กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 786.5 ไม่มีอะไรให้พูด
ฉีถิงจี้หรี่ตาลง
หนึ่งในเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยภูเขาห้อยหัวในอดีต เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตตนหนึ่ง
เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกก็เกิดความคิดเช่นเดียวกัน ฮ่วนซาฮูหยินผู้นั้น แท้จริงแล้วออกจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์กลับมายังใบถงทวีป
ดวงตาของตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ฉายประกายเจิดจ้า นางพลันรู้สึกถูกชะตากับหยวนพางผู้นี้ขึ้นมาทันที เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของนางนอกจากเซียนจับปลาซึ่งเป็น ‘เสมียนเก่าแห่งหลุมน้ำลู่’ และตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณไม่กี่คนนั้นแล้ว ก็ยังมีเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนตนหนึ่งที่ได้แต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวเท่านั้น ถึงอย่างไรทุกวันนี้สถานะของนางก็สูงศักดิ์ ไม่ได้ขาดลูกสมุนที่เป็นเช่นนี้ เก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกายไม่ได้มีความหมายมากนัก ต่อให้จำต้องคลายพันธะสัญญา ยอมให้มันไปก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาเอง ถึงเวลานั้นเป็นเจ้าสำนัก ยามที่คนอื่นพูดถึงขึ้นมา ก็ยังเป็นหน้าเป็นตาให้นางได้อยู่ดี
ถึงเวลานั้นค่อยให้เจ้าหมอนั่นมอบยศเจ้าสำนักไท่ซ่างให้ตน…
นางพลันสัมผัสได้ถึงสายตาหนึ่ง เป็นของฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้น! นางจึงรีบเก็บงำสีหน้า ได้แต่นินทาในใจไม่หยุด แน่จริงเจ้าก็ไปหาเอาเองสิ นักพรตยอดเขาพาตี้ของพวกเจ้าชอบกำจัดปีศาจปราบมารกันนักไม่ใช่หรือ เวลานี้ได้แต่อึ้งงันแล้วล่ะสิ?
ฮว่อหลงเจินเหรินใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “อึ้งงันอะไร?”
ตั้นตั้นฮูหยินสีหน้าแข็งค้าง ลองพึมพำในใจอย่างหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค ฮว่อหลงเจินเหรินท่านผู้อาวุโสก็เป็นศาสตร์อ่านใจคนด้วยหรือ?
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มรรคกถาของข้าผินเต้าตื้นเขิน ไหนเลยจะรู้ศาสตร์การอ่านใจคน”
สีหน้าของตั้นตั้นฮูหยินขมขื่น น่าอนาถนัก ดูท่าพอจบงานประชุมของศาลบุ๋นครั้งนี้คงต้องรีบเผ่นหนีเสียแล้ว
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มเอ่ยอีกว่า “หมวกขุนนางใหญ่ขนาดนั้น ที่ว่าการก็ใหญ่โตโอ่อ่าปานนั้น จะเผ่นหนีไปที่ไหนอีกเล่า?”
ตั้นตั้นฮูหยินถึงกับมีใจนึกอยากตายแล้ว
ระหว่างผู้ฝึกตนสองคนที่เป็นขอบเขตเดียวกัน จะเอาศาสตร์การอ่านใจผายลมสุนัขมาจากไหนกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!
เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ด้วยการยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าขู่ตั้นตั้นฮูหยินให้กลัวอีกเลย”
ตั้นตั้นฮูหยินโล่งอก พลันสังเกตเห็นว่าในสายตาของฮว่อหลงเจินเหรินเต็มไปด้วยแววดูแคลน นางที่รู้สึกตัวช้าเพิ่งจะคิดได้ว่า หรือว่าคนที่เป็นศาสตร์การอ่านใจยังมีเทียนซือใหญ่ด้วยอีกคน?
