กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 775.2 พวกลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่ง
เฉินผิงอันพลันใช้สองนิ้วคีบตัวอักษรถิงตัวสุดท้ายบนตั๋วซื้อภูเขาเอาไว้ หยุดยั้งตัวอักษรถิงบนกระดาษที่กำลังสลายหายไปช้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางฉินพูดถึงแค่วิธีการเข้าออกนครเถียวมู่ การค้าครั้งนี้ไม่เป็นธรรมแล้ว ความเป็นมาของเอกสารผ่านด่านในอีกสิบเอ็ดนครที่เหลือเล่า?”
เฉินผิงอันแบฝ่ามือ สะบัดหนึ่งที แลวจึงยกตั๋วซื้อภูเขาที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา “นครหงเหมา นครจีเฉวี่ยน นครป๋ายเหยี่ยน นครกุยจวี่ นครชุยก่ง นครหลิงซี…ช่างเถิด เปลี่ยนนครนี้ให้เป็นนครหรงเม่าแล้วกัน ลดให้ครึ่งหนึ่ง เหลือแค่หกนคร”
ฉินจื่อตูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมา งอสองนิ้วลง “อย่างมากสุดสามนคร อีกทั้งต้องเป็นนครจีเฉวี่ยน นครป๋ายเหยี่ยนและนครเปิ่นโม่ ไม่เหลือพื้นที่ให้ปรึกษาแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเซียนกระบี่เฉินจะสามารถกำตั๋วขายภูเขาแผ่นนี้ไว้ได้แน่นตลอดเวลา”
นครจีเฉวี่ยนและนครป๋ายเหยี่ยนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับนครเถียวมู่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเจ้านครหลิวของนครจีเฉวี่ยนก็ตั้งใจให้คนผู้นี้ไปเป็นแขกที่นั่นอยู่แล้ว
ส่วนนครเปิ่นโม่ที่มีแต่ความเหลวไหลอยู่ทั่วทุกหนแห่งแล้วยังหวงของของตัวเองไม่ยอมแบ่งให้ใครแห่งนั้น ความสัมพันธ์กับนครเถียวมู่กลับแย่ที่สุดมาโดยตลอด ตัวก่อเรื่องที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ผู้นี้จึงสามารถไปสร้างคลื่นลมมรสุมที่นั่นได้ตามใจชอบ
เฉินผิงอันเก็บมือทั้งสองข้างมา อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าการค้าครั้งนี้ไม่สำเร็จก็แล้วกัน ข้าจะเปลี่ยนมาเป็นถามคำถามเล็กๆ กับแม่นางฉินแทน เส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้นเป็นเจ้านครของนครแห่งใด?”
ฉินจื่อตูโล่งอก เอ่ยว่า “นครหรงเม่าหนึ่งในสี่นครล่าง”
เฉินผิงอันมองสีหน้าของอีกฝ่าย ยิ้มถามว่า “มีเอกสารผ่านด่านของนครเถียวมู่แล้ว ทว่าก็ไม่แน่เสมอไปว่าตอนนี้จะไปเยือนนครหรงเม่าได้ใช่ไหม?”
