กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 781.2 ผู้ที่อยู่ในกฎในเกณฑ์คือบุคคลผู้ยอดเยี่ยมแห่งแคว้น
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 781.2 ผู้ที่อยู่ในกฎในเกณฑ์คือบุคคลผู้ยอดเยี่ยมแห่งแคว้น
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งอึก
ปีนั้นกุ้ยฮูหยินบอกให้ตนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย? เป็นเพราะว่านางสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วหรือไม่?
ใต้หล้าไพศาล ปฐมสำนักแห่งสำนักการทหารในแผ่นดินกลางมีศาลบู๊แห่งนั้นอยู่ และในศาลบู๊ก็มีเทวรูปของสิบปราชญ์ตั้งบูชาอยู่
ทว่าต่อให้เป็นบัณฑิตของยุคหลังในไพศาล ก็ยังมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับผู้ที่มีเทวรูปตั้งวางก็มีความเห็นต่าง สำหรับตัวเลือกอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสิบปราชญ์ศาลบู๊ก็ยิ่งมีข้อโต้แย้ง รู้สึกว่าไม่ควรเลือกให้เข้าไปอยู่ในนั้น สำหรับการที่เพิ่มเทวรูปของผู้มีชื่อเสียงสำนักการทหารต่อจากนั้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพิ่มให้กลายเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงเจ็ดสิบสองคน แบ่งออกเป็นตำหนักหลักสิบคนและสองห้องเล็กด้านข้างอีกหกสิบสองคน ให้ร่วมกันเสพสุขกับควันธูป ก็ยิ่งทำให้คนไม่น้อยของยุคหลังรู้สึกไม่เห็นด้วย ต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ทะเลาะโต้เถียงกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการโต้เถียงนี้ยังเคยมีคดีหนึ่งเกิดขึ้น ทางฝั่งศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางมีอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อคอยเสนอความเห็นอย่างต่อเนื่อง เสนอให้มี ‘ผู้ที่รับกิจการคุณงามความดีอย่างไม่มีข้อเสียด่างพร้อย’ นี่จึงเป็นเหตุให้แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยที่สร้างคุณความชอบทางการสู้รบมามากมาย แต่ก็เข่นฆ่าคนมามากดุจเดียวกัน หากไม่ถูกลดตำแหน่งเทพลง ก็ถูกถอดถอนตำแหน่งเทพออกโดยตรง เป็นเหตุให้คนบางคนที่เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์ของศาลบู๊ถูกย้ายตำแหน่งที่วางเทวรูปออกมาจากตำหนักใหญ่ ย้ายไปอยู่หนึ่งในสองห้องเล็กด้านข้างแทน
เดิมทีคนผู้นี้ต้องสูญเสียแม้กระทั่งคุณสมบัติในการมีเทวรูปตั้งวางในสองห้องด้านข้างไปด้วยแล้ว สุดท้ายยังมีข่าวลือบอกว่ามีคนสองคนจับมือกันไปอาละวาดที่ศาลบุ๋น ถึงปฏิเสธข้อเสนอนั้นทิ้งไปได้ เลือกวิธีที่พบกันครึ่งทาง ถอนออกจากตำแหน่งหลัก แต่ยังอยู่ในสองห้องเล็ก เพียงแต่ว่าอันดับอยู่ในลำดับของแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงขั้นที่สี่
แต่นี่ก็ยังคงทำให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารยุคหลังรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ดี บอกว่าแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงที่ศาลบุ๋นเลือกมา มีพวกกุนซือนักวางแผนมากเกินไป ถือว่าเป็นได้แค่ผู้มีความสามารถที่คอยช่วยเหลือราชาเท่านั้น ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ในบรรดาคนเจ็ดสิบสองคน อย่างน้อยก็มีถึงครึ่งหนึ่งที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้คนผู้นั้นด้วยซ้ำ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็มีถึงครึ่งที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะจูงม้าให้เขา อีกครึ่งที่เหลือไม่มีหน้าแม้แต่จะเลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในอันดับสิบปราชญ์ของศาลบู๊เคียงข้างคนผู้นั้นด้วยซ้ำ
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยอะไร คนเฝ้าปีตำหนักสุ้ยฉูอะไร เสี่ยวป๋ายแห่งใต้หล้ามืดสลัวอะไร
ป๋ายลั่วอะไร
นั่นมันป๋ายฉี่ต่างหาก!
