กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 784.1 เชื้อเชิญ
ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่บริเวณโดยรอบศาลบุ๋น สถานที่ที่ผู้ฝึกตนเข้าพักแบ่งเป็นอำเภอพ่านสุ่ย เกาะยวนยาง ภูเขาอ๋าวโถว เกาะนกแก้ว
ผู้เฒ่าคิ้วยาวคนหนึ่งที่เพิ่งมาจากกุยซวีทะเลทักษิณได้มานั่งตกปลาอยู่บนเกาะยวนยางเรียบร้อยแล้ว
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนสองลำจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตระกูลเซียนบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาอ๋าวโถวแทบจะเวลาเดียวกัน แบ่งออกเป็นเรือข้ามฟากที่มาจากราชวงศ์เสวียนมี่และราชวงศ์เส้าหยวน
ราชวงศ์เสวียนมี่และราชวงศ์เส้าหยวนต่างก็ได้เลื่อนขั้นติดอันดับสิบราชวงศ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เรือข้ามฟากลำหนึ่งในนั้นมีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งเดินลงมา เพราะทางราชวงศ์ได้รับการดูแลจากดาวสุ่ยเต๋อ (หรือดาวพระพุทธ (น้ำ) มาจากห้าเต๋อ ห้าดาวหรือห้าธาตุ ได้แก่ดาวอังคาร (ไฟ) ดาวพระพุทธ (น้ำ) ดาวพฤหัส (ไม้) ดาวพระศุกร์ (ทอง) ดาวพระเสาร์ (ดิน) ) ทั่วทั้งราชสำนักจึงนิยมสวมใส่ชุดสีดำ
ผู้เฒ่าเรือนกายอ้วนฉุคนหนึ่งถือหยกสำหรับถือเล่นชิ้นหนึ่ง เวลานี้กำลังเอาหยกถูไถไปบนใบหน้า
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของราชวงศ์เสวียนมี่ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสิบหกพรรษาเท่านั้น อีกท่านหนึ่งคือฮ่องเต้ผู้อ่อนโยนเหมือนน้ำไหล ไท่ซ่างหวงผู้แข็งแกร่งปานเหล็กกล้า อวี้พ่านสุ่ยเจ้าประมุขสกุลอวี้
ข้างกายผู้เฒ่ามีอวี้เจวี้ยนฟูและอวี้ชิงชิงติดตามมาด้วย
ส่วนทางฝั่งของราชวงศ์เส้าหยวนนั้น จำนวนคนค่อนข้างมาก นอกจากฮ่องเต้ที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์แล้วก็ยังมีราชครูเฉาผู่ สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ รูปโฉมสุภาพสง่างาม ในมือถือแส้หางกวางสีขาวหิมะด้ามหนึ่ง หลินจวินปี้ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเขา และยังมีอาจารย์ซีหลูผู้เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เจี่ยงหลงเซียง
บรรพบุรุษสกุลเหยียนแห่งราชวงศ์เส้าหยวน ข้างกายมีสาวใช้เรือนร่างอวบอิ่ม คิ้วตางดงามเย้ายวนเป็นธรรมชาติ ตรงริมฝีปากมีใฝคนงามหนึ่งเม็ดซึ่งกำลังลูบไล้แมวป่าติดตามมาด้วย
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ห้าคนอย่างจินเจินเมิ่ง จูเหมย เหยียนลวี่ เจี่ยงกวานเฉิง และรวมหลินจวินปี้เป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เคยติดตามเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเดินทางไปท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน
เจี่ยงกวานเฉิงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย ในบ้านมีผู้อาวุโสสองคนที่ต่างก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษา มีชาติกำเนิดจากสายหย่าเซิง
ที่บอกว่า ‘เคยเป็น’ เพราะต่างก็รบตายอยู่ในสนามรบของทักษินาตยทวีปแล้ว
