กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 773.3 พกกระบี่บินทะยาน
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ เข้าใจทันทีว่าเหตุใดตนถึงได้เห็นตาเต็งชั่งน้ำหนักในโรงเตี๊ยม แล้วเหตุใดถึงเกือบจะพลาดโชควาสนานี้ไป มหามรรคาของเฉินผิงอันใกล้ชิดกับสายน้ำ รวมไปถึงตำราเกี่ยวกับศาสตร์การคำนวณทั้งหลายที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อของตนที่อาจจะเป็นหนึ่งในเส้นสายเหล่านั้น แต่ตำราลัทธิเต๋าที่มอบให้ไปในนครเถียวมู่วันนี้ เกินครึ่งอาจเป็นสาเหตุต้นตอที่ว่าเหตุใดเห็นกันแล้วจึงไม่รู้จัก ไม่คิดจะมองให้มากแม้สักแวบเดียว หากไม่เป็นเพราะเผยเฉียนยืนกรานว่าจะไปตรวจสอบหาตำรา เฉินผิงอันคงไม่มีทางสนใจตาเต็งอันนั้น หรือแม้แต่บนคานชั่งน้ำหนักมีตัวอักษรอะไรสลักไว้ก็คงมองไม่เห็นไปแล้ว
ส่วนเผยเฉียนนั้นได้ครอบครองตาเต็งชั่งน้ำหนักครบชุดอยู่ชุดหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นโชควาสนาที่ถือว่าเป็นผลกรรมอย่างหนึ่งของนาง นางจึงมองเห็นตัวอักษรประโยคนั้น
ธนูเล็กอวิ๋นเมิ่งฉางซงคันนั้นร้อนลวกมือจริงเสียด้วย นี่จะหมายความว่าเส้นสายผลกรรมทั้งหลายในใต้หล้าไพศาลที่เป็นมายาล่องลอย จะมีหรือไม่มีก็ได้นั้น เมื่อมาอยู่บนเรือราตรีแห่งนี้จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างถึงที่สุดหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นนักพรตวัวดำ จ้าวเหยาจ้างรถม้าเทียมวัวนั่งออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งเป็นภาพบรรพบุรุษของพื้นที่มงคลดอกบัว ชายเคราดก ลาขาเป๋ เรื่องเล่าในยุทธภพที่เผยเฉียนเคยอ่านเจอเขาจากในตำรา ตอนที่เผยเฉียนยังเด็กก็มักจะติดใจว่าอยากมีลาตัวหนึ่งออกไปท่องยุทธภพร่วมกัน อาจารย์อู่ซงแห่งร้านขายอาวุธ ปลายกระบี่ไท่ป๋ายกระบี่เซียนของป๋ายเหย่ กระบี่พกเย่โหยว…
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดไม่พูดไม่จา ถามเสียงเบา “มีปัญหาหรือ?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ตรงกันข้ามกันเลย นี่ช่วยคลายข้อสงสัยที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งในใจของอาจารย์พ่อไปได้พอดี เริ่มจะพอรู้เบาะแสของวิถีการโคจรเรือข้ามฟากลำนี้แล้ว”
อันที่จริงเดิมทีเฉินผิงอันได้ถูกปมเชือกที่พัวพันกันยุ่งเหยิงของนครเถียวมู่ปิดบังสมมติฐานอย่างหนึ่งก่อนหน้านี้ไปแล้ว
ตอนนี้เขายิ่งมั่นใจว่ากุญแจสำคัญของเรือราตรีลำนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นปัญญาชนที่คุยโวโอ้อวดท่ามกลางม่านราตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุอีกคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่บนเรือเช่นเดียวกันและยังยื่นขาออกมากลางเรือผู้นั้น
รวมไปถึงคนพายเรือที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางไปคิดถึงมากนักคนนั้น!
