กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 787.4 ถ้าอย่างนั้นก็ตีกัน
อาเหลียงหัวเราะหึหึ เจ้าทึ่มจั่วโย่วผู้นี้เริ่มหัวไวขึ้นมาบ้างแล้ว
ลู่จือกล่าว “ตอนที่อาเหลียงเพิ่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนอยู่บนโต๊ะเหล้าได้สาบานว่าเขามีสุดยอดเคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง ขอแค่ดื่มเหล้าจนเกิดแรงบันดาลใจ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีของอย่างกระโปรงหรือชุดคลุมอาคมอะไรนี่อีก อีกทั้งเขายังเป็นจิตรกรเอกคนหนึ่ง อาศัยสิ่งนี้ทำให้หาเงินเทพเซียนมาได้ไม่น้อย ผลคือรอกระทั่งเขาเอาภาพปึกใหญ่นั้นออกมา วันนั้นก็ถูกผู้ฝึกกระบี่หลายสิบคนไล่ฟันไปตลอดทางเลย”
จั่วโย่วถามอย่างสงสัย “ฝีมือวาดภาพแย่มากหรือ?”
ลู่จือพยักหน้า “แย่สุดๆ ไปเลยล่ะ แถมยังวาดอินเฉินผู้นั้น รักษาสัญญาเป็นอย่างดี วาดแบบไม่ได้สวมเสื้อผ้าจริงๆ”
จั่วโย่วผงกศีรษะ “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอดทนกับอาเหลียงมาร้อยปีก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
อยู่ดีๆ อาเหลียงก็ทอดถอนใจ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมากรอกใส่ปากอึกใหญ่
ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลอาจไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ก็ไร้ความหมาย แต่ขณะเดียวกันก็คิดแล้วไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั้งๆ ที่ไม่ได้กลัวตาย แต่กลับยอมปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันแล้ววันเล่า อันที่จริงนอกจากคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่บางครั้งจะไปพูดคุยด้วยแล้ว แม้แต่คนของบ้านเกิดก็ยังไม่มีใครยินดีจะสนใจผู้เฒ่าที่นิสัยแปลกแยกผู้นั้น อีกทั้งไม่เพียงไม่อยากจะสนใจเขา ผู้ฝึกกระบี่หลายคนยังรังเกียจผู้เฒ่าคนนั้นจากใจจริง อีกทั้งยังรังเกียจได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่ง
ดังนั้นบนสนามรบในหลายๆ ปี หากผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่เฝ้าสถานที่ฝึกตนที่อยู่บนกำแพงเพียงลำพัง ก็จะลงสนามรบคนเดียว ก็เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่มีชีวิตรอดกลับมาคนเดียว ครั้งสุดท้าย ก็ไปตายคนเดียว
อาเหลียงพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ารู้อดีตของอินเฉินหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
อาเหลียงหัวเราะ “แบบนี้ก็ดี ถ้าอย่างนั้นหากรวมข้าด้วย อย่างน้อยก็มีสองคนแล้ว”
ปีนั้นอาเหลียงหวังให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคนหนุ่มสาวและพวกเด็กๆ สามารถจดจำว่ามีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ชื่อว่าอินเฉิน นิสัยเจ้าอารมณ์อย่างมาก แล้วก็เข้ากับคนอื่นไม่ได้เลย ออกกระบี่ก็เอาแต่ผลประโยชน์ แต่อย่างน้อยที่สุดก็จำได้ว่ามีคนคนหนึ่งชื่ออินเฉิน
ตอนอินเฉินเป็นเด็กหนุ่ม เนื่องจากความอืดอาดชักช้าของตัวเองกับผู้ฝึกกระบี่อีกสองสามคนที่เป็นสหายร่วมเดินทาง ได้ทำให้เซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่เดิมทีไม่ควรตายและไม่มีทางตายต้องมาตายไป
เด็กหนุ่มอินเฉินไม่ได้ชอบนาง เพียงแค่รู้สึกว่าสตรีที่งดงามขนาดนั้น เซียนกระบี่คนหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือเศษสวะสองสามคนที่สมควรตาย นางกลับต้องมาตายอย่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ตายอย่างไม่น่าดูเอาเสียเลย ถูกปีศาจใหญ่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันจนร่างผ่าครึ่ง ไส้ทะลักเลือดสดไหลนองเต็มพื้น