และอาจารย์ลุงของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็คืออดีตหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง เซียนกระบี่ผู้อาวุโส โจวเสินจือ
ขู่เซี่ย โจวเสินจือ ผู้ฝึกกระบี่สองคนต่างก็รบตายเช่นเดียวกัน คนหนึ่งตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนึ่งตายที่ฝูเหยาทวีป ต่างก็ไปตายที่ต่างบ้านต่างเมือง
เหยียนลวี่คือหลานของหลานทวดของบรรพบุรุษตระกูลเหยียน
จูเหมยไม่ได้มีเรือนร่างเป็นสาวน้อยอีกต่อไป แต่เริ่มสะโอดสะองโดดเด่น บรรพจารย์อาของนางคนหนึ่งคือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาของหลิวเสียทวีป อีกทั้งเล่าลือกันว่าตอนที่จูเหมยยังเด็กก็เคยฝันว่าได้ไปเยือนภูเขาแยนจือ ทำสัญญาลับๆ อย่างหนึ่งกับซานจวินใหญ่ที่เป็นสตรีซึ่งมีตำแหน่งฐานะสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เรียกได้ว่ามีบุญบารมีอย่างมาก
เพียงไม่นานที่ภูเขาอ๋าวโถวแห่งนี้ก็จัดวางกระดานหมากไว้สองอัน อันหนึ่งหมากล้อม อันหนึ่งหมากรุก เหมือนจัดตั้งสังเวียนมวย แม่ทัพหลักผู้เฝ้าพิทักษ์สังเวียนสองคนต่างก็เป็นคนหนุ่มที่ถูกผู้อาวุโสของตัวเองบังคับให้มาทำหน้าที่นี้ หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน สวี่ป๋ายหนึ่งในสิบตัวสำรองคนรุ่นเยาว์
เจี่ยงหลงเซียงกับหลินจวินปี้เล่นหมากล้อมด้วยกันก่อน คนที่มาชมอยู่รอบข้างมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็มีอวี้เจวี้ยนฟูกับอวี้ชิงชิง
ว่ากันว่าอาจารย์ซีหลูท่านนี้ ครั้งนี้ติดตามราชครูเฉาผู่เดินทางไกลมาเยือนที่แห่งนี้เพราะตั้งใจจะมาเยี่ยมเยือนเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวโดยเฉพาะ
เพียงแต่ว่าคนนอกต่างก็มั่นใจมากว่าเจี่ยงหลงเซียงย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารผู้นั้นแน่นอน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแม้แต่ฟู่จิ้นก็ยังเชิญมาไม่ได้
เล่าลือกันว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของฟู่จิ้น ‘จักรพรรดิขาวน้อย’ ผู้นั้นได้รับการสืบทอดวิชามาจากอาจารย์ของเขาถึงเจ็ดแปดส่วน
ได้แกะสลักตราประทับชิ้นหนึ่งขึ้นมากับมือตัวเอง เป็นคำว่า ‘อันดับสี่แห่งใต้หล้า’
หากไม่ผิดไปจากที่คาด อันดับหนึ่งคือเจิ้งจวีจง อันดับสองคือซิ่วหู่ชุยฉานที่สร้างตำราหมากล้อมเมฆหลากสีที่นครจักรพรรดิขาว อันดับที่สี่คือฟู่จิ้น ถ้าอย่างนั้นอันดับที่สามคือใครกันแน่ นี่ก็ได้กลายเป็นคดีปิดไม่ลงที่ไม่เล็กไม่ใหญ่บนภูเขาคดีหนึ่งไปแล้ว
ทางฝั่งของสวี่ป๋ายก็มีคนเบียดเสียดเช่นเดียวกัน คนที่ประลองฝีมือกับเขาคือยอดฝีมือของสำนักจ้งเหิง ในบรรดาคนที่มาชมก็มีฉุนชิงที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่
นางเคยเดินทางไปท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปร่วมกับสวี่เซียนผู้นี้
อันที่จริงลำพังเพียงแค่สวี่ป๋ายและฉุนชิงสองคนก็เหมือนเทพเซียนหยกคู่ที่เป็นทัศนียภาพงามเลิศล้ำอย่างหนึ่งได้อยู่แล้ว
