กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 789.2 ไปถามกระบี่
ป๋ายเจ๋อเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยก่อนพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เฉินผิงอัน ได้เจอกันอีกแล้วนะ”
ในอดีตทั้งสองฝ่ายพบเจอกันที่ชายแดนต้าหลีแจกันสมบัติทวีป บนสะพานไม้เลียบหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนที่มีพายุหิมะ ตอนนั้นข้างกายของเฉินผิงอันมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูติดตามมาด้วย เด็กหนุ่มรองเท้าเตะจากตรอกเก่าโทรมคนหนึ่ง ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิดกลับอยู่ร่วมกับภูตได้อย่างกลมเกลียว
ภายหลังป๋ายเจ๋อเคยเห็นอดีตช่วงนั้นของทะเลสาบซูเจี่ยน นักบัญชีอายุน้อยคนนี้จึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา
เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี จิตใจใฝ่หาความดี ก็คือการซ่อมแซมช่องโหว่แห่งม่านฟ้า
นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ปีนั้นฉีจิ้งชุนต้องการให้ป๋ายเจ๋อได้เห็นอย่างแท้จริงหลังจากส่งมอบภาพแห่งกาลเวลานั้นมาให้ แล้วก็เพราะทุ่มเทสุดกำลังที่มี แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจได้สมใจปรารถนา ทว่าทิศทางส่วนใหญ่ของวิถีทางโลกกลับถูกบิดเบือนไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้คนที่มองดูอยู่ด้านข้างประทับใจได้มากกว่า
เฉินผิงอันประสานมือคารวะป๋ายเจ๋อ
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยสัพยอก “หมาไร้บ้าน กินหมดก็จากไป”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เจ้าอารามตำหนักสุ้ยฉูแห่งใต้หล้ามืดสลัวท่านนี้ แน่นอนว่าตามกฎแล้วต้องมีสถานะเป็นคนของลัทธิเต๋า ใต้หล้ามืดสลัวนับถือเพียงลัทธิเดียว แทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างให้กับความรู้ของสายอื่นๆ ดังนั้นจึงบริสุทธิ์ยิ่งกว่าการให้ความเคารพต่อวิชาลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาลมากนัก ใต้หล้ามืดสลัวเองก็มีสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อและวัดวาของลัทธิพุทธอยู่บางส่วน แต่ฐานะต่ำต้อย พลังอำนาจน้อยนิด ไม่มีสำนักอักษรจงแม้แต่แห่งเดียว เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลที่ไม่ผลักไสเมธีร้อยสำนักที่ร้องประชันกัน ก็คือภาพบรรยากาศสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อู๋ซวงเจี้ยงมีสถานะเป็นนักพรตเต๋าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ารากฐานการฝึกตนของเขากลับเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร
อู๋ซวงเจี้ยงชื่อนี้พ้องเสียงกับคำว่าอู๋ซวงเจี้ยงที่แปลว่าแม่ทัพผู้เป็นเอก แซ่อู๋ หลอมคนรักให้กลายเป็นจิตมาร อาศัยสิ่งนี้มาผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่
บนเรือข้ามฟากเรือราตรี ตอนที่พูดถึงป๋ายลั่วที่เป็นคนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉู อู๋ซวงเจี้ยงใช้คำกล่าวว่า ‘ฉี่ฉี่ลั่วลั่ว’ อักษรคำว่า ‘ฉี่’ สองคำ อันที่จริงคือหนึ่งอักษรสองความหมาย เปิดเผยรากฐานของป๋ายลั่ว แล้วก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วย
สิบปราชญ์ศาลบุ๋นของไพศาล เดิมทีก็มีสอง ‘ฉี่’ เพียงแต่ว่ามีจุดด่างพร้อยในคุณความชอบ ตำแหน่งที่วางเทวรูปจึงขึ้นๆ ลงๆ (ฉี่ฉี่ลั่วลั่ว) แต่หากจะพูดถึงแค่คุณูปการ ไม่พูดถึงคุณธรรม แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงห้าคนแรกในใต้หล้าก็มี ‘ฉี่’ คู่ ที่สามารถยึดครองพื้นที่ตำแหน่งหนึ่งได้อย่างแน่นหนา
ส่วนเรื่องที่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวอย่างไร แล้วหวนกลับมาใหม่ มาเข้าร่วมกับตำหนักสุ้ยฉู ใช้สถานะในทำเนียบของลัทธิเต๋ามาเริ่มฝึกตนได้อย่างไร คาดว่าคงจะเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่บนภูเขาที่มีเมฆหมอกปกคลุมอย่างลึกลับอีกเล่มหนึ่งแล้ว