ฉินจื่อตูพยักหน้า
เส้าเป่าเจวี้ยนคือเจ้านครของนครแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องปิดประตูไม่ต้อนรับแขก
เฉินผิงอันปล่อยตั๋วซื้อภูเขาที่ปลายนิ้วออก ตัวอักษรทั้งหน้าและหลังกระดาษจึงสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดินทั้งอย่างนี้
ทว่ากระดาษยันต์สีเขียวที่เป็นของแท้แน่นอนแผ่นนั้นกลับยังคงอยู่ในมือของเฉินผิงอัน
ฉินจื่อตูเอ่ยอย่างแค้นเคือง “หากเซียนกระบี่เฉินเป็นคนคร่ำครึอย่างที่เจ้านครคิดจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องดี”
ความหมายในคำพูดของนางก็แน่นอนว่า อาจารย์เฉินที่วางแผนคิดคำนวณได้อย่างชาญฉลาดผู้นี้ ไม่เป็นพ่อค้าแต่ดันมาเป็นเซียนกระบี่ ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เฉินผิงอันหัวเราะ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าไม่ใช่ ข้าถึงได้เดินทีละก้าวจนมาถึงที่นี่ มานั่งอยู่ในศาลาเฉี่ยถิงถิงแห่งนี้ ได้พูดคุยกับแม่นางฉินอย่างเกรงใจมีมารยาท ทำการค้าที่ปรองดองต่อกัน”
ฉินจื่อตูสับสนกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับไม่ได้คิดลึกอะไร คิดแค่ว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้พูดจาเหลวไหลส่งเดช
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินลงขั้นบันไดมา หันหน้าไปมองกรอบป้าย เอ่ยเสียงเบา “ตั้งชื่อได้ดีจริงๆ ชีวิตคนโปรดหยุดอยู่ในศาลาหลังหนึ่งก่อน เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
ฉินจื่อตูหลุดหัวเราะพรืด ในเมื่อชอบขนาดนี้เหตุใดถึงยังต้องทำการค้าครั้งนั้น คืนศาลาหลังนี้มาให้แก่นครเถียวมู่? คนผ่านทางสามารถมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ได้ก็เท่ากับว่ามียันต์คุ้มครองชีวิตเพิ่มมาแผ่นหนึ่ง พวกคนอย่างตู้ซิ่วไฉ นักพรตวัวดำต้องค่อยๆ สร้างกิจการของตัวเองอย่างยากลำบากกว่าจะทำได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับอาณาเขตขุนเขาสายน้ำที่คล้ายคลึงกับของจริงอย่างศาลาเฉี่ยถิงถิงนี้แล้ว อะไรที่บอกว่าฟ้าดินแห่งใหม่ ก็แค่ฟังแล้วลี้ลับมหัศจรรย์ มองดูแล้วมีงดงามน่ามองเท่านั้น ยังคงอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบศาลาลมแห่งนี้ได้ติด
ตอนนี้ในมือของเขาเหลือแค่ใบอู๋ถงใบเดียวเท่านั้น คราวหน้าก็ยังคงมาที่นี่ได้ แต่ศาลาเฉี่ยถิงถิงแห่งนี้กลับกลับคืนไปสู่เจ้าของเดิมแล้ว
แต่ฉินจื่อตูยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่า ตอนที่คนผู้นี้ได้ยินชื่อหลี่สือหลางเจ้านครบ้านตนบนถนนของนครเถียวมู่ก่อนหน้านั้น สายตาคล้ายจะมีประกายแสงสดใสเสี้ยวหนึ่งวูบผ่าน
แต่เพียงไม่นานคนหนุ่มก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย คงเพราะการฝึกตนตลอดชีวิตที่ผ่านมาราบรื่นไม่เคยถูกคนเมินเฉยต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้มาก่อนกระมัง? ในสายตายังมีความหม่นหมองเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านไป ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน ตอนนั้นฉินจื่อตูรำคาญเจ้าก้อนหมึกของนครจีเฉวี่ยนผู้นั้น อีกทั้งยังใคร่รู้ในตัวของเซียนกระบี่ที่ผ่านทางมาเยือนนครเถียวมู่คนนี้ นางถึงสังเกตเห็นรายละเอียดที่ยากจะจับสังเกตเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
