารึกประวัติศาสตร์จังหวัดเพียงลำพังรอบหนึ่ง ไปตรวจสอบดูว่าอะไรคือ ‘ซานหยางต้าฟาง’ นะ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ใต้หล้านี้มีความรู้มากมายหลากหลาย สมกับคำว่ามหาสมุทรความรู้กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าในเมื่อเผยเฉียนยินดีจะไปสืบเสาะ แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่คิดจะปฏิเสธความตั้งใจใฝ่หาความรู้ของนางอย่างแน่นอน เขาจึงพยักหน้ารับ “ได้สิ”
ขอห้องมาจากทางโรงเตี๊ยมสองห้อง เฉินผิงอันพักคนเดียวห้องหนึ่ง หลังจากเข้ามานั่งในห้องแล้วก็เปิดห่อสัมภาระผ้าฝ้ายวางไว้บนโต๊ะ เผยเฉียนมาบอกกล่าวกับอาจารย์พ่อที่ห้องแล้วก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง ไปที่ร้านหนังสือในนครเถียวมู่ เพื่อตรวจสอบประวัติความเป็นมาของ ‘ซานหยางต้าฟาง’ อันแปลกประหลาดที่แกะสลักไว้นี้ ส่วนหมี่ลี่น้อยนั้นวิ่งเข้าห้องไปแล้วก็เอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่รักไปวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นนางก็มายืนอยู่บนม้านั่งตัวยาวข้างกายเฉินผิงอัน ตรวจดูสมบัติที่เก็บตกมาได้เป็นเพื่อนเจ้าขุนเขาคนดี แม่นางน้อยจับจ้องตาเป็นมันอยู่บ้าง ถามว่าสามารถเล่นได้ไหม? เฉินผิงอันที่กำลังอ่านสมุดเล่มที่คนเคราหยิกมอบให้มาเพิ่มเติมพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม หมี่ลี่น้อยจึงหยิบขึ้นมาเบาๆ แล้ววางลงเบาๆ ไม่ได้รู้สึกสนใจม้วนภาพและที่ทับกระดาษสักเท่าไร สุดท้ายก็เริ่มชื่นชมอ่างเซียนน้ำที่หมายตาไว้ตั้งแต่แรก สองมือชูมันขึ้นสูง ปากก็พูดชมเชยไม่หยุด นางยังเอาหน้าไปถูอ่างกระเบื้องที่เย็นนิดๆ เบาๆ ด้วย เย็นฉ่ำจริงๆ เลย
เฉินผิงอันเปิดหน้าสมุดอ่านพลางยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าชอบก็ยกให้เจ้าเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าอ่างน้อยนี่เป็นของปลอม เอาไปด้วยไม่ได้ เจ้าสามารถเล่นอยู่บนเรือได้สองสามวันเท่านั้น ถึงเวลานั้นอย่าเสียใจล่ะ”
อ่างกระเบื้องใบนี้มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ในสมุดเล่มที่คนเคราดกมอบให้ถูกขนานนามให้เป็นถ้ำฝึกตนเซียนน้ำ ตรงก้นด้านล่างมีคำว่า ‘เผ่าพันธุ์น้ำแปดร้อย’ ดูเหมือนว่าจะเป็น ‘ญาติ’ กับโถใส่น้ำชุบทองใบเล็กใบนั้น สามารถมองเป็นจวนวารีตามธรรมชาติแห่งหนึ่งได้ คล้ายคลึงกับตำหนักวารีและเรือมังกรที่หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชที่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกจูเหลี่ยนในอดีตจึงงมขึ้นมาได้อย่างลับๆ น่าเสียดายที่อ่างเซียนน้ำเองก็เป็นภาพมายาลวงตาที่เกิดจากการหล่อหลอมของเซียนซือเท่านั้น
หมี่ลี่น้อยประคองอ่างเซียนน้ำใบนั้นเอาไว้ ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าแค่เห็นแล้วรู้สึกชอบเท่านั้น ก็เลยมองดูให้มากสักหน่อย ต่อให้อ่างน้ำใบน้อยเป็นของจริง ข้าก็ไม่ต้องการหรอก ไม่อย่างนั้นเอากลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันต้องกังวลว่าจะถูกคนขโมย จะถ่วงรั้งการลาดตระเวนภูเขาของข้าได้นะ”
เฉินผิงอันเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นซ้ำกลับไปกลับมาหลายรอบ เนื้อหาด้านในมีไม่เยอะ อีกทั้งเขาเองก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ
ดูจากบันทึกอย่างละเอียดมากมายที่มีเกี่ยวกับวัตถุเหล่านี้ในหนังสือ ไม่เพียงแต่อ่างเซียนน้ำเท่านั้น กิ่งดอกเหมยที่แห้งเหี่ยวซึ่งถูกมัดไว้ด้วยกัน แม้กระทั่งที่ทับกระดาษไม้อูมู่แบบ ‘ซูเย่’ รวมไปถึงกระถางดอกไม้งมดวงจันทร์ลักษณะแปลกประหลาดและม้วนภาพ ‘ประทินโฉม’ นั้น ล้วนเป็นเพียงแค่หนึ่งในจุดเชื่อมต่อของเบาะแสแห่งโชควาสนา เป็นแค่สะพานที่เชื่อมโยงเรื่องอีกสองเรื่องที่เหลือเท่านั้น ร้านผ้าห่อบุญของจางซานบุรุษเคราดก อันที่จริงมีเพียงแค่ธนูโบราณ ‘อวิ๋นเมิ่งฉางซง’ คันนั้นเท่านั้นที่เป็นของจริงแท้แน่นอน ซึ่งเฉินผิงอันได้มาครองในมือแล้ว เพียงแต่ยังคงยากที่จะตัดสินได้ว่าระดับขั้นคือเท่าไร อีกทั้งเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าธนูคันนี้ค่อนข้างจะร้อนลวกมือด้วย
ส่วนโถน้ำชุบทองใบเล็กที่เป็นเหมินไห่ในวังหลวงใบนั้น ไม่รู้ว่านักพรตวัวดำทำอย่างไรถึงสามารถส่งมอบอย่างไม่ทำลายกฎเกณฑ์ให้กับเส้าเป่าเจวี้ยนที่เป็นผู้ตอบคำถามได้ จากนั้นก็จะได้รับโชควาสนาที่เป็นของจริงแท้แน่นอนเรื่องหนึ่ง เมื่ออยู่ในนครชุยก่งที่มีกษัตริย์ราชารวมตัวมากมาย เส้าเป่าเจวี้ยนก็จะสามารถขอการ ‘แต่งตั้งอย่างถูกต้อง’ ในบางความหมายมาได้ เปลี่ยนจากโถน้ำของปลอมเป็นของจริง น้ำในโถจะตื้นหรือลึกก็ต้องดูความสามารถในการขอตำแหน่งที่เส้าเป่าเจวี้ยนมีต่อฮ่องเต้บางท่านของนครชุยก่งผู้ซึ่ง ‘ปากอมกฎสวรรค์’ แล้ว ในตำราเอ่ยว่า วัตถุชิ้นนี้สามารถช่วยเสริม ‘ข้องราชามังกร’ ข้องราชามังกรสามารสยบกำราบเผ่าพันธ์เจียวหลงในใต้หล้าได้ แต่เหมินไห่กลับสามารถใช้ปราณมังกรมาเป็นเหยื่อในการหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์น้ำในใต้หล้าได้ เลี้ยงไว้ในโถน้ำ คือการ ‘เดินลงน้ำครึ่งหนึ่ง’ อย่างที่กล่าวถึงบนภูเขา หนึ่งจับหนึ่งเลี้ยง ประสานกันได้อย่างรัดกุมไร้ช่องโหว่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าพอกลับไปถึงทะเลสาบคนใบ้ของอุตรกุรุทวีป พวกเราสามารถอยู่ที่นั่นหลายๆ วันหน่อย ดีใจหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มจนหุบปากไม่ลง แต่กลับเอ่ยว่า “เฉยๆ น่ะ ดีใจเท่าปากชามเท่านั้น”
นางวางอ่างเซียนน้ำลงบนโต๊ะ ฟุบตัวนอนคว่ำ เอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยคว่า “ถ้ากลับภูเขาลั่วพั่วก็จะดีใจเท่าโต๊ะแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ศิษย์พี่จั่วของข้านิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนแปลกหน้าที่ยิ่งคุยด้วยยากมาก ต่อให้อยู่กับศิษย์น้องเล็กเช่นข้า ศิษย์พี่จั่วก็ไม่เคยยิ้มให้ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเขาชอบหมี่ลี่น้อยมากเป็นพิเศษ”
หมี่ลี่น้อยใช้คางค้ำไว้บนแขน ถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาคนดี เจ้าคิดถึงฮูหยินเจ้าขุนเขาบ้างไหม?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ พยักหน้าเอ่ย “ต้องคิดถึงแน่อยู่แล้ว”
หมี่ลี่น้อยยิ้มตาหยี เอ่ยว่า “แต่ข้าว่าไม่เหมือนเลยนะ”
