กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 790.1 ผู้ครองกระบี่
อริยะปราชญ์และเจ้าขุนเขาอีกแปดสิบกว่าท่านของสถานศึกษาและสำนักศึกษายังต้องเข้าร่วมการประชุมภายในของศาลบุ๋นอีกรอบหนึ่ง
นอกจากคนต่างถิ่นกลุ่มเล็กที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ต่อแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือตอนนี้ยังไม่อาจจากไปได้ จำเป็นต้องรอคอยอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ย รอให้ศาลบุ๋นมีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมก่อน
การประชุมขนาดเล็กนี้ขาดคนไปเกือบครึ่ง แต่มีคนหน้าใหม่ที่ไม่สะดุดตาเพิ่มมาอีกสิบกว่าคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนอายุน้อย ยกตัวอย่างเช่นเทียนซือน้อยผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน คนสี่คนที่มาเข้าร่วมการประชุมด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ยังอยู่
ห่างจากประตูใหญ่ของศาลบุ๋นไปค่อนข้างไกล บางทีอาจเป็นเพราะหลี่เซิ่งตั้งใจ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีการประชุมติดต่อกันสามครั้ง จึงต้องให้คนได้พักหายใจหายคอกันบ้าง ทุกคนจึงสามารถเดินเล่นพูดคุยกันไปตามถนนได้ เส้นเอ็นหัวใจไม่ต้องถึงกับขึงตึงอยู่ตลอดเวลา
อาเหลียงเสียดายอย่างสุดแสน ทำสีหน้ารังเกียจมองไปยังจั่วโย่วและฉีถิงจี้ที่อยู่ข้างกาย พูดบ่นไม่หยุด “ข้าไม่เหมือนพวกเจ้าสองคนหรอกนะ หัดช่วยมองข้าเป็นขอบเขตสิบสี่ครึ่งตัวไม่ได้หรือไง”
ลู่จือหัวเราะหยัน “รอให้ข้าฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ ก็ถือเสียว่าเป็นการอวยพรที่เจ้าขอบเขตถดถอย”
อาเหลียงยื่นมือมาลูบปลายคาง พยักหน้ารับช้าๆ “หนึ่งบนหนึ่งล่าง ดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปรียบ”
สีหน้าของลู่จือเยียบเย็น หมัดหนึ่งต่อยออกไปอย่างโหดร้าย ต่อยจนอาเหลียงปลิวกระเด็น รอจนอาเหลียงโซเซยืนนิ่งได้แล้ว ชายฉกรรจ์ก็ถอดชุดลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนร่างตัวนั้นออกแล้ว
ไม่มีการสยบกำราบบนมหามรรคาส่วนนี้ จากนี้ไปก็เป็นฟ้าดินเล็กของพี่อาเหลียงแล้ว ถึงอย่างไรพวกอริยะทั้งหลายต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ ตนจึงจำต้องแบกภาระหนักอึ้งอย่างมิอาจเกี่ยงงอนได้
อาเหลียงวิ่งตุปัดตุเป๋กลับไปอยู่ข้างกายลู่จือ ถามเสียงเบาว่า “จวินเชี่ยนล่ะ?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “การประชุมครั้งที่สอง เขาก็ขาดประชุมแล้ว”
อาเหลียงอิจฉายิ่งนัก “ก็ถือว่ามีหน้ามีตาแล้ว”
แต่จากนั้นอาเหลียงก็ผรุสวาท “ใจกล้านัก! อาศัยกลยุทธชั้นต่ำมาดึงความสนใจ หน้าไม่อาย!”