นอกจากสี่สถานที่นี้ก็ยังมีที่พักที่ค่อนข้างเป็นความลับอยู่อีกสองสามแห่ง แบ่งออกเป็นสถานที่ที่จัดไว้ให้กับพุทธ เต๋า การทหาร สองลัทธิหนึ่งสำนัก รวมไปถึงบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก นอกเหนือจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของใต้หล้าไพศาลอีกบางส่วน เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงเทียนจวินอีกหลายท่านที่มาจากสามลัทธิของป๋ายอวี้จิงเช่นเดียวกัน ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในโถงเดียว นอกจากนี้ยังมีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักหญิงของสำนักชิงเหลียง เฉาหรงศิษย์พี่ของนาง และเซียนฉาศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ และกู้ชิงซงนามแฝงของคนผู้นี้ก็มีชื่อเสียงมากกว่าชื่อจริงของเขาเสียอีก
สำนักโองการเทพแห่งแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงคือสำนักเบื้องล่างของสำนักชิงเสวียนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นกเฟยหลวนเยื้องกรายลงมาของสำนักชิงเสวียนก็ยิ่งเป็นหนึ่งในใต้หล้าไพศาล
ครั้งนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อมาพบอาจารย์อาน้อยของสำนักโองการเทพในอดีต หรือผู้ดูแลตำราของสำนักชิงเสวียนในทุกวันนี้อย่างโจวหลี่
ทว่าอาจารย์อาน้อยในอดีตผู้นี้ ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน
เฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงได้แต่พบเทียนจวินฉีเจิน รวมไปถึงเกาเจี้ยนฝูคนร่วมสำนักในอดีต นางกับคนผู้นี้ ในอดีตเคยได้รับการยอมรับจากแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยก เป็นคู่สร้างคู่สม
คาดไม่ถึงว่าผ่านมานานหลายปี เมื่อทั้งสองได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง วัตถุยังคงเดิม แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว
คนหนึ่งคือผู้สืบทอดของสำนักที่ยังมีขอบเขตเป็นแค่ก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งคือเจ้าสำนักแห่งหนึ่งที่มีขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
ฉีเจินไม่ได้รู้สึกยอกแสลงใจต่อเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ออกไปจากสายของสำนักโองการเทพแม้แต่น้อย สำหรับการที่นางสามารถสร้างสำนักขึ้นในอุตรกุรุทวีปได้ ก็ยิ่งปลาบปลื้มอย่างมาก
ดังนั้นได้พบเจอกันครั้งนี้ ฉีเจินยังเอ่ยสัพยอกเฮ้อเสี่ยวเหลียงว่าครั้งนี้จะได้พบสวี่เซวี่ยนผู้นั้นหรือไม่
ริมน้ำของเกาะนกแก้ว โจวหลี่นักพรตแห่งสำนักชิงเสวียนกับหลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเดินเคียงบ่าไปด้วยกัน ด้านหลังหลี่ซีเซิ่งมีเด็กหนุ่มคนกระเบื้องอย่างชุยซื่อติดตามมา
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่างก็เลื่อนเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์กันหมดแล้ว”
โจวหลี่ยิ้มเอ่ย “ไปอำเภอพ่านสุ่ย ไปเล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวีจงสักตาดีไหม?”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “ไม่รีบร้อน”