เฉินผิงอันวางตำราลง หยิบที่ทับกระดาษไม้อูมู่มาถือเล่นในมือ พูดเหมือนหยอกเย้าว่า “ต้องทำให้ตัวเองไม่คิดถึงมากขนาดนั้น ถึงจะไม่คิดถึงมากขนาดนั้น เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเล่นแง่ “เจ้าขุนเขาบอกว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ”
เฉินผิงอันอ่านหนังสือจบแล้ว อันที่จริงตอนนี้ก็เท่ากับว่าเขาได้สืบทอดร้านผ้าห่อบุญมาจากชายเคราดก อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ก็สามารถตั้งแผงต้อนรับลูกค้าได้แล้ว
ลุกขึ้นยืน วางที่ทับกระดาษไม้อูมู่ลง เฉินผิงอันคีบยันต์ส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมา ยันต์ลอยอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ลุกไหม้ช้าๆ จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้าต่าง ก่อนหน้านี้ตอนที่ยื่นส่งตำราไปให้ มียันต์แผ่นหนึ่งเหน็บอยู่ด้านใน ตอนนั้นคนเคราหยกรับหนังสือไปก็รู้ชัดเจนดีอยู่แก่ใจ แต่กระนั้นก็ยังคงช่วยเขาปิดบังเอาไว้ ไม่ได้หยิบออกแล้วส่งคืนให้กับเฉินผิงอัน นี่หมายความว่าการกระทำนี้ของเฉินผิงอันไม่ได้ทำลายกฎเกณฑ์ของเรือราตรี รอกระทั่งชายเคราดกขี่ลาออกนอกเมืองไป ยันต์ที่อยู่ในหนังสือแผ่นนั้นก็เหมือนวัวปั้นดินที่จมลงสู่ทะเล หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่ชนกำแพงก็ไม่มีทางรู้ว่าเส้นแบ่งของกฎเกณฑ์นั้นอยู่ที่ไหน
ครั้งนี้หลังจากที่เฉินผิงอันขึ้นมาบนเรือราตรีก็ยังคงเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม โดยภาพรวมแล้วก็ยังทำตามกฎเกณฑ์ ทว่าเรื่องราวที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างก็ยังคงต้องทดลองทำ อันที่จริงนี่ก็ไม่ต่างจากการตกปลาสักเท่าไร จะต้องทำเหยื่อตกปลาขึ้นมาก่อน แล้วก็ต้องรู้เสียก่อนว่าจะตกปลาน้ำตื้นหรือน้ำลึก แล้วนับประสาอะไรกับที่การตกปลาตัวใหญ่ก็มีความรู้ของการตกปลาตัวใหญ่ การตกปลาตัวเล็กก็มีวิธีของการตกปลาตัวเล็ก แรกเริ่มนั้นเป้าหมายของเฉินผิงอันเรียบง่ายมาก นั่นก็คือช่วยเหลือผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ออกไปจากเรือราตรี กลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลด้วยกันภายในหนึ่งเดือน ผลคืออยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้ ตอนแรกก็มีเส้าเป่าเจวี้ยนที่วางกับดักเล่นงานเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมาก็มีหลี่สือหลางที่รับแขกด้วยสีหน้าบึ้งตึง เฉินผิงอันก็ยังไม่คิดจะเชื่อจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็มาลองงัดข้อกันดูสักหน่อย
เฉินผิงอันนับเลขอยู่ในใจเงียบๆ ตอนที่หมุนตัวกลับมา ยันต์ส่องไฟแผ่นหนึ่งก็เผาไหม้จนหมดสิ้นพอดี ไม่ต่างจากตอนที่เข้าเมืองก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่มีความคลาดเคลื่อนเลยสักเสี้ยว
ก่อนหน้านี้นักพรตเฟิงจวินที่อยู่บนเส้นทางภูเขาเหนี่ยวจวี่ในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายโคจรมาพบเจอกับบนทางแคบ คงเป็นเพราะเฉินผิงอันแสดงความเคารพนอบน้อมต่อผู้อาวุโสมาโดยตลอด สะสมโชคชะตาที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอยมาไว้ไม่น้อย ไปๆ มาๆ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้ลงมือประลองเวทกระบี่หรือมรรคกถาอะไรกัน หลังจากที่พูดคุยกันอย่างปรองดองแล้ว กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันใช้ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งวาดขึ้นมาชั่วคราวมาทำการค้ากับนักพรตวัวดำผู้นั้น ภาพห้าขุนเขาที่เฉินผิงอันวาดออกมา รูปแบบและลักษณะล้วนเก่าแก่อย่างมาก มีความต่างจากภาพห้าขุนเขาทั้งหมดในยุคหลังของใต้หล้าไพศาลไม่น้อย ภาพจริงของห้าขุนเขาในอดีตนั้นเป็นอาจารย์จ้งที่ได้ไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ภายหลังมอบให้เฉาฉิงหล่างเก็บรักษาเอาไว้ จากนั้นจึงนำไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวของภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน
ในที่สุดเฟิงจวินก็ได้สมใจปรารถนา เขาปลาบปลื้มยินดีอย่างมาก สำหรับคนหนุ่มเด็กรุ่นหลังที่คล้ายกับเป็นดาวนำโชคของเขาอย่างเฉินผิงอันนี้ นักพรตเฒ่าร่างผอมแห้งก็ยิ่งโปรดปรานมากเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน บวกกับที่เฉินผิงอันรู้ว่าเฟิงจวินเพียงแค่เดินทางไปเยือนนครแห่งอื่นเท่านั้น จึงให้นักพรตเฒ่าช่วยนำกระบี่ยาว ‘เย่โหยว’ เล่มนั้นไปยังนครแห่งอื่น ไม่เพียงเท่านี้ นักพรตเฒ่าที่อารมณ์ดีอย่างยิ่งยังเป็นฝ่ายเสนอว่าจะทำการค้าเล็กๆ เพิ่มเติมอีกสองสามอย่างกับเฉินผิงอัน ทั้งสองฝ่ายมีการถามตอบกัน เฟิงจวินจึงบอกความลับของเรือข้ามฟากสองสามเรื่องแก่เฉินผิงอัน แน่นอนว่าเฟิงจวินเล่าแค่เรื่องที่สามารถเล่าได้ ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางการออกจากเรือ รวมไปถึงวิธีการออกจากเมืองและเปลี่ยนเมือง เส้าเป่าเจวี้ยนเป็นเจ้านครได้อย่างไร ส่วนข้อที่ว่ากลายมาเป็นเจ้านครของนครหนึ่งแล้วมีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง เทพเซียนผู้เฒ่ากลับทำเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
‘เย่โหยว’ กระบี่ยาวที่ไม่อยู่ข้างกายเล่มนั้น จิตของเฉินผิงอันสัมผัสถึงมันได้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับว่าท่ามกลางม่านราตรีมืดดำมีแสงตะเกียงดวงหนึ่งส่ายไหวอยู่ไกลๆ เฉินผิงอันที่เป็นคนเดินทางจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ขอแค่เฉินผิงอันตัดสินใจเด็ดขาดใช้หนึ่งกระบี่ฟันฟ้าดินของเรือข้ามฟาก ทั้งสองฝ่ายมีการขานรับกันอยู่ไกลๆ เฉินผิงอันก็มั่นใจว่าจะทั้งสามารถให้เผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยออกไปจากเรือข้ามฟากก่อน ขณะเดียวกันตัวเองก็สามารถไปยังนครที่เฟิงจวินอยู่ แล้วเที่ยวเล่นอยู่บนเรือราตรีลำนี้ได้ต่อไป ถึงเวลานั้นค่อยให้เผยเฉียนย้อนกลับไปยังเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาพาตี้ ที่อุตรกุรุทวีปแห่งนั้น สหายที่เฉินผิงอันรู้จัก ผู้อาวุโสที่เฉินผิงอันเคารพนับถือ อันที่จริงมีไม่น้อยเลย
หมี่ลี่น้อยยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาว นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เบิกบานสุดขีด ยกสองมือน้อยบังข้างปาก หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาคนดี พวกเราสองคนได้ออกท่องยุทธภพด้วยกันอีกแล้วนะ คราวนี้พวกเราไปเจอเทพเซียนกลางภูเขาที่จวนเซียนแห่งนั้นอีกรอบกันดีกว่า เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกคนไล่ออกมาเพราะแต่งกลอนไม่เป็นอีกล่ะ”
——