และการที่เส้นทางการฝึกตนของอู๋ซวงเจี้ยงราบรื่นได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะอู๋ซวงเจี้ยงฝึกตนเหมือนฝึกทหาร หล่อหลอมเอาข้อดีของร้อยสำนักมาไว้ด้วยกัน เหมือนกับแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงที่นำทัพ เต็มไปด้วยผลประโยชน์มากมาย
คนพิฆาตมังกรที่เคยเป็น ‘เจี่ยเฉิง’ นักพรตเฒ่าตาบอด เอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าขุนเขาช่างโชคดีเสียจริง แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังได้พบเจอ แล้วยังคว้าจับเอาไว้ได้อีกด้วย ช่วงเวลาหลายปีที่ข้าเป็นผู้ถวายงานได้รับการบันทึกชื่ออยู่ที่เมืองเล็ก นับว่าไม่เสียเปล่า”
ตรอกฉีหลง ร้านฉ่าวโถว
พิฆาตมังกรเหมือนฟันหญ้า หวังจูมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง สำหรับบุรุษที่สังหารมังกรที่แท้จริงจนสิ้นซากแล้ว ก็เป็นแค่หัวของมังกรฟางตัวหนึ่งเท่านั้น จะฆ่าก็ฆ่าได้ตามสบาย จะพิฆาตก็พิฆาตได้ตามใจชอบ
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน
เฒ่าตาบอดยิ้มกล่าว “คนตายหงายขึ้นฟ้า ไม่ตายหมื่นหมื่นปี ดูจากท่าทางแล้ว ในอนาคตหากมีการประชุมอีกครั้ง ใต้เท้าอิ่นกวานก็ต้องปรากฏตัวอีกรอบสินะ?”
ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าพยักหน้า “คราวหน้าที่มีการประชุมทำนองนี้อีก จะดีจะชั่วก็พยายามให้เหลือคนหน้าเก่าๆ เอาไว้บ้าง”
เกี่ยวกับเรื่องของนิมิตหมายที่เป็นมงคล หน้าแรกๆ สุดของปฏิทินเหลืองเก่าแก่สามลัทธิ เคยบันทึกเรื่องใหญ่ๆ ไว้สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือตอนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อถือกำเนิด เคยมีกิเลนมาเยือนที่บ้านแล้วคายตำราหยกออกมา
นอกจากนี้ก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าที่เป็น ‘บรรพจารย์ของจมูกโคหน้าเหม็นแห่งใต้หล้า’ ท่านนี้ เคยถูกมรรคจารย์เต๋าขนานนามว่า ‘มีเพียงใต้หล้ารุ่งโรจน์จึงจะปรากฏขึ้นมา มีเพียงใต้หล้าเสื่อมถอย จึงจะหลบเร้นหายไป’
แล้วยังมีจวินเชี่ยนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับดินแดนพุทธะสุขาวดีที่ขับไล่แต่งูและมังกรไม่ขับไล่ยุง
ดูเหมือนว่าหลี่เซิ่งเองก็ไม่รีบร้อนเปิดปากเริ่มการประชุม ปล่อยให้ขอบเขตสิบสี่บนยอดเขาสูงสุดที่ฝึกตนมาอย่างยาวนานพวกนี้ได้ไล่ ‘รำลึกความหลัง’ กับคนหนุ่มผู้นั้นไปทีละคน
ส่วนอู๋ซวงเจี้ยงกับอวี๋โต้วนั้น ไม่แม้แต่จะสบตากัน
แต่อู๋ซวงเจี้ยงกลับหันไปคุยเล่นกับนักพรตหญิงคนหนึ่งจากใต้หล้ามืดสลัวที่อยู่ข้างกาย
อันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวได้มาอย่างไร อันที่จริงก็เรียบง่ายและตื้นเขินอย่างยิ่ง ยิ่งจำนวนครั้งที่ได้ต่อสู้กับ ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ มากเท่าไร อันดับก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น
ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูถูกมองเป็นอันดับที่ห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ก็เพราะเคยประลองมรรคกถากับเวทกระบี่กับเต๋าเหล่าเอ้ออยู่หลายครั้ง
ส่วนนักพรตหญิงที่อยู่ข้างกายของอู๋ซวงเจี้ยงก็เคยเป็นอันดับที่สี่ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้ามืดสลัว
แต่นางเหมือนดาวหางที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา แล้วก็เหมือนดาวตกที่พุ่งวาบหายไป เพียงไม่นานก็หายไปจากสายตาของผู้คน
โลกยุคหลังรู้แค่ว่าในอดีตนางเคยมีการประลองของคนขอบเขตเดียวกันกับอวี๋โต้ว ทั้งสองฝ่ายสูสีกัน
ตอนนั้นอวี๋โต้วเพิ่งจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน นางเองก็เช่นกัน
ทว่าการถามมรรคาครั้งนั้น อวี๋โต้วได้เรียกเอาเต้าจ้างกระบี่เซียนเล่มนั้นออกมาจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าถามหย่าเซิ่งที่อยู่ด้านข้างเสียงเบา “โชควาสนากับผู้อาวุโสของลูกศิษย์คนสุดท้ายข้านี่ เป็นอย่างไร ประเสริฐหรือไม่?”