ส่วนข้อที่ว่าคนผู้นี้ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวได้อย่างไร แล้วกลายมาเป็นแขนซ้ายขวาของอู๋ซวงเจี้ยงได้อย่างไร คาดว่าคงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้
เฉินผิงอันไม่ยินดีจะถามให้มากความแม้แต่ประโยคเดียว
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ย “การหาเรื่องมากมายก่อนหน้านี้ เป็นการกระทำที่สุดวิสัย”
เป็นการให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงต่อการเข่นฆ่าก่อนหน้านี้
ฟ้าดินเล็กหลายแห่งทับซ้อนกัน ทั้งเพื่อสามารถสังหารเขาอู๋ซวงเจี้ยงได้ แต่ก็ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงวางใจปลดปล่อยตบะขอบเขตสิบสี่ออกมาอย่างเต็มที่ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าภาพบรรยากาศของการผสานมหามรรคาบนร่างจะถูกทางศาลบุ๋นรับรู้
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยต่อไปว่า “พวกเจ้าน่าจะรู้ชัดเจนดีว่า สุดท้ายข้าไม่ได้เลือกที่จะให้วอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เพราะข้าไม่มีกำลังให้เอาคืนแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นหากไม่นับหนิงเหยา พวกเจ้าสามคน ฆ่าคนนั้นได้ แต่ความเสียหายบนมหามรรคาของพวกเจ้าแต่ละคนก็คงไม่ได้มีน้อยนิดแค่นี้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “‘น้อยนิดแค่นี้’?”
ไม่พูดถึงปลายกระบี่ไท่ป๋ายท่อนหนึ่งที่เกือบจะหลุดออกไปจากตัวกระบี่เย่โหยวแล้ว คิดจะหลอมให้กลับมาเป็นเหมือนตอนแรกอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เปลืองเวลา ไม่แน่ว่ายังต้องให้เฉินผิงอันทุ่มภูเขาเงินภูเขาทองลงไปด้วย ไม่พูดถึงอาการบาดเจ็บทั่วร่างของเฉินผิงอันในเวลานี้ ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ในฟ้าดินเล็กสั่นสะเทือน หลังจากที่เฉินผิงอันเข่นฆ่ากับคนอื่น จำนวนครั้งที่ต้องใช้ยาของร้านยาตระกูลหยางก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ ขอบเขตของกระบี่บินเจียงซ่างเจินถดถอยลงแล้ว ชุยตงซานก็ยิ่งสูญเสียเนื้อหนังคราบร่างเซียนเหรินไปแล้ว เวลานี้มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่แท้จริงแล้วกลับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง หากไม่เป็นเพราะเวทคาถาของชุยตงซานลี้ลับมหัศจรรย์ หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินทั่วไป ป่านนี้ก็คงร่อแร่ปางตายแล้ว จะรักษาห้าขอบเขตบนไว้ได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องกังวล ข้ารู้หนักเบาดี”
หากชุยตงซานไม่หลุดพ้นจากโซ่ตรวนคราบร่างนี้จะยังเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้อย่างไร? อู๋ซวงเจี้ยงกล้ามั่นใจเลยว่า เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นซิ่วหู่ครึ่งตัวผู้นี้ หลายปีมานี้อันที่จริงก็ได้คอยหาผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้ต้องมีขอบเขตบินทะยานเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งยังต้องเชื่อใจได้ เวทกระบี่สูงส่ง ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับสายเหวินเซิ่ง? จั่วโย่วที่เป็นคนร่วมสำนัก? ถึงจะสามารถให้อีกฝ่ายออกกระบี่ทำลายกรงขังได้อย่างวางใจ
ส่วนการถดถอยของขอบเขตกระบี่บินที่เป็นใบหลิวครึ่งใบนั้น แน่นอนว่าความเสียหายย่อมมหาศาล แต่ขอแค่เจียงซ่างเจินเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ สองเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นปัญหาที่ได้รับการคลี่คลายไปในคราวเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเรื่องที่รู้กันดีอยู่แก่ใจพวกนี้ พูดออกมาอาจจะทำลายบรรยากาศอยู่บ้าง อู๋ซวงเจี้ยงไม่รู้สึกว่าคิดทำการค้ากับคนหนุ่มผู้นี้แล้วตนจำเป็นต้องนั่งพื้นจ่ายเงินตามที่อีกฝ่ายเรียกร้องไปเสียทุกเรื่อง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทั้งสี่คนร่วมมือกัน คนหนึ่งสร้างคนกระเบื้องทำลายคนกระเบื้อง สามคนร่วมแรงกันออกกระบี่ฟันขอบเขตสิบสี่ วีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต่อให้อู๋ซวงเจี้ยงจะเป็นคนผู้นั้นที่ถูกสังหาร เขาเองก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
เป็นภาพที่ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกรอคอยว่าจะได้เห็นในอีกร้อยปีให้หลัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าร้อยปีพันปีให้หลัง คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับมีบินทะยานสี่คน สามคนในนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่อีกด้วย?