ประเด็นสำคัญคือสตรีที่กำลังจะตายคนนั้น ตอนที่นางกวาดสายตามองมายังพวกตะพาบอย่างพวกเขา กลับไม่มีความเคียดแค้น ไม่มีความเสียใจภายหลัง เพียงแค่สายตาเดียวนั้นของนางก็ทำให้อินเฉินจดจำไปชั่วชีวิต จิตใจไม่อาจสงบไปได้ชั่วชีวิต
ดังนั้นภายหลังผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งที่เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นผู้เฒ่าที่สันโดษและเอาแต่ใจตัวเอง ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะพกกระบี่ออกจากเมืองกระโจนสู่ความตาย อันที่จริงได้แอบพลิกเปิดหน้าหนึ่งของตำราตราประทับเล่มหนึ่ง แล้วคัดลอกลายตราประทับลายหนึ่งในนั้นมาไว้อย่างตั้งใจ
ตัวอักษรของตราประทับมีแค่สี่คำ
เมฆสีพลันมาถึง
ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งดื่มเหล้าเลี้ยงอำลาตัวเอง ถึงกับไม่รู้ว่าน้ำตาไหลอาบใบหน้าของตัวเอง
ผู้เฒ่ารู้สึกแค่ว่าเหล้าไม่อร่อยเอาเสียเลย ทว่านับตั้งแต่วันแรกที่ได้ดื่มเหล้าตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันอร่อยมาก่อน
อันที่จริงเดิมทีผู้เฒ่าอยากจะพูดกับอาเหลียงสักคำ พูดหยอกเย้าสักสองสามประโยค หรือไม่ก็เอ่ยขอบคุณอะไรทำนองนั้น แล้วก็อยากจะพูดกับอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นด้วยว่า ตอนนั้นที่ไม่ได้ช่วยผู้ฝึกกระบี่พวกนั้น ทำได้ถูกแล้ว เจ้าหนูเจ้าไม่ใช่คนเลว
เพียงแต่ว่ามัวสนแต่จะดื่มสุราที่รสชาติยากจะกลืน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงไม่ได้พูด
บนสนามรบ ตายอย่างเงียบเหงาและเฉยชา อันที่จริงไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่หลายคนต่างก็เป็นเช่นนี้
ทางฝั่งของศาลบุ๋นนี้ คนสวนใหญ่ที่นอกจากจะเงี่ยหูตั้งใจฟังเนื้อหาของการประชุมแล้ว ที่มากกว่านั้นคือกำลังมองประเมินห้าขอบเขตบนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ลูกศิษย์คนแรกของหลิวชา ผู้ฝึกกระบี่จู๋เชี่ย
เจ้านครจินชุ่ย ชุดคลุมอาคมบนร่างนางตัวนั้น แค่มองก็รู้ว่าเป็นอาวุธเซียน เส้นทางน้ำแบ่งหยินหยาง มีกลิ่นอายของมหามรรคาที่ตะวันจันทราหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนดาราเคลื่อนโคจร
แม่ทัพเทพสวมเสื้อเกราะสีทองขี่ม้าถือทวน บนใบหน้าสวมหน้ากากคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยค้อนดาวตกเล็กจิ๋วสองชิ้น ไม่ต่างจากของเล่นเด็ก แต่กลับมาจากการดักเอาดาวตกจากนอกฟ้าสองดวงที่ร่วงลงมาในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วหล่อหลอมอย่างตั้งใจ
ในช่วงท้ายของเอกสารลับฉบับหนึ่งของคฤหาสน์หลบร้อน เคยถูกผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเขียนไว้สองคำว่า ‘ต้องฆ่า’ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสองขอบเขตอย่างหยกดิบและเซียนเหรินที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ อันที่จริงมีแค่สามคนเท่านั้น นอกจากนี้สองคนที่ว่าก็คือเซียนกระบี่โซ่วเฉินและผู้ฝึกกระบี่หญิงเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่าโหรวถี ฉายาซั่วเหริน เล่าลือกันว่าเป็นคู่รักของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หวงหลวน แล้วก็เล่าลือกันว่าเป็นกากเดนตัวประหลาดสามอสุภะที่ถูกหวงหลวนสังหาร นางมีสมบัติอาคมเยอะมาก อีกทั้งทุกชิ้นล้วนมีระดับขั้นสูงมาก ตอนที่อยู่บนสนามรบสองแห่งอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และนครมังกรเฒ่า นางก็เคยแสดงฝีมือที่ไม่ธรรมดามาก่อน