แน่นอนว่าต้องเอาแต่เรื่องดีๆ มาพูด
แผนการที่ลู่เฉินวางไว้ในเมืองเล็ก อันตรายรายล้อมอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนอยู่บนเรือราตรีก็ถูกอู๋ซวงเจี้ยงไปเฝ้าตอรอกระต่าย แล้วทำการถามมรรคาไปรอบหนึ่ง รวมไปถึงบุญคุณความแค้นที่อ้อมไปอ้อมมาระหว่างลูกศิษย์คนสุดท้ายกับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิง…
หย่าเซิ่งเพียงยิ้มรับ
หลี่เซิ่งลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยว่า “ข้ากับอวี๋โต้วและเสินชิงขัดขวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนสิบกว่าตนที่หวนกลับมายังบ้านเกิดซึ่งมีผู้สวมเสื้อเกราะเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ถือกระบี่ใช้กระบี่ฟันผู้สวมเสื้อเกราะ”
หลี่เซิ่ง เจ้าลัทธิรองป๋ายอวี้จิง ภิกษุน้ำแกงไก่ คนทั้งสามร่วมมือกันเดินทางไกลไปนอกฟ้า ขัดขวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้สวมเสื้อเกราะเป็นผู้นำซึ่งหวนกลับคืนมายังซากปรักของสรวงสวรรค์
อริยะสามลัทธิจำเป็นต้องป้องกันหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดยุคบรรพกาลตนนี้ไม่ให้ร่วมมือกับโจวมี่ได้
สุดท้ายผู้สวมเสื้อเกราะถูกผู้ถือกระบี่สังหาร
แม้ว่าศีรษะที่สตรีร่างสูงใหญ่หิ้วไว้ในมือ รวมไปถึงเสื้อเกราะสีทองตัวนั้นจะพิสูจน์เรื่องนี้นานแล้วก็ตาม
แต่ได้ฟังข่าวนี้จากปากของหลี่เซิ่งเอง ต่อให้คนที่เข้าร่วมการประชุมจะเป็นขอบเขตสิบสี่บนยอดเขาที่จิตแห่งมรรคาไร้มลทินสกปรกก็ตาม แต่กระนั้นจิตวิญญาณก็ยังแกว่งไกวอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อีกหลายสิบปีต่อจากนี้ผู้ถือกระบี่จะไม่อาจออกกระบี่ได้ชั่วคราว”
หลี่เซิ่งกล่าว “แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเราเองก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องรบกวนผู้อาวุโสต่อ ตามเหตุตามผลแล้วล้วนไม่เหมาะสม”
สตรีร่างสูงใหญ่โบกมือ บอกเป็นนัยแก่หลี่เซิ่งว่าไม่ต้องเกรงใจ
นางนั่งลงริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา เสื้อเกราะสีทองบนร่างจางหายไปแล้ว กลับคืนมาสวมชุดขาวดังเดิม แต่ข้างกายนางมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเพิ่มเข้ามา อีกทั้งยังมีฝักกระบี่สีทองเพิ่มมาด้วย ถูกนางปักตรึงไว้บนพื้นข้างกายอย่างง่ายๆ
นางเอาสองเท้าจุ่มลงไปในน้ำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นกวักมือเรียกเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ไม่ได้จงใจรักษาท่ายืนในการเข้าร่วมการประชุม ถึงอย่างไรอาจารย์ของตนก็บอกแล้วว่าแค่รับฟังไปก็พอ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงนั่งขัดสมาธิข้างกายนาง ไม่สนใจว่าจะมีมารยาทหรือไม่ เชื่อว่าหลี่เซิ่งเองก็ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับพิธีการยิบย่อยพวกนี้
นางชี้ไปยังกระบี่ยาวเล่มที่มีฝักกระบี่เพิ่มเข้ามา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนเป็นมันที่เปิดปากพูด ข้าฟังแล้วก็ดูไปด้วย สนุกหรือไม่?”