เฉินผิงอันเปิดสมุดเล่มที่บุรุษเคราดกมอบให้อีกครั้ง เริ่มใคร่ครวญช้าๆ
เรือราตรีมีนครทั้งหมดสิบสองแห่ง ในบรรดานั้นมีนครบนสี่แห่ง ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมีนครกลางและนครล่างอีกอย่างละสี่แห่ง
นครเถียวมู่นอกจากเจ้านครหลี่สือหลางแล้วยังมีรองเจ้านคร นครแห่งอื่นก็น่าจะเป็นประมาณเดียวกันนี้ จะต้องมีเจ้านครหลักและรองเจ้านคร
นครชุยก่งที่มีกษัตริย์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน ในนั้นมีสถานที่ที่เรียกว่าหลบร้อนร่มเย็นซึ่งอยู่ตรงตีนเขาทิศเหนือของภูเขาหลีซานซึ่งเป็นสถานที่ที่ซุกซ่อนโชควาสนาถัดไปที่เกี่ยวพันกับม้วนภาพเอาไว้ นครจีเฉวี่ยนที่ ‘ผู้พิทักษ์ซงแยน’ หลงปินอยู่อาศัยก็ซ่อนเบาะแสของโชควาสนาเกี่ยวกับ ‘ตำรากว่างหลิงหยุดหายใจ’ เอาไว้
ตอนที่อยู่ร้านหมิงเจีย เถ้าแก่หนุ่มที่เคยมีการ ‘โต้แย้งหาวเหลียง’ กับเจ้าลัทธิสามลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิงถึงกับเสนอว่าจะใช้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หาวเหลียงลูกหนึ่งมาช่วยเฉินผิงอันบุกเบิกนครแห่งใหม่ นี่หมายความว่านครหลายแห่งบนเรือข้ามฟาก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่มีจำนวนที่กำหนดไว้แน่นอน ไม่อย่างนั้นความเป็นไปได้ที่จะใช้หนึ่งแลกหนึ่งก็น้อยเกินไป เพราะจะไปผิดต่อวัตถุประสงค์หลักของการรวบรวมความรู้ในใต้หล้าของเรือราตรีลำนี้ บวกกับถ้อยคำของเส้าเป่าเจวี้ยนที่เขาเอามาปะติดปะต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุพเพวาสนาระหว่างภิกษุหาบของกับหญิงชราขายขนมอบที่เผยให้เห็นกฎเกณฑ์มหามรรคาของฟ้าอำนวยดินอวยพรได้หลายส่วน เทพเซียนมีชีวิตส่วนใหญ่บนเรือข้ามฟาก ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำ การกระทำหรือร่องรอย ดูเหมือนว่าจะเวียนมาบรรจบซ้ำไปซ้ำมา ท่ามกลางกลุ่มคนในท้องถิ่นของเรือข้ามฟากเอง จึงเหลือคนเพียงหยิบมือซึ่งเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นในนครเถียวมู่แห่งนี้ เฟิงจวิน บุรุษเคราหยิกและอาจารย์อู่ซงของร้านขายอาวุธก็คือข้อยกเว้น
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ คนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตัวพวกเขาอยู่ท่ามกลางกรงขังตัวอักษรแห่งขุนเขาสายน้ำแล้ว เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ร้อยปีพันปี ก็เหมือนคอยเปิดอ่านหนังสือเล่มเดิมอยู่ตลอดเวลา ได้แต่รอคอยให้คนต่างถิ่นขึ้นมาบนเรือถึงจะเพิ่มตัวอักษรบางส่วนให้กับเนื้อหาในทุกๆ สามวันห้าวันได้เท่านั้น สำหรับเทพเซียนผู้เฒ่าและผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเหล่านี้แล้ว ไยจะไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งชวนให้หงุดหงิดใจมากกว่าเดิม?
เฉินผิงอันหยิบกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เขียนชื่อบุคคลที่พบเจอ สถานที่ที่รู้มา คำศัพท์อันเป็นกุญแจสำคัญและความเป็นมารวมถึงทิศทางที่เบาะแสทั้งหมดชี้ไป
ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งจะเข้าเมืองมา ตอนนั้นเผยเฉียนก็ได้เจอบุคคลประหลาดสามคน นางกำนัลที่แขวนโคมไฟ สตรีถือพัดกลมที่อยู่ในจวนของภูเขาเล็ก และยังมีเด็กหนุ่มเขากวางดวงตาสีเงินที่ยืนอยู่กลางสะพานแบบคานซึ่งเชื่อมระหว่างหอหลากสี เกินครึ่งน่าจะเป็นบุคคลสำคัญบางส่วนของบรรดานครใหญ่แห่งต่างๆ นอกจากนครเถียวมู่ หากพวกเขาไม่ใช่รองเจ้านครก็คงต้องเป็นบุคคลใกล้ชิดของเจ้านครเหมือนอย่างหลงปินหรือฉินจื่อตู
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อที่เขียนจนกระดาษขาวแผ่นหนึ่งเต็มแน่นขนัดไปด้วยตัวอักษร จากนั้นอาจารย์พ่อก็เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ จ้องมองกระดาษแผ่นนั้นนิ่งพลางใคร่ครวญไม่พูดจา
เผยเฉียนเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์พ่อ ตั๋วขายภูเขาที่หลี่สือหลางมอบให้แผ่นนั้น”
นี่คือปัญหา ไม่ใช่คำถาม
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เท่ากับว่าพวกเรามีที่พักเท้าแห่งหนึ่งในนครเถียวมู่แล้ว ก็เหมือนเรือนกุยม่ายบนเกาะกุ้ยฮวา เพราะหลังจากแก้ตั๋วขายภูเขาเป็นตั๋วซื้อภูเขาแล้วก็เท่ากับว่าเป็นโฉนดที่ดินที่ทางการตรวจสอบและยกมอบที่ดินให้เรียบร้อยเหมือนอย่างล่างภูเขาแล้ว เพียงแต่ว่าอาจารย์พ่อไม่คิดจะไปพักอาศัย ต่อจากนี้หากมีโอกาสยังต้องขายกลับไปให้หลี่สือหลาง ไม่อย่างนั้นอยู่ในถิ่นของคนอื่นเขา พวกเราเดินอาดๆ มาปาดเอาภูเขาไปลูกหนึ่ง ใต้เท้าเจ้านครคิดอยากจะตาไม่เห็นใจไม่หงุดหงิดก็ยังยาก ถึงอย่างไรก็เป็นการทำลายความปรองดอง”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงรีบหยิบเอาตั๋วซื้อภูเขาที่เป็นกระดาษสีเขียวแผ่นนั้นออกมาจากในชายแขนเสื้อทันใด พบว่าด้านหลังมีตัวอักษรเพิ่มมาสามคำ ‘โปรดหยุดก่อน’ (เฉี่ยถิงถิง หรือศาลาโปรดหยุดก่อน) ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “หากเซียนกระบี่เฉินยังไม่ไปซื้อตาเต็งชั่งน้ำหนักก็จะสายไปอีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้านครหลี่ ไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง ท่านว่าใช่หรือไม่?”
หลี่สือหลางยิ้มตอบ “ความรู้ในใต้หล้านี้ยังมีอะไรที่พบเจอไม่ได้ด้วยหรือ? ทุกคนเอาแต่หวงแหนของของตัวเอง คือเรื่องดีอย่างนั้นหรือ? ส่วนอะไรที่ไม่ควรฟังอย่าได้ฟังนั้น ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีแก่ใจ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปริศนาธรรมเช่นนี้ เดิมทีเจ้าก็จงใจพูดถึงข้าก่อนอยู่แล้ว ข้าก็แค่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ให้เจ้าอีกทีเท่านั้น สามวันให้หลัง รักษาตัวให้ดีแล้วกัน”
เผยเฉียนมองไปทางเฉินผิงอัน คิดอยากจะถามอาจารย์พ่อว่าคำพูดของเจ้านครเถียวมู่ผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรหลี่สือหลางก็คล้ายจะไม่ชอบหน้าอาจารย์พ่อตั้งแต่แรกอย่างไร้เหตุผล กลับกลายเป็นนครที่หลงปินอยู่ที่คล้ายว่าจะรู้สถานะอิ่นกวานของอาจารย์พ่อ อีกทั้งยังตั้งใจเดินทางมายังนครเถียวมู่แห่งนี้ หลักๆ แล้วก็เพื่อขอลวดลายตราประทับที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลงเชื่อคำกล่าวในตำราไม่สู้ไม่รู้หนังสือ”
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ แล้วตาเต็งชั่งน้ำหนักชิ้นนั้นล่ะ?”