นักพรตเฒ่าสวมชุดสีม่วงคนหนึ่งเร่งรุดมาที่ท่าเรือ เอ่ยกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ในตลาดของเมืองล่างภูเขาแห่งหนึ่งว่า “เจ้าหนูน้อย คุณสมบัติไม่เลวเลยนะ คือต้นกล้าที่ดีในการฝึกตน รูปกระดูกเหมือนเซียน อย่างน้อยก็ต้องได้เป็นสละศพล่าง มีหวังเป็นสละศพบน หรือหากโชคดีอีกหน่อย อนาคตก็ยิ่งยาวไกลมิอาจประมาณการณ์ได้เชียวนะ วันหน้ากลายเป็นเจินเหรินบนพื้นดิน ทะยานร่างหายไปในก้อนเมฆได้ง่ายๆ จะก้าวเดินท่องไปตามเมฆา หรือจะลงน้ำแฝงกายในแม่น้ำมหาสมุทร ฟ้าดินก็มิอาจพันธนาการได้”
เด็กชายคนนั้นถือแป้งย่างไว้ในมือข้างละแผ่น หันไปกัดทางซ้ายหนึ่งคำ ทางขวาหนึ่งคำ
นักพรตเฒ่าเอ่ย “กินขนมแล้วก็ไม่สู้ติดตามข้าขึ้นเขาไปฝึกตนดีไหม จะต้องมีอายุขัยยืนยาว ได้อยู่ในโลกไปอีกยาวนาน หนาวร้อนมิอาจทำลายรากฐานแห่งมรรคา ผีเทพก็มิกล้ากล้ำกราย ห้าทัพร้อยแมลงมิอาจประชิดใกล้ตัว พ่อแม่ของเจ้าล่ะ ข้าจะไปบอกพวกเขาสักคำ”
เด็กชายคนนั้นเอาแต่กินขนมแป้งย่าง ไม่พูดคุยด้วย
นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
เด็กชายยกมือขึ้นคล้ายต้องการส่งขนมแป้งย่างที่เหลืออีกครึ่งแผ่นให้นักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่ายื่นมือไปรับ เด็กชายรีบหดมือกลับ หันหน้าไปอีกทางแล้วตะโกนดังลั่น “แม่ ตรงนี้มีตาเฒ่านักต้มตุ๋นอยู่คนหนึ่ง!”
นอกฟ้า
จั่วโย่วแลกกระบี่กับเซียวสวิ้นคนละที
สุดท้ายจั่วโย่วทิ้งตัวดิ่งลงมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าเซียวสวิ้นกลับมิอาจหวนคืนมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ แต่ถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันไปทีหนึ่งจนร่างกระเด็นไปยังใต้หล้ามืดสลัว
จั่วโย่วนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงที่เหลือเพียงครึ่งเดียว ใช้มือข้างเดียวค้ำยันกระบี่เอาไว้ บาดแผลเต็มทั่วร่าง
ส่วนแม่นางน้อยมัดผมแกละคนนั้นก็ยิ่งสบถด่าดังลั่น ถึงกับถูกจั่วโย่วใช้กระบี่ฟันน่องเล็กขาด นางลอยตัวอยู่กลางอากาศประกบขาสองท่อนเข้าด้วยกัน
จั่วโย่วเงยหน้าขึ้น
มองเห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งทะยานลมเร่งรุดมายังที่แห่งนี้ ข้างกายมีภูตน้อยท่าทางขลาดกลัวอยู่ตนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่จั่ว”
จั่วโย่วลุกขึ้นยืน ไม่เอ่ยคำใด
ชายฉกรรจ์จนใจยิ่งนัก “ศิษย์พี่ใหญ่”
จั่วโย่วถึงได้พยักหน้ารับ
ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไม่ไกลมีชายฉกรรจ์ท่าทางทึ่มทื่อสวมรองเท้าสาน ก็คือจวี้จื่อ (คำเรียกผู้นำของสำนักโม่) ของสำนักโม่รุ่นปัจจุบัน เดิมทีเขาจะไปศาลบุ๋นแผ่นดินกลางพร้อมกับหลิวสือลิ่ว
จั่วโย่วไม่ได้ทักทายจวี้จื่อสำนักโม่ผู้นั้น ฟังคำแนะนำจากจวินเชี่ยนแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยกับภูตน้อยว่า “สวัสดี ข้าชื่อจั่วโย่ว จะเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงจั่วก็ได้”
ภูตน้อยพูดเสียงสั่น “คารวะอาจารย์ลุงจั่ว!”