เฉินผิงอันกลอกตามองบน เพียงแค่วักเอาน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลากอบหนึ่งมาไว้ในมือ
นางยิ้มเอ่ย “โอ้โห ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบทั่วไปวักน้ำแห่งกาลเวลาพวกนี้ไม่ขึ้นหรอกนะ เซียนเหรินวักน้ำยังต้องถูกขัดกร่อนตบะ ขอบเขตบินทะยานบนโลกเองก็ต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำแห่งกาลเวลาให้จงได้ นายท่านกลับดีนัก เอาแต่คิดอยากจะสืบเสาะให้รู้ความจริง”
เมื่อก่อนเฉินผิงอันเคยท่องผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนจำเป็นต้องคอยหลบเลี่ยง ‘จุดที่น้ำลึก’ อย่างระมัดระวัง ทุกวันนี้พอจะฝึกตนประสบความสำเร็จบ้างแล้ว อันที่จริงสามารถวักน้ำมาไว้ในมือได้สำเร็จ ตัวเฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจอย่างมาก
เฉินผิงอันหดมือกลับอย่างไม่ใคร่จะพอใจ หลักๆ แล้วเป็นเพราะอดไม่ไหวลองชั่งน้ำหนักของน้ำไหลไม่ได้ แล้วก็ถือโอกาสประเมินไปด้วยว่ามีราคาหรือไม่
หากดูตามนิสัยในการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของเขาที่ผ่านๆ มา หากไม่ทันระวังอาจถือโอกาสทิ้งน้ำให้ไหลไปในชายแขนเสื้อก็เป็นได้
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “บาดเจ็บหนักมากหรือ?”
นางเอ่ย “ก็แค่ต้องพยายามไม่ให้ถ่วงรั้งสัญญาหกสิบปี เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยอมทำตามคำสัญญาแต่โดยดีแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปยังนอกฟ้า หาซากปรักสักสองสามแห่ง เพราะไพศาลไม่เหมาะให้หลอมกระบี่อีกแล้ว หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกคงไม่สนใจซิ่วหู่ผู้นั้นแล้ว”
นางชี้ไปยังหลี่เซิ่งที่กำลังปรึกษาหารือกับทุกคนอยู่ไกลๆ “ในอดีตผู้สวมเสื้อเกราะเคยต่อสู้กับหลี่เซิ่งมาครั้งหนึ่ง อันที่จริงก็บาดเจ็บไม่เบา บวกกับที่ผู้สวมเสื้อเกราะยืนกรานจะกลับไปยังที่เดิม ไม่อย่างนั้นก็คงสังหารได้ไม่ง่ายขนาดนั้น อันที่จริงเรื่องนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะพอผู้สวมเสื้อเกราะตายไป ทางฝั่งของสถานที่เดิมนั่นก็เท่ากับว่ามีตำแหน่งสูงว่างมาหนึ่งตำแหน่ง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ที่จะมาเข้ารับตำแหน่งแทน ร่างทองไม่มั่นคง ตอนนี้ยังไม่กล้าออกจากซากปรักแห่งนั้นโดยพลการ หากโผล่หน้ามาก็ต้องตาย ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น”
ความนัยในคำพูดของนาง
นางเจอกับผู้สวมเสื้อเกราะ อยากสังหารก็สามารถสังหารได้จริง
เพียงแต่ว่าสังหารได้ไม่ง่ายเท่านั้น
โจวมี่เดินขึ้นฟ้า ยึดครองตำแหน่งประธานของซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาล
เทพอัคคีกลับคืนสู่ตำแหน่ง ตำแหน่งทัดเทียมกันกับเขา ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
นอกจากนี้ต่อให้เป็นอวี่ซื่อแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือก็คืออดีตเจ้านายของเฟยเฟย แม้ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งเทพวารีของหลี่หลิ่ว แต่เมื่อเทียบกับสองคนแรกแล้วก็ยังด้อยกว่าเยอะมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อหมื่นปีก่อน เทพวารีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพอัคคีอยู่แล้ว หมื่นปีให้หลังก็ยิ่งเป็นเทพอัคคีที่มอบจิตแห่งเทพบนมหามรรคาเทพวารีมาให้เขาส่วนหนึ่ง ไม่แน่ว่าต่อจากนี้พันปีหมื่นปี สองฝ่ายไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันก็มีแต่จะถูกเทพอัคคีที่ได้กลับคืนมานั่งตำแหน่งราชาอีกครั้งบดขยี้สังหารได้ตามใจขอบ
ผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่คือหลีเจิน หรือกวานจ้าวผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน
ส่วนผู้ถือกระบี่ของสรวงสวรรค์คนใหม่ ไม่ว่าใครจะมาเข้ารับหน้าที่ก็ล้วนต้องกลายเป็นคนที่พลังการต่อสู้อ่อนด้อยที่สุด
เดิมทีควรเป็นเฝ่ยหรานที่โจวมี่หมายตาให้มารับตำแหน่งผู้ถือกระบี่ เพียงแต่ว่าสุดท้ายโจวมี่กลับเปลี่ยนใจ เลือกให้เฝ่ยหรานอยู่ต่อในโลกมนุษย์ กลายเป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
——