อวี๋เสวียนปลอบใจนางด้วยสีหน้าจริงจัง “จ้าวเทียนซือคุณธรรมสูงส่ง ต่อให้เป็นศาสตร์อ่านใจก็ไม่มีทางร่ายใช้มันกับเจ้าหรอก”
ตั้นตั้นฮูหยินอึ้งงันเป็นไก่ไม้
หากเป็นไปได้ล่ะก็ นางอยากจะขอร้องนายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่ง ให้นางออกไปจากที่นี่ ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุมแล้ว
จิตรกรท่านหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นได้เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกมาวางไว้บนโต๊ะนานแล้ว แล้วก็ได้วาดภาพออกมาแล้วสามภาพ ภาพหนึ่งคือหลี่เซิ่ง อีกภาพหนึ่งเป็นของซิ่วไฉเฒ่าที่ได้สถานะเหวินเซิ่งกลับคืนมาอีกครั้ง อีกภาพหนึ่งคือเหล่านักปราชญ์แห่งเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ทว่าหลังจากที่หยวนพางเปิดปากพูด ผู้เฒ่าก็หัวเราะแล้ววาดภาพขึ้นมาอีกหนึ่งภาพ
เฉินผิงอันรู้ดีถึงความร้ายกาจของคำพูดประโยคนี้ของหยวนพาง
นี่ก็คือพลังของการใช้กฎระเบียบได้อย่างเชี่ยวชาญ เอากฎระเบียบมาใช้จนถึงจุดที่อัศจรรย์ คล้ายอาศัยฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีมาสร้างฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง
น่าเสียดายที่กู้ช่านไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะต้องได้ประโยชน์มหาศาลอย่างแน่นอน
หากสำเร็จ ก็ยังมีศาลบุ๋นที่จะต้องจัดการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรม หยวนพางก็จะมีคุณความชอบในให้การให้คำเสนอแนะ
ต่อให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จ อย่างน้อยที่สุดผู้ฝึกตนบนยอดเขาอย่างเช่นฉีถิงจี้ ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ เทพีบุปผาแห่งพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ฯลฯ ก็จะต้องเห็นแก่น้ำใจของหยวนพางหนึ่งส่วน
จะบอกว่าเจ้าสำนักของสำนักแห่งอื่นรู้สึกชิงชังหยวนพางจริงๆ หรือ? ก็อาจจะมีบ้างคนสองคน ทว่าผู้ฝึกตนที่มากกว่านั้น นับแต่นี้ไปกลับจะเริ่มมองหยวนพางเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ไม่ได้มองเขาเป็นเพียงลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของสายหย่าเซิ่งเท่านั้นอีกต่อไป
หากหยวนพางสามารถทำให้แปดทวีปของไพศาลมีสำนักที่เป็นของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเพิ่มมาแปดแห่งได้จริงๆ
เผ่าปีศาจในท้องถิ่นแทบทั้งหมดของใต้หล้าไพศาล เกรงว่าก็คงต้องเอ่ยขอบคุณหยวนพางจากใจจริง
มีคามเป็นไปได้ว่าหยวนพางในวันนี้อาจกลายมาเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของเผ่าปีศาจในใต้หล้าไพศาลด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเขา ถ้าอย่างนั้นการประชุมในศาลบุ๋นคราวหน้า เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหยวนพาง หรือรองผู้อำนวยการหยวน ผู้อำนวยการใหญ่หยวนของสถานศึกษาในอนาคตก็สามารถใช้ถ้อยคำแค่ไม่กี่คำ ก็สามารถตัดสินชะตาชีวิตของภูเขาต้นไม้เหล็กและปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งได้เช่นกัน และกวอโอ่วทิงผู้นั้น หากจะพูดถึงความสามารถในการเข่นฆ่า อย่าว่าแต่หยวนพางคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นหยวนพางหนึ่งกลุ่มก็ยังไม่สามารถสังหารนักพรตโยวหมิงผู้นี้ได้อยู่ดี
หมัดก็คือเหตุผล
แต่เหตุผลก็คือหมัดเช่นกัน
หนึ่งนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และอาจจะสะใจเต็มอารมณ์ได้มากกว่า ทว่าอย่างหลัง ฆ่าคนช่วยคนล้วนไร้รูปลักษณ์
ดังนั้นทั้งสองอย่างนี้ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
อาเหลียงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เฉินผิงอัน อย่าลืมนายท่านผู้เฒ่าป๋ายคนนั้นล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้า
สุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องของการก่อตั้งสำนักในแปดทวีป ทางฝั่งของอาจารย์ผู้เฒ่าต่งแห่งศาลบุ๋นก็ยุติลงด้วยคำว่าไว้ค่อยหารือกัน
เรื่องที่ห้าก็คือชื่อเรียกของใต้หล้าแห่งที่ห้า รวมไปถึงกลยุทธ์ในการับมือของใต้หล้าไพศาลหลังจากที่ประตูใหญ่เปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ฉีถิงจี้พลันถามผู้ฝึกกระบี่สามคนที่อยู่ข้างกาย “ใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้นเป็นลัทธิขงจื๊อที่จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลกว่าจะบุกเบิกมาได้ เหตุใดศาลบุ๋นกลับยินดีจะรับตัวผู้ฝึกตนของอีกสองใต้หล้าที่เหลือให้ไปอยู่ที่นั่นด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า นี่คือปริศนาที่ใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ
ศิษย์พี่จั่วโย่วก็ยิ่งเป็นคนใบ้ยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก
อาเหลียงเบ้ปาก “คงมีแค่บรรพจารย์ของสามลัทธิเท่านั้นที่รู้กระมัง”
อาเหลียงคิดแล้วก็เอ่ยเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “บางทีหลี่เซิ่งแล้วก็เจ้าลู่เหล่าซานที่ชอบยิ้มหน้าเป็นผู้นั้นก็อาจจะเดาได้”
ชื่อสุดท้ายที่ทางศาลบุ๋นตั้งให้กับใต้หล้าแห่งที่ห้าก็คือชื่อที่ทำให้คนบอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี
ใต้หล้าห้าสี
มาถึงอย่างเชื่องช้า ถ่วงเวลามานานหลายปี ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดก็มีการกำหนดที่แน่นอนแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาลง เริ่มพลิกค้นความทรงจำอย่างว่องไว
‘แสงห้าสีห้อยย้อยจากบนนภา โลกมนุษย์สงบสันติ’ ‘บทประพันธ์ห้าสีตะขอเกี่ยวปะการัง ความคิดจิตใจกลั่นออกเป็นตำรา’ ทั้งสองประโยคล้วนเป็นถ้อยคำของนักกวี
ห้าสีกลายเป็นโลกสีทอง คือภาษาของลัทธิพุทธ
ประกายศักดิ์สิทธิ์สาดเก้าแสงห้าสี รวมกันเป็นไข่มุกหนึ่งเม็ดบนหอเซียน คือภาษาของลัทธิเต๋า
และยังมีอีกประโยคหนึ่ง แสงสว่างห้าสีสาดส่องทั่วหล้า ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ ยิ่งใหญ่ไพศาลไร้สิ่งกีดขวาง
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่เชี่ยวชาญศาสตร์การคิดคำนวณทั้งหลายต่างก็เริ่มคิดคำนวณในใจเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
อาเหลียงเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “จั่วโย่ว พวกเรามาจิบเหล้ากันสักหน่อยไหม? เจ้าเอาก่อนเลย ข้าขี้ขลาดเกินไป ไม่ค่อยกล้าหรอก”
จั่วโย่วกล่าว “ขอแค่เจ้ากล้าเอาเหล้าออกมาสองกา ข้าก็จะดื่ม”
อาเหลียงหัวเราะหึหึ เพียงแต่ว่าเพิ่งจะขยับเคลื่อนไหว ท่าทางที่เดิมทีจะหยิบเอากาเหล้าออกมาก็เปลี่ยนมาเป็นตบชายแขนเสื้อแทน
เพราะว่ามีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเขา “จะเลี้ยงเหล้าหลี่เซิ่ง เลี้ยงเหล้าข้าและเหวินเซิ่งคนละกาด้วยหรือไม่เล่า?”
อาเหลียงหัวเราะแห้งๆ สองสามทีแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
เกี่ยวกับเรื่องการเปิดประตูใหญ่ของใต้หล้าห้าสีครั้งถัดไป เหล่าบรรพจารย์เมธีร้อยสำนักต่างก็มีข้อคิดเห็นต่างกันไป
บวกกับเรื่องนี้ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับโชคชะตาของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนออกความเห็นในการประชุมมากที่สุด