วันนี้โหรวถิงแต่งกายเป็นนักพรตหญิง บนศีรษะสวมกวานหางปลาของสายป๋ายอวี้จิง แต่กลับสวมชุดคลุมเต๋าลักษณะเหมือนผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือ ในมือถือประคองหยกหรูอี้ ประทินโฉมบางเบา เรือนกายอวบอิ่ม เป็นเหตุให้ชุดคลุมเต๋าคล้ายจะรัดรึงอยู่บ้าง
นางมองไปยังเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีที่อ่อนเยาว์หล่อเหลา แต่ฉีถิงจี้กลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นนาง
ปีศาจใหญ่สามตนในสี่อำมหิตของลำคลองเย่ลั่วยืนเคียงไหล่กัน หย่างจื่อถูกรั้งตัวไว้ในใต้หล้าไพศาล ทุกวันนี้พวกมันจึงสวามิภักดิ์ต่อเฟยเฟย ส่วนหนีชิวหนึ่งในสี่อำมหิตได้ถูกกักขังอยู่ในคุกนานแล้ว แล้วก็คาดว่าต้องเจอกับการลงมืออย่างเหี้ยมโหดจากอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นแน่นอน
เซียนกระบี่ใหญ่ที่ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนเฝ้าประตูจางลู่ ทุกวันนี้ก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย
ในสงครามก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ต้นจนจบจางลู่ไม่ได้ออกกระบี่เลยสักครั้ง ทั้งไม่ได้ไปสังหารเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่หัวกำแพง แล้วก็ไม่ได้ติดตามเซียวสวิ้นออกกระบี่ต่อใต้หล้าไพศาล เพียงแค่นั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงหน้าประตูเท่านั้น
จางลู่ในเวลานี้ก็ยังคงมีท่าทางแบบเดิม นั่งขัดสมาธิดื่มเหล้าเพียงลำพัง เมื่อหลายปีก่อนเซียวสวิ้นมอบเหล้าให้เขาไม่น้อย ตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย ทุกครั้งที่นางทำลายภูเขาของไพศาลได้ลูกหนึ่งจะต้องมอบสุราดีๆ ให้เขาหนึ่งกา
อันที่จริงจางลู่ที่เคยเฝ้าประตูต่างก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับลู่จือ อาเหลียง และเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นอิ่นกวาน เขาถึงขั้นเป็นเพื่อนรักกับพ่อแม่ของหนิงเหยาด้วย กับเหยาชงเต้าก็เช่นเดียวกัน ตอนอยู่บนสนามรบต่างก็เคยช่วยชีวิตของอีกฝ่ายมาก่อน
จนกระทั่งถึงบัดนี้ลู่จือก็ยังไม่มีความรู้สึกเลวร้ายต่อจางลู่
ก่อนที่อาเหลียงจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะก่อนที่ศึกสิบสามครานั้นจะเกิดขึ้น จางลู่กับอาเหลียงก็มีนิสัยพอๆ กัน เพียงแต่ว่าไม่ว่าจะเป็นนิสัยด้านการเดิมพันหรือนิสัยด้านการดื่มสุราล้วนดีกว่าอาเหลียงเล็กน้อย
ฉีถิงจี้ชำเลืองตามองจางลู่ผู้นั้น จางลู่สัมผัสได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย แต่กลับไม่ได้ทำให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฉีต้องลำบากใจ เพียงแต่ท่าทางยามดื่มเหล้ากลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พลันกระดกดื่มอึกใหญ่
เพราะว่าจางลู่ ทำให้ฉีถิงจี้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นความลับเรื่องหนึ่ง
หนิงเหยาจะสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ภายในร้อยปีหรือไม่ คือข้อพิจารณาที่สำคัญอย่างยิ่งข้อหนึ่ง
หลังจากที่ฉีถิงจี้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงเขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าโชคในการเดิมพันของตัวเอง ‘ไม่ดี’ จริงๆ เดิมพันว่าหนิงเหยาจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานภายในหนึ่งร้อยปี