หลิวสือลิ่วหรือจวินเชี่ยน ล้วนเป็นนามแฝงที่ใช้ก่อนมากราบอาจารย์ขอเล่าเรียนทั้งสิ้น ก่อนที่จะกลายเป็นคนของสายเหวินเซิ่ง ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนกับป๋ายเหย่อยู่นานหลายปี
หลิว คืออักษรพ้องภาพ ธาตุทอง หลักสังหาร ทุกวันที่สิบหก (สือลิ่ว) ของทุกเดือนมีชื่อเรียกว่าจี้วั่ง ล่างภูเขามีคำกล่าวบอกว่าดวงจันทร์วันที่สิบห้ากลมไม่สู้วันที่สิบหก
เทียบอักษรที่ล้ำค่ามากมายในประวัติศาสตร์ซึ่งรวมถึงเทียบหิมะแห่งความยินดี ล้วนมีตราประทับนามสองคำว่าจวินเชี่ยน
และหลิวสือลิ่วก็มีชาติกำเนิดมาจากภูต ในฐานะผู้ฝึกตนที่มีอายุยาวนานที่สุดในหลายๆ ใต้หล้า ไม่ว่าจะกับป๋ายเจ๋อ เฒ่าตาบอด เจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่ บรรพบุรุษย้ายขุนเขาที่มีชื่อจริงว่าจูเยี่ยน ล้วนไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ดังนั้นหากจะพูดถึงประสบการณ์ ลำดับอาวุโสกันจริงๆ และถ้าละสถานะของสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อเอาไว้ไม่กล่าวถึง จึงมีความจำเป็นน้อยมากที่หลิวสือลิ่วต้องเรียกใครว่า ‘ผู้อาวุโส’ ถึงขั้นที่ว่าในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทุกวันนี้ยังมีทายาทเผ่าพันธ์เดียวกันกับเขาที่มีจำนวนมากพอใช้ได้
ดังนั้นการประชุมครั้งที่สองที่สองใต้หล้าคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ กลับกลายเป็นว่าไม่เหมาะที่หลิวสือลิ่วจะปรากฏตัว
อาเหลียงกวาดตามองไปรอบด้าน ลูบคลึงปลายคาง “คนที่ศาลบุ๋นเรียกมาคราวนี้ค่อนข้างน่าขบคิดนะ ลูกพี่ใหญ่ในศาลบุ๋นศูนย์ใหญ่ กับเจ้าสาขาของแต่ละทวีปที่เหลือ? รอแค่ให้ผู้นำออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้า เพียงคำสั่งเดียวพวกเราก็ต้องแยกกันไปฟันหัวคนอย่างกระเหี้ยนกระหือรืองั้นหรือ?”
การประชุมครั้งนี้ต้องเข้าไปในศาลบุ๋น
ถึงเวลานั้นปิดประตูลง ไม่ใช่คนกันเอง แต่ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกันของศาลบุ๋นแล้ว
ในเมื่อเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้พูดจาห่างเหิน
หากบอกว่าแรกเริ่มทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมต่างก็ยังไม่เข้าใจท่าทีที่แท้จริงของฝั่งศาลบุ๋น
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เมื่อผ่านการประชุมไปแล้วสองครั้ง พวกคนที่รู้สึกตัวช้าก็น่าจะเข้าใจได้แล้ว
นับตั้งแต่หลี่เซิ่งไปจนถึงหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่ง แล้วก็ไปจนถึงเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋น รวมไปถึงพวกอาจารย์ผู้เฒ่าอย่างฝูเซิ่ง นับตั้งแต่การประชุมภายในบนลานกว้าง ไปจนถึงการคุมเชิงกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ล้วนแตกต่างกันอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นการประชุมครั้งนี้ นอกจากซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีปแล้ว ฮ่องเต้อีกเก้าพระองค์ที่เหลือต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้ปรากฎตัว
ศาลบุ๋นพูดอะไรก็ต้องทำตามอย่างนั้น
แค่รอฟังข่าวอย่างว่าง่ายก็พอ
ก่อนจะออกไปจากลานกว้าง อาจารย์ผู้เฒ่าหานยังบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เนื้อหาของการประชุมในวันนี้ อะไรที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดแม้แต่คำเดียว จงทำเรื่องในหน้าที่ของตัวเองให้ดี
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งเป็นผู้นำกลุ่มคน ข้างกายมีคนอยู่แปดคน
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป ซ่งจ่างจิ้งแห่งแจกันสมบัติทวีป เฉินฉุนฮว่าแห่งทักษินาตยทวีป หลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยนแห่งหลิวเสียทวีป เหวยอิ๋งแห่งใบถงทวีป
เพียงแต่ว่าเกราะทองทวีป เหตุใดถึงเป็นราชครูเฉาผู่ของราชวงศ์เส้าหยวนที่มาเข้าร่วมประชุม?