อยู่ดีๆ ฉินจื่อตูก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าสองครั้งที่เจ้านครไปพบเซียนกระบี่ชุดเขียว คนหนุ่มต่างถิ่นเดินเคียงบ่าไปกับหลี่สือหลาง มีหลายครั้งที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ทว่าหางตากลับคอยเหลือบมองมาทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา
รอกระทั่งเจ้านครหยิบตั๋วซื้อภูเขาออกมา สีหน้าของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติ แล้วเริ่มทำการค้ากับเจ้านคร
ก่อนที่เจ้านครจะไปเยือนถนนใหญ่แห่งนั้น รองเจ้านครยังเอ่ยหยอกล้อประโยคหนึ่งว่า มองดูเหมือนคนหนุ่มนิสัยหนักแน่นสุขุม ตามหลักแล้วก็ไม่ควรจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ ดูท่าคำกล่าวที่ว่า ‘บทสันดานเลวทราม’ ที่พูดย้ำคำแล้วคำเล่า คำว่าไสหัวไปจากนครมู่เถียวที่พูดซ้ำไม่เลิกรา คงจะถูกเจ้าสือหลางทำให้โมโหไม่เบาเลยจริงๆ
เรือนที่พักแห่งหนึ่งขนาดไม่ถึงสามไร่ บนพื้นมีเนินแห่งหนึ่งชื่อเดิมคือเจี้ยจื่อ
หนิงเหยาพกกระบี่เดินก้าวออกมาหนึ่งก้าว มายังหน้าประตูสวนขนาดเล็กแห่งนั้น สายตาเฉียบคมจนผิดจากปกติไปเล็กน้อย และยังดูไร้เหตุผลเป็นพิเศษ
นางกับนครเถียวมู่ หลี่สือหลางอะไรนี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแม้แต่น้อย
แต่เฉินผิงอันมี
บนหัวกำแพงเมืองบ้านเกิดของนางในอดีต ภายใต้ดวงจันทร์สามดวง หนิงเหยานั่งอยู่ข้างกายคนผู้นั้น ยามที่เขามีเวลาว่างก็มักจะหยิบตำราที่เก็บรักษาไว้อย่างดีออกมา ส่วนใหญ่เป็นบทประพันธ์ของปัญญาชนที่สะสมมาตั้งแต่อดีต หนึ่งในนั้นก็มี ‘ตำราภาพวาด’ เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่เคยพูดถึงนักพรตวัวดำอะไรกับนาง แต่เขาที่ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงมักจะหยิบเอาตำราภาพวาดเล่มนั้นออกมาตากแสงจันทร์เป็นประจำ เงยหน้าขึ้นเป็นระยะ พูดกับหนิงเหยาด้วยท่าทางจริงจังน่าเชื่อถือว่า หลี่สือหลางผู้นี้คือคนในกลุ่มเทพเซียนอย่างแท้จริง นอกจากมีเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจเรียนรู้เอาอย่างแล้ว ความรู้เรื่องอื่นๆ ก็ช่างทำให้คนเลื่อมใสยิ่งนัก ร้ายกาจมากจริงๆ ดังนั้นบนแผ่นไม้ไผ่ของตนจึงแกะสลัก ‘บทประพันธ์คบหาสหาย’ โดยไม่มีตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว ประโยคที่ว่า ‘อย่าได้พูดถึงเรื่องแต่งตั้งโหว ร่วมดื่มสุราเมามายภายใต้แสงสนธยา’ ก็ช่างเขียนได้งดงามนัก หลี่สือหลางพูดถึงความต่างระหว่างการศึกษาหาความรู้เขียนบทความและการเล่าเรื่องอัศจรรย์เป็นบทละคร ก็ยิ่งพูดได้ยอดเยี่ยม ที่แท้ก็เป็นหลักการเหตุผลที่ไม่ต่างจากการใช้หลักการเหตุผลกับผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการค้าของหลี่สือหลางที่ยิ่งสุดยอด เพียงแต่ว่าพ่อค้าหนังสือที่จัดพิมพ์ตำราในพื้นที่แห่งอื่นกลับไม่ค่อยเปิดกว้างกับเรื่องนี้มากนัก