ในใจกลับรู้สึกลิงโลดเล็กน้อย อาจารย์ลุงจั่วนิสัยไม่แย่เลย ดีจะตายไป ข่าวลือของคนนอกเชื่อถือไม่ได้จริงๆ เสียด้วย
จั่วโย่วถาม “ศิษย์น้องเล็กล่ะ?”
จวินเชี่ยนส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
จั่วโย่วกำลังเหน็บกระบี่ไว้ข้างเอว พอได้ยินก็เลิกเปลือกตาขึ้นน้อยๆ ขมวดคิ้วนิดๆ
จวินเชี่ยนเอ่ยอย่างอ่อนใจ “การประชุมศาลบุ๋นครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องได้พบหน้ากัน”
จั่วโย่วเอ่ยอย่างมีโทสะ “เป็นศิษย์พี่ประสาอะไร”
จวินเชี่ยนจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุยเสียใหม่ “อาจารย์ต้องกำลังรอพวกเราอยู่แน่ รีบออกเดินทางเถอะ”
ภูตน้อยตนนั้นเบิกตากว้าง อาจารย์ลุงจั่วค่อนข้างดุกับอาจารย์ของตนเลยนะนี่
อำเภอพ่านสุ่ยที่อยู่ใกล้กับท่าเรือเวิ่นจิน พวกชาวบ้านไม่เพียงแต่ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ยังได้เห็นเทพเซียนจากสถานที่ต่างๆ มาจนเคยชินแล้วด้วย จึงไม่เห็นความอึกทึกครึกครื้นของท่าเรือครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญนัก กลับเป็นเทพเซียนบนภูเขาบางส่วนที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำที่กรูกันมาถึง เพียงแต่ว่าต้องหยุดอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ยตามกฎของศาลบุ๋น ไม่อาจเดินทางขึ้นเหนือต่อไปได้อีก ไม่อย่างนั้นก็ต้องอ้อมเส้นทางไปยังสถานที่อีกสามแห่งที่เหลือ ไม่มีใครกล้าก่อเรื่อง ละเมิดกฎเกณฑ์ เพราะทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า อย่าว่าแต่ขอบเขตบินทะยานอะไรเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง มาถึงที่นี่ก็ยังต้องทำตามกฎอยู่ดี
ทว่าหากอยู่ภายในกฎเกณฑ์กลับกลายเป็นว่าไม่ต้องยำเกรงอะไรมากนัก ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่าทำตัวผ่อนคลายได้ยิ่งกว่าอยู่ในสถานที่อื่นๆ ของใต้หล้าไพศาลเสียอีก
เวลาเพียงไม่นานก็มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่เต็มทั่วทุกหัวถนน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเทพธิดาที่มาจากภูเขาต่างๆ เหลาสุรา โรงเตี๊ยม หอเก็บตำราของตระกูลปัญญาชนแห่งต่างๆ ในตัวอำเภอ สรุปก็คือสถานที่ทุกแห่งที่การมองเห็นเปิดกว้างล้วนถูกเซียนซือต่างถิ่นเหมาเอาไว้หมดแล้ว
สำหรับเทพธิดาของแต่ละฝ่ายแล้ว คนที่พวกนางพะวงห่วงหามากที่สุดก็คือบุรุษสี่คน
แบ่งออกเป็นหลิ่วชี
ฉีถิงจี้แห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยง
ฟู่จิ้น ‘จักรพรรดิขาวน้อย’
เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวน
เพราะเหตุใด
ก็คนเหล่านี้หล่อเหลาน่ามองที่สุดนี่นา
แขกในห้องบุปผาหลากสีงดงาม ปัญญาชนชุดขาวผู้มีชื่อเสียงดั่งอัครเสนาบดี