นอกจากนี้ข้างกายอาจารย์ผู้เฒ่าหานก็คือบรรพจารย์สองท่านของสำนักการทหารอย่างเจียงและเว่ย
จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ บรรพจารย์สำนักจ้งเหิง อาจารย์ฟ่านของสำนักการค้า
บรรพจารย์สำนักโอสถ บรรพจารย์สำนักการช่าง นอกจากนี้ยังมีบรรพจารย์ของสำนักประพันธ์จากพื้นที่มงคลกระดาษขาวมาร่วมด้วยอีกหนึ่งคน
อีกทั้งสำนักคำนวณยังมีหน้ามีตามากเป็นพิเศษ เพราะถึงกับมีบรรพจารย์สามท่านที่จับมือกันมาปรากฏตัว
อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ซูจื่อ หลิ่วชี และยังมีตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อีกคน
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เผยเปย เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวน จางเถียวเสีย ไหวอิน อวี้พ่านสุ่ย กวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กที่เงียบขรึมพูดน้อย
แจกันสมบัติทวีปนอกจากจะมีสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้วยังมีตระกูลชั้นสูงล่างภูเขาที่มีการสืบทอดยาวนานอีกสองสามตระกูล ตระกูลฟ่านเสวียนอวี๋แห่งแผ่นดินกลาง สกุลซ่งจัวลู่ สกุลสวีแห่งฝูเฟิงเม่าหลิง สกุลเซี่ยแห่งภูเขามี่ซาน
มีเงินมีอำนาจ มีตำรามีคน
แต่ละคนล้วนมาจากตระกูลอันดับต้นๆ ของใต้หล้าไพศาลทั้งสิ้น
อาเหลียงจ้องบรรพจารย์สำนักคำนวณกลุ่มนั้นเขม็ง ทั้งยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย ตอนเด็กอ่านตำราอยู่ที่บ้านต้องเผชิญกับความยากลำบากเพราะสำนักคำนวณไปไม่น้อย ตำราแต่ละเล่มไม่ได้หนา แต่แม่งเป็นตำราสวรรค์อ่านไม่เข้าใจทั้งนั้น
คราวหน้าจะต้องเพิ่มชื่อเจ้าสามคนนี้ลงไปบนใบรายชื่อของซิ่วไฉเฒ่าสักหน่อย
รอกระทั่งบรรพจารย์ท่านหนึ่งหันหน้ามามอง อาเหลียงก็รีบคลี่ยิ้มกว้างสดใส โบกมือให้อย่างร่าเริง
บรรพจารย์ท่านนั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เพียงแต่ในใจอดกังขาไม่ได้ว่าเจ้าอาเหลียงผู้นี้สนิทสนมกับตนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
สวี่ป๋าย หลินจวินปี้ คนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งที่มีเทียนซือน้อยของภูเขามังกรพยัคฆ์รวมอยู่ด้วย คนสิบกว่าคนค่อยๆ มารวมตัวกัน
ล้วนเป็นคนที่มีตำแหน่งอยู่ในหน่วยจวินจีหลางศาลบุ๋น
ลูกรักแห่งสวรรค์ที่อายุยังน้อยพวกนี้อยู่ใกล้กับเซียนกระบี่สี่คนอย่างพวกอาเหลียงมากที่สุด
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง แอบชี้ไปที่เฉาผู่แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “จั่วโย่ว”
จั่วโย่วชำเลืองตามอง กล่าวว่า “เขากับอาจารย์มีการช่วงชิงตำแหน่งวิญญูชนด้านการศึกษาหาความรู้กัน”