น่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจได้พบเจออาจารย์หลี่ท่านนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะต้องถามสือหลางท่านนี้สักหน่อยว่าเขายากจนตกยากขนาดนั้นเลยหรือ หากชีวิตไม่ลำบากยากแค้นก็จะเขียนบทความออกมาไม่ได้จริงๆ หรือไร? นอกจากนั้นช่วงเวลาที่อาจารย์หลี่ถือกำเนิดก็ได้เจอกับเซียนเหรินคนหนึ่งช่วยทำนายดวงชะตาให้จริงหรือ? เป็นกลุ่มดาวที่ลงมาจุติบนพื้นดินจริงๆ หรือไร? เป็นเพราะอาณาเขตบ้านบรรพบุรุษเบาเกินไป จะต้องย้ายไปอยู่ศาลบรรพชนของตระกูลถึงจะถือกำเนิดได้อย่างราบรื่นอย่างนั้นหรือ? หากหลี่สือหลางพูดคุยด้วยง่าย เขายังจะถามอีกว่า หลังจากที่ท่านอาจารย์ร่ำรวยมีชื่อเสียง สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลได้แล้ว เคยไปซ่อมแซมศาลบรรพชนบ้างหรือไม่ ไม่แน่ว่าในกรอบป้ายศาลบรรพชนสองแห่งอาจมีคนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้นะ
หนิงเหยาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ หลี่สือหลางที่เป็นเช่นนี้ เหตุใดปีนั้นตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองถึงทำให้เขาพูดเป็นน้ำไหลไฟดับไม่จบไม่สิ้นได้ถึงขนาดนั้น ควรค่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
มาถึงนครเถียวมู่แห่งนี้ ได้เจอกับหลี่สือหลางเข้าจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า? ยังจะอยากถามอาจารย์หลี่ถึงข้อสงสัยที่อยู่ในใจในอดีตเหล่านั้นอีกไหม?
นางรู้ดียิ่งกว่าใคร ชั่วชีวิตนี้ของเฉินผิงอัน นอกจากคนใกล้ชิดที่เขามักจะเป็นห่วงรำลึกถึงอยู่ในใจแล้ว อันที่จริงก็น้อยครั้งมากๆ ที่จะพูดถึงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนมากขนาดนี้
หลี่สือหลางกับบัณฑิตผู้เฒ่าที่รับหน้าที่เป็นรองเจ้านครพากันเดินออกมาจากสวนเจี้ยจื่อซึ่งอยู่ในภาพวาด
หลี่สือหลางขมวดคิ้วถาม “มีธุระรึ?”
หนิงเหยาพยักหน้า “มีธุระ”
หลี่สือหลางยิ้มถาม “เรื่องอะไร?”
หนิงเหยาหันหน้าไปมองผู้เฒ่าผมขาวแล้วเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ผู้เฒ่า ขอผู้อาวุโสโปรดขยับหลบไปที่อื่นก่อน”
บัณฑิตวัยชรายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็ได้ๆ ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้”
หลี่สือหลางรีบเอื้อมมือไปคว้าชายแขนเสื้อของสหายเฒ่าไว้ทันใด บัณฑิตผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง หนีไปแล้ว
ทันใดนั้น ระหว่างฟ้าดินก็มีแต่แสงกระบี่
เป็นเหตุให้เรือราตรีถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งทะลวงฟันเป็นช่องโหว่ขนาดมหึมา ปัญญาชนที่อยู่บนยอดเขาถอนหายใจ จิตขยับไหวเล็กน้อย ทำการซ่อมแซมรูโหว่ของเรือข้ามฟาก
โชคดีที่วิถีการดำรงอยู่ของเรือข้ามฟากลำนี้คล้ายคลึงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต
นี่ก็คือหนึ่งในรากฐานมหามรรคาของเรือราตรี และสองคำว่า ‘แลกเปลี่ยน’ ซึ่งเป็นความรู้ที่เฉินผิงอันตระหนักได้ตอนอยู่นครเถียวมู่ ก็คือรากฐานหนึ่งในนั้น
ภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะก็ลืมตาขึ้น ยืดแขนบิดขี้เกียจ เตรียมจะลุกขึ้นยืน ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่ต้อง”
ผู้เฒ่าผมขาวกลับคืนมายังจุดเดิม หลุดเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ไหว เห็นเพียงว่าเจ้านครหลี่สือหลางถือตำราภาพวาดที่เละเทะเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ สี่ด้านแปดทิศระหว่างฟ้าและดินมีเศษหนังสือมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง
บัณฑิตผู้เฒ่าจุ๊ปากเอ่ยสัพยอก “ถูกบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งหนึ่งถามกระบี่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล่าอันงดงามเรื่องหนึ่งของนครเถียวมู่ได้แล้ว พอคิดแบบนี้ข้าก็ตัดใจปลดระวางตำแหน่งรองเจ้านครไม่ลงแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นไปอีกสักสามสี่ร้อยปีก็แล้วกัน”
ทางฝั่งของศาลาเฉี่ยถิงถิง
หนิงเหยาเดินก้าวออกมาหนึ่งก้าว หวนกลับมายังที่แห่งนี้ เก็บกระบี่ไว้ในกล่อง เอ่ยว่า “สวนเจี้ยจื่อแห่งนั้น ข้าเคยเห็นแล้ว ไม่เห็นมีอะไรดี”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ สองมือนวดคลึงข้างแก้ม อดรู้สึกเสียดายเล็กน้อยไม่ได้ “แบบนี้เองหรือ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เตรียมจะคีบใบอู๋ถงใบนั้นออกมา พาหนิงเหยาไปยังโรงเตี๊ยมในนคร หวังเพียงว่าหมี่ลี่น้อยจะไม่เลียนแบบเผยเฉียนที่แค่เห็นหน้าก็โขกหัวให้นาง
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ไม่บอกลาแม่นางปี้อวี้สักคำหรือ?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้
ฉินจื่อตูเค้นรอยยิ้มส่งให้ พูดเสียงสั่น “ไม่ต้อง”
ใบอู๋ถงในมือของเฉินผิงอันเปล่งแสงวูบวาบหนึ่งที เขากับหนิงเหยาก็มาถึงหน้าประตูนคร แล้วเดินไปยังโรงเตี๊ยมในนครแห่งนั้นด้วยกัน
นครเถียวมู่ไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามค่ำคืน แต่เมื่อเทียบกับความแออัดจอแจบนถนนตอนกลางวันแล้วก็ยังดูเงียบสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด ริมข้างทางไม่มีร้านแผงลอยตั้งวาง ร้านน้อยใหญ่ก็พากันปิดร้านหมดแล้ว มีเพียงแค่เหลาสุราไม่กี่แห่งที่ยังเปิดไฟและยังมีเสียงอึกทึกครึกโครม
หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่ควรออกกระบี่”
เฉินผิงอันกุมมือของนาง “เป็นเรื่องที่ทำได้ทั้งสองอย่าง ไม่มีอะไรควรไม่ควรหรอก”
หนิงเหยามองไปยังสองข้างฝั่งของถนน “นี่ก็คือถนนเถียวมู่ที่ความรู้สามารถขายเป็นเงินได้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มกล่าว “ดีมากเลยนะ ไม่เสียแรงที่เป็นหลี่สือหลาง”
พอไปถึงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยก็มายืนคอยอยู่ตรงหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว
หมี่ลี่น้อยที่แสร้งทำเป็นสุขุมมาโดยตลอดพลันร้อนใจขึ้นมา ใบหน้าประดับยิ้มที่เกร็งมานาน แล้วก็ออกแรงมากเกินไปหน่อยมองสตรีที่อยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาคนดีอย่างโง่งม มือหนึ่งกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียนอย่างแรง เขย่งปลายเท้าเต็มที่ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน ทว่ากลับเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “เผยเฉียน เผยเฉียน ไม่อย่างนั้นให้ข้าโขกหัวดีกว่าไหม เดี๋ยวจะดูว่าไม่มีมารยาทมากพอเอานะ”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้าโบกมือแรงๆ ให้อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่แต่ไกล พลางเอ่ยเสียงเบาไปด้วยว่า “ไม่ต้องจริงๆ”
หมี่ลี่น้อยจึงไม่เกร็งหน้ายิ้มไว้อีก นางพูดหน้าม่อยว่า “ไม่ต้องจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนลูบศีรษะของแม่นางน้อยชุดดำ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องจริงๆ วันหน้าหากเฉาฉิงหล่างและจิ่งชิงอยู่ข้างกาย เจ้าพบเจออาจารย์แม่แล้วค่อยโขกหัวชดเชยก็แล้วกัน”
แม่นางน้อยเกาหน้า จดจำเอาไว้แล้ว
หนิงเหยาสะบัดข้อมือ เฉินผิงอันจึงได้แต่คลายมือออก
พอไปถึงที่โรงเตี๊ยม หนิงเหยาก็พยักหน้าทักทายเผยเฉียนก่อน เผยเฉียนยิ้มเอ่ยเรียกว่าอาจารย์แม่
หนิงเหยาค้อมเอวลูบหัวของหมี่ลี่น้อย ยิ้มกล่าว “ที่บ้านเกิดของข้า ทุกคนต่างก็รู้จักเหล้าทะเลสาบคนใบ้ เหล้าที่สามารถทำให้เซียนกระบี่มากมายดื่มไปแล้วพูดออกมาไม่ได้ ได้แต่ดื่มเหล้าต่อไปเท่านั้น”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือข้างหนึ่งยื่นเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างว่องไว สุดท้ายหยิบเอาเมล็ดแตงออกมาด้วยกำใหญ่ ชูมือขึ้นสูงเหนือหัว สองมือประคองส่งให้ เอ่ยเสียงดังว่า “ฮูหยินเจ้าขุนเขา เชิญแทะเมล็ดแตง!”
หนิงเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันกลั้นขำ
……
ในเทือกเขาใหญ่แสนลี้ ตรงยอดเขาเป็นสถานที่อยู่อาศัยของขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งกับขอบเขตบินทะยานตัวหนึ่ง แต่กลับมีกระท่อมอยู่แค่หลังเดียว คาดว่าคงเป็นเพียงที่พักกายของเฒ่าตาบอดเท่านั้น และน่าจะถือว่าเป็นสถานที่ฝึกตนได้แล้ว ทุกวันนี้รับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่รับอาจารย์แค่ครึ่งตัวมาคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องมีที่พำนักให้กับเขา
นี่ไม่ใช่เพราะว่าหลี่ไหวผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาจนชิน แต่เป็นเพราะท่องยุทธภพมามากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ติดตามอยู่ข้างกายเผยเฉียน ได้ยินเรื่องศาสตร์การต้มตุ๋นที่มีสารพัดหลากหลายในยุทธภพมามาก แล้วก็เห็นการประทังชีพของพวกนักต่อสู้ล่างภูเขาที่ต่างก็ไม่ง่าย ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกเหมือนว่าตนตกมาอยู่ในรังนักต้มตุ๋นของยุทธภพ เห็นผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนั้นมือเท้าคล่องแคล่ว เพื่อสร้างกระท่อมใหม่เอี่ยมหลังหนึ่งขึ้นมาจึงวิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศ ผ่าฟืนตัดไม้ ว่ากันว่ายังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งด้วย แต่ดันมาทำเรื่องพวกนี้เนี่ยนะ ใครจะเชื่อ? เอาเป็นว่าหลี่ไหวไม่เชื่อก็แล้วกัน
——