อาเหลียงถอนหายใจ รู้ว่าเหตุใดพวกบรรพจารย์ถึงได้แย่งชิงกันเสนอความเห็นเช่นนี้ เพราะว่าอีกไม่นานก็จะมีข้อเสนอหนึ่ง หรือควรพูดว่าไม่ถือว่าเป็นการปรึกษาหารือแล้ว แต่เป็นการตัดสินใจที่แน่นอนแล้วของศาลบุ๋น ตาแก่พวกนี้ก็ได้แต่ทำให้ดีที่สุด จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้แต่ปล่อยไปตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นสำนักการค้า เหตุใดอาจารย์ฟ่านท่านนั้นถึงได้มั่นใจขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่าฐานะของสำนักการค้าจะได้เลื่อนขั้นในวันนี้ นอกจากนี้สำนักโอสถ สำนักกสิกรรม ฯลฯ ก็ล้วนจะเป็นเช่นเดียวกัน เพราะว่าท่ามกลางสงครามครานั้น พวกเขาคือกลุ่มคนที่หากไม่ออกแรงมากที่สุดก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมากที่สุด ก็เหมือนแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของเฉินผิงอันที่เดิมทีไม่ได้ใส่ใจผู้ฝึกลมปราณสำนักโอสถเท่าใดนัก ทุกวันนี้กลับให้ความเคารพนับถือกันแทบทุกคน ถึงขั้นที่ว่าเป็นเหตุให้ผู้ฝึกลมปราณสำนักโอสถทุกคนที่เดินทางไกลไปเยือนแจกันสมบัติทวีปล้วนถูกยกให้เป็นแขกผู้มีเกียรติในทุกๆ สถานที่ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง เดินอยู่บนถนนทางหลวง ขอแค่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมาพบเข้า ฝ่ายหลังก็ยังต้องกุมหมัดคารวะแสดงความเคารพเหมือนกันหมด
ส่วนสำนักการทหาร แน่นอนว่าคุณความชอบย่อมยิ่งใหญ่มาก เพียงแต่ว่าจะเลื่อนขั้นไปอย่างไรได้อีก? เดิมทีก็เป็นสามลัทธิหนึ่งสำนักที่สถานการณ์หมื่นปีไม่แปรเปลี่ยนอยู่แล้ว หรือว่าสำนักการทหารจะตั้งตนเป็นลัทธิขึ้นมาอีก? ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ดังนั้นเจ้าเฒ่าเจียงที่เป็นผู้มีเทวรูปตั้งวางเป็นหนึ่งในสิบปราชญ์ของศาลบู๊ รวมไปถึงตาเฒ่าเว่ยผู้นั้น อันที่จริงก็คือสองคนที่คำพูดมีน้ำหนักอย่างมากในการประชุมศาลบุ๋นครั้งนี้
ตำแหน่งฐานะของสำนักการทหารไม่เปลี่ยนก็จริง ทว่าผลประโยชน์แท้จริงที่ได้รับต้องไม่มีทางน้อยไปแน่
เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนสำนักการทหารกลุ่มที่มีตาเฒ่าเจียงเป็นผู้นำนี้ นิสัยก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ฝึกกระบี่สักเท่าไร อีกทั้งยังมีคนมากกว่า คุณูปการก็ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าคนมากเสียงก็ต้องดังตามไปด้วย
เพราะว่าพูดคุยถึงใต้หล้าห้าสีแห่งนั้น อันดับแรกที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ก็คือนครบินทะยาน รวมไปถึงผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนแรก และตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าห้าสี หนิงเหยา
ทว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นกลับยังคงไม่เปิดปากพูดอะไร
ซิ่วไฉเฒ่าทั้งสงสารทั้งปลาบปลื้ม
นครบินทะยานแห่งนั้นไม่ต้องการให้ใครไปปักบุปผาลงบนผ้าแพรอะไรทั้งนั้น ขอแค่ประคับประคองสถานการณ์ในปัจจุบันให้คงอยู่ต่อไปก็คือสภาพการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว ขอแค่ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงตามกลยุทธ์ที่กำหนดเอาไว้ นครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าห้าสีก็คือพี่ใหญ่ที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน เมื่อเทียบกับตำแหน่งพี่ใหญ่ที่ซิ่วไฉเฒ่าแต่งตั้งให้ตัวเองในสวนกงเต๋อแล้วยังมีบารมีมากกว่า ดังนั้นนครบินทะยานจะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด ขอแค่สามสายอย่างอิ่นกวาน สิงกวานและเฉวียนฝู่ไม่ขัดแย้งกันเอง ไม่เก่งกันแต่ในโปงผ้าห่ม ครั้งหน้าที่ประตูใหญ่เปิดออก ต่อให้ปล่อยผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนกลุ่มหนึ่งที่จำนวนมีจำกัดเข้ามา แล้วอย่างไร? จะสามารถเขย่าคลอนตำแหน่งของนครบินทะยานได้หรือ? คิดว่าตัวเองเป็นทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตบินทะยานหรืออย่างไร ถึงได้กล้ากร่างขนาดนั้น?