เพราะว่าอริยะลัทธิเต๋าคนนั้นเคยช่วยฉีถิงจี้ทำนายมาก่อน เขาเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘การปลูกฝังอบรมตนของตระกูลฉีจะราบรื่นอย่างมาก ส่วนเรื่องของการดูแลแคว้นปกครองใต้หล้านั้น’
เทพเซียนผู้เฒ่าแห่งนครเสินเซียวผู้นั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้า คลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เพียงแต่ว่าปีนั้นฉีถิงจี้ก็ไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไร ปกครองใต้หล้า? ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง? หรือว่าใต้หล้าศาลแห่งนั้น? นี่เป็นเรื่องที่ไม่แม้แต่จะคิดเลย
คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายกลับมีใต้หล้าแห่งที่ห้าปรากฏขึ้นมาจริงๆ
บรรพจารย์เจียงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับคนสองคนที่อยู่ข้างกาย “ในสายตาของเผ่าปีศาจใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สงครามใหญ่ครั้งนี้แพ้อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ปีศาจใหญ่ในกระโจมทัพหลายแห่งต่างก็สับสันมึนงง ไม่เข้าใจในแผนการของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และโจวมี่เลยแม้แต่น้อย เดาไม่ออกถึงสามกลยุทธ์บนกลางล่างที่เจิ้งจวีจงแฉออกมาด้วยคำพูดประโยคเดียว ไม่ได้ตระหนักถึงว่า เมื่อผ่านศึกที่แจกันสมบัติทวีปไปแล้ว อันที่จริงใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่อาจรักษาสถานการณ์ของ ‘กลยุทธ์ล่าง’ นั้นไว้ได้แล้ว ดังนั้นเผ่าปีศาจส่วนใหญ่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เพราะในสายตาของพวกมัน คนที่สามารถต่อสู้ได้อย่างแท้จริง คนที่มีคุณสมบัติให้มองเป็นศัตรูได้ มีอยู่แค่ในสองสถานที่เท่านั้น กำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป สถานที่อื่นๆ ล้วนเละเทะไปหมดแล้ว”
บรรพจารย์ผู้เฒ่าเว่ยพยักหน้ารับ “ทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้บินไปยังใต้หล้าห้าสีแล้ว และกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแจกันสมบัติทวีปกองนั้น ซิ่วหู่ก็ตายไปแล้ว ขุนเขาสายน้ำของครึ่งทวีปก็ยังคงพังภินท์ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปครึ่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าเจ้าพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนี้อาจจะอยากทำสงครามยิ่งกว่าพวกเราก็ได้ หากสนามรบเปลี่ยนมาเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ไม่จำเป็นต้องดึงเส้นแนวรบ ตรงกับความต้องการพอดี หากจะบอกว่าการเดินทางไปเยือนต่างถิ่น ทำให้ทำสงครามอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ พอกลับมาบ้านเกิด เข่นฆ่าอยู่ในถิ่นของบ้านตัวเอง สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วก็ช่างเป็นเรื่องที่คุ้นเคยดียิ่งนัก”
สวี่ป๋ายเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ก่อนหน้านี้ใบถง ฝูเหยาสองทวีปของพวกเราแค่พิทักษ์ดินแดนไว้ได้เท่านั้น ไม่ได้แสดงข้อได้เปรียบด้านชัยภูมิออกมาอย่างเต็มที่ ระหว่างราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ และตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยิ่งไม่มีการร่วมมือกันอย่างแนบแน่น ดังนั้นสนามรบของทั้งสองทวีปจึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นทรายกระจัดกระจายหนึ่งถาดที่แค่แตะก็แหลกสลาย แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับที่พวกเราไม่เคยเจอกับสงครามใหญ่ขนาดนี้มาก่อนด้วยเหมือนกัน ตอนนี้พวกเรามีประสบการณ์แล้ว อีกฝ่ายก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากเปลี่ยนสนามรบ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจซึมซับบทเรียนไปจากสองทวีปของพวกเราแล้วเตรียมการร้อยเรียงต่อเนื่องกันเป็นชุดเพื่อใช้รับมือไว้แต่เนิ่นๆ แล้วก็เป็นได้”