จะมีคนรุ่นหลังที่พอพูดถึงเรื่องนี้ก็จะเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาหรือไม่
ตำหนักสุ้ยฉูเคยมีคนชื่อว่าอู๋ซวงเจี้ยง ใช้กำลังของคนคนเดียวสู้รบกับเฉินผิงอัน หนิงเหยา เจียงซ่างเจิน ชุยตงซาน?
ห้าวหาญนัก
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะเสียงดังลั่น ยอมแหกกฎหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาแล้วกระดกดื่มอย่างเต็มคราบหนึ่งอึก แล้วก็เริ่มเล่าถึงปฏิทินเหลืองบางส่วนให้ฟังไม่หยุดปาก “หลังจากที่ตำหนักสุ้ยฉูมีข้าแล้วก็แตกต่างจากเดิมมาก เวลาไม่ถึงร้อยปีก็ลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต้องรู้ว่าตอนนั้นที่ข้าเพิ่งเป็นขอบเขตโอสถทองก็ได้กลายเป็นนายท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภนักบัญชีของห้องบัญชีในสำนักแล้ว รอกระทั่งเลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็ควบตำแหน่งผู้คุมกฎไปด้วย แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับที่ตอนนั้นตำหนักสุ้ยฉูยังเป็นแค่ภูเขาลำดับรองด้วย แต่พวกเจ้าก็น่าจะเคยเปิดเจอบันทึกลับบางอย่าง ผู้ฝึกตนสายยันต์โอสถทองคนหนึ่ง ระหว่างที่จับคู่เข่นฆ่ากับศัตรูได้สังหารผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง รวมไปถึงตอนที่เป็นก่อกำเนิดก็ได้สังหารขอบเขตหยกดิบไปสองคน ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเองหรอกนะ แต่ไม่ใช่ใครก็จะสามารถทำได้”
“ข้ามีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ เรื่องไม่คาดฝันบางอย่างบนเส้นทางของการฝึกตน มองดูเหมือนอันตราย แต่แท้จริงแล้วล้วนไม่นับเป็นอะไรได้ ทว่าข้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนข้างกายก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วย ดังนั้นจึงมีสตรีอยู่คนหนึ่ง ระหว่างที่นางลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ได้สังหารผู้ฝึกลมปราณสองคนผิดตัว คนทั้งสองต่างก็เป็นขุนนางทำเนียบลัทธิเต๋าของราชสำนักในโลกมนุษย์ ระหว่างการสังหารยังเดือดร้อนไปถึงคนธรรมดาที่บริสุทธิ์อีกสิบกว่าคน บัญชีนี้จึงคิดลงบนหัวของนาง อันที่จริงนี่ก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ ดังนั้นข้าจึงจำต้องลงจากเขาไปรอบหนึ่ง ช่วยนางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ เดิมทีปัญหาทุกด้านล้วนถูกข้าจัดการได้อย่างเหมาะสมแล้ว แม้แต่คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังก็ถูกข้าสาวเบาะแสไปจนเจอตัวแล้ว”
สตรีผู้นั้นก็คือคู่รักบนภูเขาของอู๋ซวงเจี้ยง ในตำหนักสุ้ยฉู นางมีคุณสมบัติในการฝึกตนธรรมดามาก รูปโฉมก็สามัญทั่วไป
สถานการณ์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ฝึกตนคนหนึ่งบนภูเขาครั้งนี้ แน่นอนว่ามีไว้เพื่อเล่นงานอู๋ซวงเจี้ยง สตรีคนหนึ่งที่รูปโฉมธรรมดา คุณสมบัติการฝึกตนก็ไม่ถือว่าดีนัก ยังไม่มีค่าถึงขั้นที่คนบงการเบื้องหลังต้องระดมกำลังพลใหญ่โตเช่นนี้
กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง สุดท้ายอู๋ซวงเจี้ยงก็ไปมีเรื่องกับเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิง อวี๋โต้วผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง แม้แต่คนบงการเบื้องหลังก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นความยินดีที่ไม่คาดฝันซึ่งใหญ่เทียมฟ้า
และอู๋ซวงเจี้ยงในเวลานั้นก็เพิ่งจะเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งเท่านั้น
เต๋าเหล่าเอ้อที่ดูแลป๋ายอวี้จิงร้อยปี สุดท้ายได้มอบทางเลือกอย่างหนึ่งให้แก่อู๋ซวงเจี้ยง หากไม่ไปตีกลองสวรรค์แล้วค่อยถูกเขาอวี๋โต้วฆ่าตาย
ก็ต้องมอบสตรีผู้นั้นออกมา ทำตามกฎของลัทธิเต๋า ทำลายจิตวิญญาณของนางให้แหลกสลาย เจ้าอู๋ซวงเจี้ยงแค่มองดูเฉยๆ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องตายแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่นอกเหนือบทสนทนา “เจ้าลัทธิสามที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำของเราผู้นั้นก็ได้สร้างสถานการณ์ถามใจที่คล้ายๆ กันนี้ให้ศิษย์น้องเล็กของเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในจุดที่ละเอียดอ่อนบางอย่างบนจิตแห่งมรรคายังคงไม่อาจทำให้ศิษย์พี่เล็กอย่างเขาพึงพอใจได้ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นก็จะได้รับโชควาสนาเซียนครั้งหนึ่ง เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว เลื่อนขั้นกลายเป็นขอบเขตหยกดิบได้โดยตรง หากเขาไม่ทำตัวอืดอาดชักช้าบนสภาพจิตใจ เหนือกว่าเจ้าไปหนึ่งขั้น จากนั้นค่อยทำเรื่องเดียวกับที่เจ้าทำ มองดูคล้ายหาเรื่องใส่ตัว ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น แต่ลู่เฉินกลับยินดีจะมองเขาสูงขึ้นอีกหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าว “คือซานชิงผู้นั้นน่ะหรือ?”
เป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าเช่นเดียวกัน
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มพลางหิ้วกาเหล้าขึ้นมาชี้ไปยังสตรีที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
จนถึงบัดนี้หนิงเหยาถึงจะเปิดปากพูดอย่างไม่ใส่ว่า “คนผู้นี้ทำอะไรไม่ค่อยมีคุณธรรม ถูกข้าฟันไปหลายที เลยหลบไปปิดด่านหลายปีแล้ว”
เจียงซ่างเจินที่เงี่ยหูตั้งใจฟังมาโดยตลอด แอบฟังมาถึงตอนนี้ก็รีบพูดซ้ำประโยคเดิมเบาๆ อีกรอบ “รักษาตัวด้วย รักษาตัวด้วย”
อู๋ซวงเจี้ยงเอนกายพิงราวรั้ว เพียงแค่ดื่มเหล้าอีกอึกเดียวก็ไม่ดื่มอีก หรี่ตามองไปยังขุนเขาสายน้ำแต่ละแห่งของตำหนักสุ้ยฉูที่อยู่ห่างไกลออกไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้องรู้ว่าก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น ข้าถูกมองเป็นผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าที่มีบุคลิกลักษณะของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อมากที่สุดในใต้หล้ามืดสลัว อีกทั้งยังมีหวังว่าจะหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตออกมาได้หนึ่งถึงสองตัว เพราะข้าเชื่อมั่นว่าเรื่องทุกเรื่องในโลก ใช่ไม่ใช่แบ่งชัดเจน ถูกผิดแบ่งชัดเจน ขาวดำแยกจากกันชัดเจน”
ขุนเขาสายน้ำยังคงอยู่ คนกลับกลายเป็นเพียงผู้ที่ผ่านทางมา