อันที่จริงเผยเฉียนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดหลี่สือหลางถึงต้องพูดเรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว อาจารย์พ่อบอกว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นภาพมายา จะได้มาหรือไม่ได้มา มีความหมายที่ตรงใด? แต่หากจะบอกว่าเจ้านครของนครเถียวมู่จงใจหลอกเอาเงินพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าจะฟังไม่ขึ้นสักเท่าไร แบบนั้นก็ช่างน่าเบื่อและต่ำช้าเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันอธิบาย “มูลค่าของตาเต็งชั่งน้ำหนักไม่ได้อยู่ที่ว่าตาเต็งเป็นของจริงที่จับจ้องได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ระดับการชั่งวัดที่หลิวเฉิงกุยตั้งใจแกะสลักลงไป รวมไปถึงตัวอักษรน้อยใหญ่ที่อยู่บนลูกตุ้มชั่งน้ำหนักพวกนั้น เจอกับคนที่ดูของเป็นก็จะเปลี่ยนเป็นมีมูลค่า มีค่าอย่างมาก ต่อให้ไม่อาจนำตาเต็งไปด้วยกันได้ อาจารย์พ่อก็สามารถช่วยให้เจ้าอาศัยข้อกำหนดเดิมที่มีอยู่มาวาดวัดระดับความห่างของตราชั่งได้อย่างแม่นยำ จากนั้นจึงค่อยซ่อมแซมลูกตุ้มน้อยใหญ่ที่มีความเสียหายเล็กน้อยพวกนั้น ดังนั้นหลี่สือหลางถึงได้เอ่ยเตือนเช่นนี้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับเผยเฉียนด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่นี่คือโอกาสที่เจ้าจะหาเงินได้ เจ้าจะช่วงชิงมาหรือไม่ ระหว่างทำกับไม่ทำ ล้วนเลือกได้ทั้งสองอย่าง”
เผยเฉียนไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด คร้านจะวิ่งไปอีกเที่ยว”
โจวหมี่ลี่เอ่ยทันใด “เผยเฉียน เผยเฉียน ทองหยวนเป่ากับเงินก้อนในกระเป๋าข้ายังมีอยู่เยอะนะ แต่ละก้อนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า แค่รอคอยคำสั่งจากข้าคำเดียวเท่านั้นก็พร้อมจะออกจากบ้านไปแสดงฝีมือหมัดเท้าอย่างเต็มที่แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าเงินจะไม่พอนะ”
เผยเฉียนบีบแก้มของหมี่ลี่น้อย “ไม่ใช่เรื่องนี้สักหน่อย”
เฉินผิงอันให้เผยเฉียนอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองเดินออกไปข้างนอกคนเดียว ไปพบกับคนกลุ่มหนึ่งที่โต๊ะคิดเงินของโรงเตี๊ยม
รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะต่างก็เป็นคนต่างถิ่นที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งขึ้นเรือมาได้ไม่นานเท่าไรเช่นเดียวกับตน
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊ออายุน้อยคนหนึ่งสะพายหีบหนังสือไว้บนหลัง ดูจากหน้าตาแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบปี สีหน้าเยือกเย็นสุขุม ตรงเอวของเขายังห้อยหยกประดับของวิญญูชนสำนักศึกษาไว้ชิ้นหนึ่ง
นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน จงขุย และยังมีหวังไจ่วิญญูชนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็มีกัน รูปแบบเหมือนกัน แต่ตัวอักษรที่แกะสลักแตกต่างกันออกไป
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนนั้นกำลังปรึกษากับลูกจ้างร้านว่าควรจะซื้อขายตาเต็งชั่งน้ำหนักอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีนักพรตอายุน้อยสะพายกระบี่ไม้ท้อไว้บนหลังอีกคนหนึ่ง ข้างกายมีภิกษุเด็กหนุ่มยืนอยู่ สะพายแท่นบูชาพระพุทธรูปที่ใช้ผ้าห่อเอาไว้ คือพระพุทธรูปที่มีไว้พกติดตัว
นักพรตหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาสง่างามมากเป็นพิเศษ เขากำลังพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบากับภิกษุน้อยที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง “ได้ยินมาว่าในนครแห่งหนึ่งบนเรือข้ามทวีปลำนี้มีคนผู้หนึ่งบอกว่าตัวเองคือพระโพธิสัตว์บางองค์ที่กลับชาติมาจุติใหม่ ต้องเป็นพวกคนนอกรีตอย่างไม่ต้องสงสัยเลย พวกเราจะทิ้งเจ้าหนอนหนังสือไว้ก่อนแล้วไปกำจัดปีศาจปราบมารกันดีไหม?”