บรรพจารย์เจียงยิ้มเอ่ย “หลังจากที่การประชุมในศาลบุ๋นสิ้นสุดลง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พวกเราก็ควรมาอนุมานเรื่องสงครามกันสักครั้ง”
สวี่ป๋ายลังเลเล็กน้อย ก่อนถามหยั่งเชิงว่า “สามารถเชิญอิ่นกวานมาช่วยเหลือได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นการอนุมานของพวกเราก็จะไม่เป็นความจริงมากพอ จะกลายเป็นหอเรือนที่ลอยอยู่กลางอากาศเอาได้”
จำต้องยอมรับว่าคนที่เข้าใจใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ดีที่สุดก็คืออิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ฉีถิงจี้ อาเหลียง จั่วโย่วหรือลู่จือที่เวทกระบี่สูงกว่า
เพราะคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เฉินผิงอันนั่งบัญชาการณ์ ได้เข้าร่วม เห็นเองกับตา และโยกย้ายระดมกำลังในการต่อสู้ทุกขั้นตอนของสงครามครั้งนั้น อิ่นกวานหนุ่มแทบจะรู้ทุกรายละเอียดของการสู้รบ กุญแจสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ ผลได้ผลเสีย และรายการความเสียหายจากสงครามอย่างแม่นยำของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งเฉินผิงอันยังเข้าใจรากฐานของเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนทุกคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ร่วมสงครามดีราวกับเส้นลายมือของตัวเอง รวมไปถึงพลังการสู้รบที่แท้จริง ลักษณะการต่อสู้และข้อได้เปรียบข้อเสียเปรียบของเผ่าปีศาจทั้งหลายในเปลี่ยวร้าง เขาก็ยิ่งรู้ชัดเจนอยู่ในใจ
พูดง่ายๆ ก็คือ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ต้องทำสงครามกันขึ้นมา อิ่นกวานเฉินผิงอัน คนหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นคนที่ไม่อาจตายได้ที่สุดของใต้หล้าไพศาล
หยวนพาง สวี่ป๋าย หลินจวินปี้ คนหนุ่มมากความสามารถที่เคยรับหน้าที่ในหน่วยจวินจีหลางของศาลบุ๋นกลุ่มนี้ จะต้องกลายมาเป็นลูกน้องของเฉินผิงอันอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะต้องรวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอายุน้อยที่เคยเข้าร่วมสายอิ่นกวานในอดีตอย่างเสวียนเซิน เฉากุ่น ซ่งเกาหยวน ไม่เว้นสักคน
ไม่แน่ว่าศาลบุ๋นอาจจะยังแหกกฎ เรียกตัวผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายที่อยู่ในใต้หล้าห้าสีอย่างเติ้งเหลียง กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย ต่งปู้เต๋อ กวอจู๋จิ่วมาด้วย เพื่อให้มาช่วยเฉินผิงอันวางแผนอีกครั้ง
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าหากไม่มีคนหนุ่มสาวเหล่านี้แล้วใต้หล้าไพศาลจะทำสงครามไม่ได้
สำนักการทหารและสำนักโม่ร่วมมือกับสำนักจ้งเหิง สำนักหยินหยาง อันที่จริงก็มีความมั่นใจมากอย่างถึงที่สุดแล้ว
ในอดีตศาลบุ๋นเคยมีการประชุมขนาดเล็กครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเมธีร้อยสำนักเลือกเอาแค่เก้าลัทธิมาเข้าร่วมการประชุม นอกจากนี้ก็ยังมีบรรพจารย์สี่สำนักซึ่งมีสำนักการค้า สำนักโอสถเป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าการประชุมครั้งนั้น ทางฝั่งศาลบุ๋นมีเพียงหย่าเซิ่งและเจ้าลัทธิหลักและรองสามท่านเท่านั้น