ดังนั้นก่อนหน้านี้อู๋ซวงเจี้ยงถึงได้เอ่ยประโยคนั้น
ในใจของคนทุกคนล้วนมีทะเลสาบจดหมายอยู่แห่งหนึ่ง
บางทีในทะเลสาบจดหมายของเจียงซ่างเจินอาจจะมีสตรีที่บอบบางนุ่มนวลดุจต้นหญ้าอยู่คนหนึ่ง ยืนสะโอดสะองวนเวียนอยู่ปีแล้วปีเล่าไม่เคยจากไปไหน
ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาเสินจ้วนก็อาจจะเปลี่ยนจากเสียงเอะอะวุ่นวาย กลายมาเป็นไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ไม่เหลือเสียงด่าอีกแล้ว แล้วก็ไม่มีคนคอยขว้างเก้าอี้อีกต่อไป
บางทีทะเลสาบจดหมายในหัวใจของชุยตงซานอาจจะมีอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่กระเป๋าฟีบแบน มีความรู้เต็มท้องเสียเปล่า เพราะท้องกลับยังคงหิวโหย พาเด็กหนุ่มที่เพิ่งพบเจอกันครั้งแรกเดินผ่านตรอกเล็กเก่าโทรมที่มีเสียงไก่ขันเสียงหมาเห่า อบอวลไปด้วยควันไฟของการหุงหาอาหาร
โรงเรียนในอดีตอาจจะเคยมีบัณฑิตหนุ่มที่เต็มไปด้วยปณิธานยิ่งใหญ่ นาทีก่อนยังถ่ายทอดวิชาความรู้แทนอาจารย์ ทว่าเพียงชั่วพริบตาคนทั้งหลายที่นั่งฟังเขาสอนอยู่ในห้องเรียนกลับจากไปไกลแล้ว จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
อาจเป็นเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจากทักษินาตยทวีปคนหนึ่งที่เดินทางไกลกลับคืนสู่บ้านเกิด อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาของตรอกหนีผิง เมื่อหันกลับไปมองก็คล้ายมองเห็นสตรีออกเรือนแล้วที่ในมือถือไม้กวาดคนนั้น ในบ้านของคืนฝนตกกระหน่ำ เพดานเหลี่ยมเปิดอ้าเล็กๆ ที่น้ำจากสี่ทิศไหลมารวมกันในห้องโถงเดียวก็คือทะเลสาบจดหมายแห่งหนึ่งที่ทำให้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสซึ่งมีชีวิตอยู่มาร้อยปีพันปีจนจิตใจด้านชาดั่งก้อนหิน ยามที่หันหน้ากลับไปมองก็ยังสายตาพร่าเลือน พึมพำเบาๆ ว่า ท่านแม่ ท่านแม่ผู้โง่เขลาหนอ
ทะเลสาบจดหมายแห่งหนึ่ง บางทีในสุสานไร้ญาตินอกเมืองที่ไม่สะดุดตาแห่งนั้นอาจเคยมีแม่นางน้อยร่าเริงน่ารักคนหนึ่งที่ตัวเองเป็นผี แต่กลับกลัวผีที่สุด เมื่อนางจากโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว กลับสามารถทำให้มือกระบี่คนหนึ่งที่เดินทางกลับมาเยือนที่เก่าไม่ถึงขั้นเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ ทว่าก็ได้แต่นั่งอยู่คนเดียวตลอดทั้งคืน ไม่กล้าแม้แต่จะดื่มเหล้า
บางทีอาจมีนักบัญชีที่เดียวดายคนหนึ่งวักน้ำล้างหน้าริมทะเลสาบ บางทีอาจเป็นเด็กหนุ่มบางคนในกาลครั้งหนึ่งที่นานยิ่งกว่า ตอนอยู่บนโต๊ะสุราระหว่างเดินทางไกลได้เอ่ยว่าอายุของตนน้อยเกินไป
อาจเป็นสตรีคนหนึ่งที่เดินทางไกลไปพร้อมกับนคร คล้ายกับดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้า ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา มองคนในใจบนหัวกำแพงที่แม้กระทั่งใบหน้าและเรือนกายก็ล้วนสูญเสียไปสิ้น แต่กระนั้นก็ยังคล้ายว่าเขาจะมีรอยยิ้ม พยายามโบกมือลานาง เพื่อให้สตรีที่ทั้งๆ ที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า เวทกระบี่ก็สูงยิ่งกว่าเขาไม่ต้องกังวลใจ ยิ่งไม่ต้องละอายใจ
ในหอเรือนมีเพียงความเงียบงัน
ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง
สองฝ่ายที่ก่อนหน้านี้ยังคุมเชิงกัน มองดูเหมือนต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันเท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ถึงขั้นมีหวังว่าจะทำการค้าสำเร็จ กลายมาเป็นพันธมิตรกัน ทว่าแท้ที่จริงแล้วบรรยากาศกลับยังคงตึงเครียด มีคลื่นใต้น้ำ ทั้งสองฝ่ายอาจแบ่งเป็นตายกันอีกครั้งได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องพูดไม่เข้าหู ไม่จำเป็นต้องให้ใครถลึงตามองใครด้วยความขุ่นเคืองก็สามารถมีคนตายได้แล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงเก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายกลับมา ชี้ไปยังยันต์สีเขียวแผ่นนั้น พูดกับเฉินผิงอันว่า “การผสานมรรคากับคนสามัคคีขอบเขตสิบสี่ของข้า ขอแค่ข้ากับเทียนหรานคนรักของข้าไม่ถูกสังหารในเวลาเดียวกัน ก็สามารถไม่ต้องตายกันทั้งคู่ได้ ส่วนความเสียหายบนมหามรรคาจะมีมากหรือน้อย รวมไปถึงวิธีการกลับคืนสู่ขอบเขตเดิมของข้า เนื่องจากเกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา คงไม่อธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดแล้ว เกี่ยวกับการประลองฝีมือในวันนี้ ความเสียหายของพวกเจ้าทุกคน ข้าย่อมชดเชยให้ครบทุกคน ยกตัวอย่างเช่นยันต์สละศพบนแผ่นนี้ นอกจากจะสามารถทำให้เซียนดินคนหนึ่งที่ไร้ความหวังกับห้าขอบเขตบน มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน กลายร่างมาเป็นผีเซียน และยังสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้แล้ว ต่อจากนั้นจะสามารถสร้างร่างทองหันไปรับหน้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เปลี่ยนจากเส้นทางหัวขาดมาเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงต่อไปได้หรือไม่ เจ้าล้วนตัดใจได้เอง อีกทั้งความล้ำค่าของยันต์แผ่นนี้ยังอยู่ที่ตัววัสดุของกระดาษยันต์เอง นี่ก็คือการชดเชยต่ออาการบาดเจ็บทางกายของเจ้า”
เฉินผิงอันถึงได้กวักเอายันต์แผ่นนั้นมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยต่อว่า “เจียงซ่างเจินกับชุยตงซาน การที่สามารถปรากฎตัวได้อย่างกะทันหันก็เพราะเรียกยันต์สามภูเขาแผ่นนั้นออกมากระมัง วิธีการวาดยันต์ไม่ได้มีปัญหาอะไร น่าเสียดายที่ยังคงเป็นปัญหานั้น วัสดุยันต์แย่เกินไป แบกรับปณิธานมากเกินไปไม่ไหว ดังนั้นผลประโยชน์ทางจิตวิญญาณที่พวกเจ้าได้รับจากการเดินทางไกลไปเยือนสามภูเขาจึงมีน้อยมาก”
อู๋ซวงเจี้ยงหยิบเอา ‘ยันต์เขียวเยื้องกราย’ ที่ต่อให้อยู่ในป๋ายอวี้จิงก็ยากที่จะพบเห็นได้ออกมาสี่แผ่น โบกชายแขนเสื้อเบาๆ โยนพวกมันไปให้เจียงซ่างเจินและชุยตงซาน
ในใต้หล้าไพศาล สำนักเบื้องล่างลัทธิเต๋าสามสายของป๋ายอวี้จิงทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพแจกันสมบัติทวีป ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป ทุกครั้งที่มีคนเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวินล้วนจะต้องเผายันต์นี้ เพื่ออัญเชิญเจ้าลัทธิสามท่านที่แต่ละคนเคารพบูชามา ระดับความล้ำค่าของมัน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
——