อวี๋เสวียนใช้เสียงในใจถาม “น้องฮว่อหลง เฉินผิงอันนิสัยดีขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ดูไม่ค่อยห้าวหาญเลยนะ ข้าคอยสังเกตเจ้าเด็กนี่อยู่ตลอดเวลา เวลานี้เริ่มจะสับสนแล้วนะ”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มเอ่ย “นิสัยดี? นี่เรียกว่าไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (เปรียบเปรยว่าลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) ไม่ห้าวหาญ? แน่จริงเจ้าก็ให้เจ้าเด็กนั่นไปเยือนพื้นที่มงคลทั้งหลายของเจ้าดูสิ ฟ้าไม่สูงสามฉื่อ ดินไม่ยุบหนึ่งจั้ง วันหน้าผินเต้าก็จะไม่เรียกเจ้าว่าเจ้าเฒ่าอวี๋แล้ว แต่จะเรียกเจ้าด้วยความเคารพว่าบรรพบุรุษอวี๋ทุกครั้งเลย เอาไหมล่ะ?”
ถึงอย่างไรก็แค่เรียกว่าบรรพบุรุษอวี๋ไม่กี่คำ ไม่ต้องเสียเงินสักหน่อย หลังจบเรื่องเฉินผิงอันที่ได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำ พอนั่งลงแบ่งทรัพย์สมบัติกัน นั่นคือเงินเทพเซียนของแท้แน่นอนเชียวนะ
อวี๋เสวียนยื่นสองนิ้วออกมาขยับหนวดคล้ายวางแผนว่าจะลองดู
เงินไม่เงินจะนับเป็นอะไรได้ ชีวิตนี้ยังไม่เคยจนมาก่อน ช่างน่าหงุดหงิดใจจริงๆ
เรื่องที่หกก็คือแบ่งแยกอาณาเขตโชคชะตาน้ำของสี่มหาสมุทรให้ชัดเจน
เป็นการตัดสินของศาลบุ๋นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาถกเถียงด้วย
เพียงแต่ว่าตัวเลือกของคนที่จะได้มาเป็นสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทร ศาลบุ๋นไม่ได้บอกกล่าวอย่างแน่ชัด
แต่เชื่อว่าสุ่ยจวินห้าทะเลสาบที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องพยายามช่วงชิงตำแหน่งนี้มา ห้าทะเลสาบนั้นใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุดอย่างน่านน้ำของสี่สมุทร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกุยซวีสี่แห่งที่เป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีเยี่ยมที่สุดของเผ่าพันธ์เทพน้ำ เซียนน้ำในใต้หล้า นอกจากสุ่ยจวินของห้าทะเลสาบแล้ว เทพวารีแห่งทะเลสาบใหญ่แม่น้ำใหญ่ รวมไปถึงกงโหวของลำน้ำใหญ่ทั้งหลาย เชื่อว่าต่างก็ต้องกระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที่ ไม่ว่าจะได้เลื่อนเป็นเจ้าแห่งสี่สมุทรในคราเดียว หรือว่าได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็นสุ่ยจวินทะเลสาบใหญ่ ก็ล้วนควรค่าแก่การเคลื่อนไหวทั้งสิ้น
เรื่องถัดมา ศาลบุ๋นเอาถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลออกมาสี่แห่ง แบ่งเป็นมอบให้กับสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีป หอจิ่วเจินเซียนของฝูเหยาทวีปที่หลิวทุ่ยอยู่ สำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีปและนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป
เหวยอิ๋งรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
ในทะเลสาบหัวใจของเขามีเสียงแสดงความยินดีดังขึ้นไม่ขาดสาย
เหวยอิ๋งทยอยตอบรับไปทีละคน จากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กุมหมัดคารวะอยู่ไกลๆ สามที
หนึ่งคารวะสวินยวน สองคารวะเจียงซ่างเจิน สุดท้ายคารวะผู้ฝึกตนทุกคนของสำนักกุยหยกที่รบตายไป
จากนั้นก็เป็นการเลื่อนขั้นและลดขั้นของศาลบุ๋นที่มีต่อเมธีร้อยสำนัก
หลี่เซิ่งเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
เขาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้เอง
นี่ทำให้บรรพจารย์หลายคนที่เดิมทีอยากจะร่ายระบายความทุกข์หุบปากไม่พูดจาทันที
หนึ่งในนั้นก็มีอาจารย์ฟ่านบรรพจารย์สำนักการค้า พอได้ยินคำตอบที่ไม่ผิดไปจากที่คาดก็ยังคารวะหลี่เซิ่งอย่างนอบน้อม
แม้ว่านอกจากคำพูดของหลี่เซิ่ง อย่างมากสุดก็เป็นสองคำว่า ‘รับคำสั่ง’ จากเหล่าบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักทั้งหลายที่เอ่ยตอบรับซึ่งมองดูเหมือนราบเรียบไร้คลื่นลม ทว่าในความเป็นจริงแล้วคลื่นใต้น้ำกลับซัดแรงอย่างน่าตกตะลึงยิ่ง
หลี่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ได้ก้าวถอยกลับไป
หย่าเซิ่งพูดขึ้นมาว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำถูกยกเลิก ล่างภูเขาของเก้าทวีปไพศาล ภาษาราชการของแต่ละแคว้นยังคงเดิม แต่จำเป็นต้องใช้ภาษากลางเหมือนกันหมด เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในเนื้อหาการสอบของเสมียนและขุนนางในราชสำนักของแต่ละแคว้น”
สองเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องพูด เป็นเรื่องเล็กอย่างจริงแท้แน่นอน
ทว่าหลังจากหย่าเซิ่งเอ่ยประโยคนี้จบ ทุกคนต่างเริ่มพากันกลั้นลมหายใจ มองไปทางหลี่เซิ่งที่เดินออกมาก้าวเดียวเพียงลำพังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ถึงขั้นที่ว่าทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็พากันลุกขึ้นยืน
เพราะว่านี่คืองิ้วใหญ่ฉากสุดท้ายของการประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้อย่างแท้จริง
นั่นคือจะจัดการกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไร!