ภิกษุเด็กหนุ่มเงียบงันไม่พูดจา
คนทั้งสามเห็นเฉินผิงอันแล้วก็ไม่ได้มีสีหน้าตกตะลึงอะไร
และความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังคงอยู่ที่ผู้เฒ่าถือกระบี่คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนถนนห่างไปไม่ไกลนอกโรงเตี๊ยม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเซียนกระบี่ และยังอาจจะมีขอบเขตเป็นเซียนเหรินด้วย
นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อกลับหดมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อแล้ว นับนิ้วคำนวณในใจ จากนั้นพลันสะดุ้งโหยง นิ้วมือเหมือนแตะโดนถ่านไฟร้อนๆ ก่อนจะยิ้มแหย เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยเฉินผิงอันด้วยตัวเอง “เป็นนักพรตน้อยที่เสียมารยาทแล้ว ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ไม่ว่าพบเห็นใครล้วนประหลาดไปหมด ตลอดทางมานี้จึงได้แต่ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา”
แปลกประหลาดจริง แม้จะบอกว่าสถานะของพวกเขาพิเศษ มีภาระหน้าที่ติดตัว ดังนั้นอยู่บนเรือลำนี้จึงสามารถไปมาได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แต่หากคิดจะเปลี่ยนนครแห่งใหม่ก็เหมือนว่าต้องไขปริศนาให้ออก อาศัยการผ่านด่านไปทีละขั้น ไม่มีทางลัดให้เดิน โชคดีที่ดูเหมือนว่าเจ้าหยวนพางผู้นี้จะรู้ทุกเรื่อง ถึงได้เหมือนผ่าลำไม้ไผ่ สุดท้ายสาวเส้นไหมไล่ไปตามเส้นสายที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงนครเถียวมู่ที่คนต่างถิ่นเข้ามาเยือนได้ยากที่สุดแห่งนี้
ไม่อย่างนั้นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้ก็รู้สึกว่าหากเปลี่ยนให้ตนมาท่องอยู่ในเรือข้ามฟากลำนี้เพียงลำพัง ถ้าอย่างนั้นต่อให้มียันต์ปกป้องกาย หากไม่ผ่านเวลาไปสักเจ็ดสิบแปดสิบปีก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้เลย จงยอมอยู่ที่นี่เหมือนถูกผีบังตาไปแต่โดยดีเถอะ อย่างมากสุดก็ได้แต่ไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำของแต่ละสถานที่เท่านั้น นครทั้งหลายเหล่านั้น อันที่จริงแต่ละแห่งกว้างใหญ่เหมือนขุนเขาสายน้ำของราชวงศ์ต่างๆ ระหว่างที่เดินทางมามีคนถือโคมไฟเดินทางกลับ ด้านบนเขียนตัวอักษรสี่คำว่า ‘ซานกวนต้าตี้’ ระหว่างสีแดงกับสีดำมีประตูที่สามารถปัดเป่าเคราะห์ขจัดภัยได้ มีคนใช้ตั่งเล็กปักธูปตั้งเทียน เดินหนึ่งก้าวกราบไหว้หนึ่งก้าว ใช้สิ่งนี้แสดงความจริงใจต่อยอดเขา
มีบุรุษหน้ายาวขายสุราคนหนึ่งที่พอดื่มเหล้าจนเมามายแล้วก็อาละวาดคลุ้มคลั่งกับนักบัญชีของร้านเหล้า บอกว่าจะประหารเจ้าสิบชั่วโคตร
มีชายฉกรรจ์สติวิปลาสที่ไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง ในมือถือกระบอกไม้ไผ่ที่เผาจนไหม้เกรียมไว้กำใหญ่ เจอใครก็ถามว่าช่วยเขียนตัวอักษรเสริมลงไปให้ได้หรือไม่ เขาจะให้ค่าตอบแทนอย่างงามแน่นอน
——