ทว่าบรรพจารย์ของสำนักการทหารสองท่านนี้จงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้กับสวี่ป๋าย
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างหวังจะยึดครองความได้เปรียบทางชัยภูมิมาทำสงครามอย่างจริงจังกับใต้หล้าไพศาลที่ไม่มีกำแพงเมืองปราณกระบี่และผู้ฝึกกระบี่อีกครั้ง
ภูเขาทัวเยว่ลูกหนึ่ง รวมไปถึงผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่สนใจความเป็นความตายของพวกมดตัวเล็กล่างภูเขาแม้แต่น้อย ยิ่งตายมากเท่าไร ปริมาณเพิ่มทับซ้อนกันมากขึ้น โชคชะตาของฟ้าอำนวยก็จะยิ่งค่อยๆ มารวมตัวกันบนร่างของปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยานกลุ่มน้อยมากเท่านั้น ต่อให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะต้องแพ้อีกครั้ง แพ้อย่างเจ็บปวดน่าสังเวช อย่างมากก็แค่ซ่อนเสบียงอาหารเพื่อกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของข้าศึก แล้วหนีลงใต้ไปอย่างต่อเนื่อง หรือว่าผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลจะสามารถสงบใจฝึกตนอยู่ในสถานที่ที่แห้งแล้งยากจนนั่นได้หลายสิบปี หลายร้อยปีจริงๆ? หากไม่อาจรั้งตัวผู้ฝึกลมปราณเอาไว้ได้ ต่อให้กองทัพม้าเหล็กของราชวงศ์ล่างภูเขาในโลกมนุษย์จะมีทหารม้ามากแค่ไหนก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ทว่าทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลนี้ เว้นเสียจากว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์เปิดปากเองว่าจะยกทัพโจมตีเปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน อันที่จริงศาลบุ๋นมีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น ทำลายใต้หล้าเปลี่ยวรางอีกครึ่งหนึ่งที่รวมภูเขาทัวเยว่ไปด้วยให้แหลกลาญไปอย่างสิ้นเชิงโดยไม่สนใจค่าตอบแทน หรือไม่ก็สร้างกำแพงเมืองปราณกระบี่ขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นร้อยปีพันปีต่อจากนี้ก็ปักหลักต่อสู้อย่างมั่นคง แทรกซึมลงใต้ไปอย่างต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้นท่าเรือสามแห่งนั้น ต่อให้มีจวี้จื่อแห่งสำนักโม่นั่งบัญชาการณ์ท่าเรือหนึ่งในนั้นก็ยังคงไม่อาจต้านทานการจู่โจมกลับของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อยู่ดี ไม่แน่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่สองท่อน ไม่ทันรอให้สร้างใหม่ก็ถูกทำลายภายในค่ำคืนเดียวแล้ว ทว่าคิดจะซ่อมแซมกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้กลับมาดังเดิม เป็นเรื่องยากเพียงใด? บรรพจารย์สามลัทธิร่วมมือกันอีกครั้ง? มรรคาจารย์เต๋ากับศาสดาพุทธจะยินดีลงมือจริงหรือ?
อีกทั้งเรื่องที่เป็นปัญหายุ่งยากสุดๆ ก็ยังคงเป็นสองคำที่เรียบง่ายที่สุด ใจคน
สถานการณ์ใหญ่โน้มเอียงไปทางหนึ่ง ใจคนของไพศาลถึงจะค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่ง ทว่าทุกวันนี้สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว
เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ก็คืออาณาเขตของหลายทวีปที่ขุนเขาสายน้ำปริแตกนั้น คนที่ยินดีตายอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนตายไปเกือบหมดแล้ว คนของใต้หล้าไพศาลตายกันไปมากเหลือเกินแล้วจริงๆ
ไม่ว่าจะเคียดแค้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากแค่ไหน แต่กลับไม่อาจแก้แค้นอย่างสะใจได้อย่างแท้จริง
——