ฟู่จิ้นที่ชอบสวมชุดสีขาวท่องไปทั่วหล้าคือลูกศิษย์ใหญ่ของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ฟู่จิ้นมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรพบุรุษอยู่ลูกหนึ่ง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้มีชื่อประหลาดอย่างมาก แค่อักษรเดียว ‘สาม’ กระบี่บินที่บำรุงฟูมฟักออกมามีความแข็งแกร่งทนทานเป็นที่สุด แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเพราะฟู่จิ้นหน้าตาหล่อเหลา ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไร น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เป็นอย่างไร ล้วนเป็นแค่บุปผาที่ปักเพิ่มลงบนผ้าแพรเท่านั้น
ฉีถิงจี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้ยินมาว่ารูปโฉมงดงามคมคายยิ่ง สตรีที่เคยพบเจอเขาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเซียนกระบี่ฉีไม่แก่เลยสักนิด ส่วนเวทกระบี่เป็นอย่างไร ก็ยิ่งไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว
ส่วนเฉาสือผู้นั้น อายุน้อยที่สุด แต่หมัดกลับสูงประหนึ่งทวยเทพแล้ว
สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปได้ตั้งบ่อนเดิมพันขึ้นเพื่อเฉาสือโดยเฉพาะ มีชื่อว่า ‘ผู้มิพ่าย’
ภายในห้าปี ขอแค่เฉาสือพ่ายแพ้ด้านวิชาหมัดให้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนใดก็ตาม ลงเดิมพันหนึ่งส่วนสกุลหลิวก็จะจ่ายเงินให้สิบส่วน
ไม่ว่าจะในท่าเรือหรือร้านค้าแห่งใดก็ตามที่เปิดทั่วใต้หล้าซึ่งเป็นกิจการของสกุลหลิว ทุกคนล้วนสามารถลงเดิมพันได้ เงินเทพเซียนไม่มีจำกัด
พวกที่ลงเงินกระจัดกระจายเพื่อความบันเทิง ส่วนใหญ่จะเป็นเงินเกล็ดหิมะหรือเงินร้อนน้อย ถือเป็นแค่เงินที่ไหลหายไปกับกระแสน้ำ
ดังนั้นการลงเดิมพันด้วยเงินเทพเซียนก้อนใหญ่มากหลายๆ ก้อนในนั้นจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ อวี้พ่านสุ่ยทุ่มเงินฝนธัญพืชสามร้อยเหรียญ
เล่าลือกันว่ายังมีฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ที่ควักเงินฝนธัญพืชออกมาทีเดียวห้าร้อยเหรียญ
เจ้าคนผู้หนึ่งของใบถงทวีปที่มีชื่อว่า ‘โจวเค่าซาน’ ก็ยิ่งไม่เห็นเงินเป็นเงิน เสียสติถึงขั้นลงเดิมพันเงินฝนธัญพืชหนึ่งพันเหรียญ
และยังมีผู้ฝึกตนชายคนหนึ่งที่ทุ่มเงินจ้างจิตรกรเอกให้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน เพื่อให้เทพธิดาสาวงามในตำนานทั้งหลายได้เห็นแล้วเก็บภาพวาดภาพหนึ่งเอาไว้
ฮูหยินภูเขาชิงเสิน เจ้าแห่งบุปผาพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เทพีบุปผาเจ้าชะตาสี่ท่าน จิ้งจอกฟ้าสิบหางของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ยังมีฮ่วนซาฮูหยิน ถัวเหยียนฮูหยินที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง…
ในอำเภอพ่านสุ่ยมีร้านหนังสืออยู่เยอะมาก
คนหนุ่มผู้หนึ่งที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนสวมชุดสีเขียว เดินเข้ามาเลือกหนังสือในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
ร้านไม่ใหญ่ แต่กลับมีหนังสือเยอะ ชั้นวางหนังสือไม่พอใช้ ตรงมุมต่างๆ จึงมีภูเขาหนังสือลูกเล็กวางกองกันอยู่
เถ้าแก่ร้านหนังสือยิ้มถาม “เจ้าหนุ่ม เจ้าเองก็มากับพวกผู้อาวุโสเหมือนกันหรือ?”