เมื่อเทียบกับเรื่องใหญ่เทียมฟ้านี้แล้ว จะปฏิบัติต่อเผ่าปีศาจในท้องถิ่นอย่างไรอะไรนั่นกลับไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่น้อย
หลี่เซิ่งยิ้มมองไปยังอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาพอดี
ไม่มีอะไรจะพูด?
ไม่แน่เสมอไป
คนหนุ่มที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ยามที่ดื่มสุราร่วมโต๊ะกับผู้อื่น ยิ้มแย้มพูดคุยอย่างไร้ความยำเกรงมานานหลายปี พอกลับมาถึงบ้านเกิดกลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้หรอก
พริบตานั้นภาพบรรยากาศของฟ้าดินก็ผิดแผกไปจากเดิม
เดิมทีคือเหล่าอริยะปราชญ์ผู้กล้าทั้งหลายที่ยืนล้อมวงเป็นวงกลมขนาดใหญ่อยู่ในใต้หล้าไพศาล
บัดนี้กลายมาเป็นเรียงแถวเป็นเส้นตรง
และจุดที่อยู่ห่างออกไป สิ่งกีดขวางระหว่างขุนเขาสายน้ำเริ่มกระจายตัวออก ปรากฏเป็นเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายยืนคุมเชิงกัน
เจิ้งจวีจงกลั้นขำ
มีเพียงหลี่เซิ่งเท่านั้นจริงๆ ที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
อวี๋เสวียนขยุ้มหนวดตัวเองแรงๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง
กวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กมีสีหน้าซับซ้อน
ฉีถิงจี้หัวเราะหยันเย็นชา
ลู่จือเอาฝ่ามือดันด้ามกระบี่ที่พกไว้ตรงเอว นั่นเป็นเพียงแค่กระบี่ยาวที่ธรรมดาที่สุดที่หอกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สร้างขึ้น
เหล่าจักรพรรดิทั้งหลายในราชวงศ์ล่างภูเขาก็ยิ่งหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ที่แท้บนเส้นตรงเส้นนั้นถึงกับเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนร้อยกว่าคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง!
และคนที่อยู่ตรงกลางของทางฝั่งนั้นก็คือมือกระบี่ชุดเขียว ผู้นำร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ คือผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างของทุกวันนี้อย่างแท้จริง…เฝ่ยหราน!
เป็นอีกครั้งที่ไม่ได้นัดหมาย
สายตาของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างทุกคนพากันไปรวมอยู่บนร่างของคนคนหนึ่งอีกครั้ง
คือบุรุษที่ไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาสะพายกระบี่สวมชุดเขียว
เจ้าตะพาบคนหนึ่งที่เผชิญความยากลำบากอย่างเต็มกลืนจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คนต่างถิ่นผู้หนึ่งที่เสียสติผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ คนผู้หนึ่งที่แม้แต่โจวมี่มหาสมุทรความรู้และผู้ฝึกกระบี่หลงจวินก็ยังมิอาจสังหารได้ ครึ่งคนครึ่งผีที่เฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองมาปีแล้วปีเล่า
เฉินผิงอัน อิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ภายในวันเดียว สองใต้หล้า ร่วมมองไปยังคนผู้เดียว
——