ผู้เฒ่าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เผชิญหน้ากับเซียนซือบนภูเขาที่รูปโฉมไม่สอดคล้องกับอายุกลับยังคงไร้ความหวาดเกรง
คนหนุ่มได้ยินก็เงยหน้าขึ้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่ว่าสามารถเข้าร่วมงานประชุมของศาลบุ๋นได้กระมัง?”
แล้วผู้เฒ่าก็หัวเราะกับตัวเอง “หากเป็นเช่นนี้จริงก็เชิญเลือกหนังสือได้ตามสบาย เอาไปเปล่าๆ ได้เลย ต่อให้ใส่ไปเต็มถุงก็ยังไม่เป็นปัญหา แต่ต้องทิ้งผลงานน้ำหมึกไว้ชิ้นหนึ่ง ตกลงไหม?”
บัณฑิตหนุ่มส่ายหน้า “ข้าไม่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุมหรอก”
ผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาเป็นคนคุยเก่ง จึงถามว่า “ร้านที่ท่าเรือเวิ่นจินไม่ได้มีของดีของตระกูลเซียนมากกว่าหรอกหรือ? ก็แค่ราคาแพงไปสักหน่อย แต่สำหรับเซียนซืออย่างพวกเจ้าแล้วน่าจะไม่นับเป็นอะไรได้”
คนหนุ่มกล่าว “อันที่จริงหากเป็นท่าเรือตระกูลเซียนกลับกลายเป็นว่าขายหนังสือน้อย”
ผู้เฒ่าหัวเราะ “ก็จริงนะ ต่อให้ราคาหนังสือจะแพงแค่ไหน จะเป็นฉบับสมบูรณ์มีเล่มเดียวหรือไม่ ถึงอย่างไรก็มีจำนวนจำกัด หาเงินก้อนใหญ่เป็นกอบเป็นกำอะไรไม่ได้จริงๆ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าถาม “เจ้าคือลูกหลานสกุลเฉินผู้รอบรู้หรือ?”
ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ใบถงทวีป เรือข้ามฟากของสามทวีปนี้ส่วนใหญ่จะมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือเวิ่นจิน
คนหนุ่มส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ซื้อหนังสือไปแล้วก็คิดเงินแล้วจากมา ไม่ได้หดย่อพื้นที่อยู่ในมุมเงียบสงบเพื่อตรงกลับที่พัก แต่เดินเท้าต่อไป อยากจะเดินไปตามตรอกซอกซอยให้มากหน่อย
ตรงมุมเลี้ยวของถนนที่อยู่ใกล้กับเรือนพัก บัณฑิตหนุ่มที่เดินอยู่ในตรอกมองไกลๆ ไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นางสะพายห่อผ้าเอียงๆ บนร่างสวมชุดกระโปรงมังการสาวเซียงจวินที่ไม่ค่อยเข้ากับรูปร่างสักเท่าไร บนข้อมือสวม ‘ไข่มุกบนฝ่ามือ’ พวงหนึ่งที่หลอมมาจากไข่มุกฉิว
นางมักจะลูบกำไลข้อมือตามจิตใต้สำนึกเป็นประจำ คล้ายกังวลว่าจะทำมันหายไป เวลานี้นางเขย่งปลายเท้า เฝ้ามองตาปริบๆ มาทางนี้ ในมือกำกระจกทองแดงไว้บานหนึ่ง กู้ช่านเหลือบตามองก็เห็นว่าลักษณะเป็นกระจกใสโปร่งแสงของบนภูเขา เพราะว่ามีตัวอักษรแกะสลักไว้วงหนึ่ง ‘เทพหลอมเซียนถ่ายทอด พบแสงตะวัน เจอแก่นจันทร์ ใต้หล้าร่วมกันส่องสว่าง’
เพียงแต่ว่าชุดกระโปรง กำไลข้อมือ กระจก ล้วนเป็นของปลอม
นี่ก็เหมือนของเลียนแบบทางการในบรรดาเครื่องกระเบื้องทั้งหลาย มีบางส่วนที่ไม่มีค่า แต่ก็มีบางส่วนที่มีราคามาก
——