อาเหลียงกระพือไฟต่อ “แต่เจี่ยงหลงเซี่ยงที่เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ผู้นั้นล่ะ? ทนได้หรือ? หากเป็นข้าย่อมทนไม่ได้หรอก มารดามันเถอะ คนเล่นหมากล้อมฝีมือห่วยๆ คนหนึ่งกลับกล้าท้าทายคนอื่นอยู่บนภูเขาอ๋าวโถว ว่ากันว่ายังเลี้ยงนกกระสาขาวไว้ด้วยตัวหนึ่ง คอยพามาอยู่ข้างกายตลอดทั้งปี มีมาดแห่งผู้รักสันโดษ ฝีมือเลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในไพศาลเชียวนะ”
จั่วโย่วลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์บอกให้ข้าใจกว้างหน่อย”
หากอาจารย์ไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ จั่วโย่วก็จะทำให้เขาต้องขี่นกกระสาไปแดนสวรรค์แล้ว
ปีนั้นที่สถานะผู้มีเทวรูปของอาจารย์ถูกลดระดับขั้นลงครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นเหตุให้สุดท้ายเทวรูปถูกย้ายออกไปจากศาลบุ๋น ในบรรดานั้นก็เป็นบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวนที่อาละวาดรุนแรงที่สุด ลงมือทุบทำลายเทวรูป เจี่ยงหลงเซียงก็คือตัวการที่อยู่เบื้องหลัง
อาเหลียงเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าโง่หรือไง เห็นได้ชัดว่าคำพูดของซิ่วไฉเฒ่าแฝงความนัย คืออยากจะให้เจ้าฟันคนโดยไม่เผยพิรุธ อีกอย่างก็คืออย่าเล่นงานอีกฝ่ายถึงตายก็พอ”
จั่วโย่วเริ่มคิดพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อาเหลียงพอใจอย่างยิ่ง
ไม่เสียแรงที่ตนเป็นกุนซือหัวสุนัขของสายเหวินเซิ่ง
ในบรรดากลุ่มคนของอริยะปราชญ์และเจ้าขุนเขาลัทธิขงจื๊อ มีผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมา มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่ว ประสานมือคารวะ “ศิษย์พี่จั่ว”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ
เหมาเสี่ยวตงยืดตัวขึ้น ทั้งไม่ยินดีจะจากไปทั้งอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เลยได้แต่ติดตามอยู่ข้างกายศิษย์พี่จั่วเงียบๆ
จั่วโย่วกล่าว “เรื่องของการเปลี่ยนสายบุ๋น เจ้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจมาก เมื่อร้อยปีก่อนก็ควรทำเช่นนี้แล้ว เสี่ยวตงเจ้าเป็นคนนิสัยดี แต่คุณสมบัติในการศึกษาหาความรู้นั้นธรรมดา และความรู้ของอาจารย์ก็ค่อนข้างจะสูงส่งลึกล้ำ ไม่อาจยกเอาทั้งดุ้นมาใช้โดยไม่ดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ในเมื่อวันนี้มีโอกาสเอาความรู้ของสองสายมาขัดเกลากัน ก็จงทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ศิษย์พี่จั่วสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”
หากชุยตงซานมาเห็นภาพนี้คงโมโหจนต้องกระทืบเท้าแน่นอน ยามที่อยู่กับชุยตงซาน เหมาเสี่ยวตงไม่เคยมีนิสัยดีๆ เช่นนี้ให้เห็นเลย
ในอดีตตอนที่มาขอศึกษากับสายเหวินเซิ่ง เหมาเสี่ยวตงเกิดมาก็มีนิสัยตรงไปตรงมา ชอบที่จะมุมานะหาเหตุผลมาโต้แย้ง อันที่จริงความรู้ของจั่วโย่วมีมากกว่าเขา แต่เพราะไม่เชี่ยวชาญการใช้คำพูด เหตุผลหลายๆ อย่างจั่วโย่วกระจ่างแจ้งอยู่ในใจนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถพูดให้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งได้ ส่วนเหมาเสี่ยวตงก็เป็นประเภทดื้อด้าน ดังนั้นจึงมักจะคอยพร่ำพูดไม่รู้จักจบจักสิ้น เอ่ยถ้อยคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนตอไม้ไร้สมอง จั่วโย่วจึงต้องลงมือให้เขาหุบปาก
อาเหลียงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวตงอ่า ทุกวันนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่กระมัง? จะต้องอดทนจนถึงวันที่ผู้อำนวยการสถานศึกษาหลี่จี้เกษียณให้ได้นะ หากไม่ได้จริงๆ ที่ข้ามียาดองที่เก็บซ่อนไว้มานานหลายปีอยู่หลายไห ล้วนเป็นของขวัญตอบแทนที่ข้าไปเยือนพื้นที่มงคลร้อยพืชพรรณในปีนั้น เจ้าเอาไปบำรุงร่างกายสักหน่อยเถอะ จำไว้ว่าเป็นคนต้องมีจิตสำนึก วันหน้าได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วก็ต้องช่วยพี่อาเหลียงพูดทวงความเป็นธรรมบ้าง”
วงการขุนนางมีกฎของวงการขุนนาง บนภูเขาก็มีกฎของบนภูเขา นี่เรียกว่าบนดินหนูมีเส้นทางของหนู บนฟ้านกมีเส้นทางของนก
ศาลบุ๋นเองก็มีวิถีทางในการเลื่อนขั้นของศาลบุ๋น นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะที่มีเทวรูปตั้งบูชา เจ้าขุนเขา รองผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการ เจ้าลัทธิ
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้รับคำ เพียงแค่ติดตามอยู่ข้างกายศิษย์พี่จั่วโย่วเงียบๆ
จั่วโย่วขมวดคิ้วกล่าว “มาอยู่กับพวกข้าตรงนี้ทำไม เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่รึ?”
เหมาเสี่ยวตงหน้าแดงก่ำ รีบบอกลาขอตัวจากไปทันที
เทียนซือน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลทำหน้าทะเล้น เบี่ยงตัวหันข้าง แต่ฝีเท้ากลับไม่หยุดนิ่ง ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยทักทายกับอาเหลียง “อาเหลียง จะไปเป็นแขกที่บ้านข้าอีกเมื่อไหร่ล่ะ? ข้าสามารถช่วยเจ้าขนเหล้าได้นะ หลังจบเรื่องมาแบ่งกันครึ่งๆ”
โจรในบ้านยากจะป้องกัน
อาเหลียงร้องเพ้ยหนึ่งที “เจ้าเป็นใครกัน? อย่ามาทำตัวสนิทสนมกับข้า ข้าไม่เคยไปภูเขามังกรพยัคฆ์มาก่อน แล้วก็ยิ่งไม่คุ้นเคยกับจวนเทียนซือของพวกเจ้า”
เทียนซือน้อยรีบหันไปมองทางจั่วโย่วทันที เพราะตนได้รับคำตอบเป็นเสียงในใจจากอาเหลียงแล้ว บอกว่าแบ่งกันคนละครึ่งไม่ได้ หากแบ่งแปดต่อสองยังพอจะทำได้
ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อที่มีชื่อว่าจ้าวเหยากวงผู้นี้อายุร้อยกว่าปี ดังนั้นครั้งแรกที่อาเหลียงฉวยโอกาสฟ้ามืดลมแรงไปเยือนจวนเทียนซือในปีนั้น เทียนซือน้อยในเวลานั้นยังมีขี้มูกยืดสองสาย ตอนกลางคืนนอนไม่หลับจึงถือกระบี่ไม้ท้อเล่มเล็กที่ตัวเองทำเองออกมา คิดว่าจะไปกำจัดปีศาจปราบมารจับผีมาสักตัว ผลคือพอเจอกับอาเหลียงที่บอกว่าตัวเองคือคู่รักของ ‘เลี่ยนเจิน’ จิ้งจอกฟ้าสิบหางของจวนเทียนซือก็ถูกชะตากันทันที สองฝ่ายเพียงพบหน้าก็กลายเป็นสหายต่างวัย เด็กชายให้อาเหลียงแบกตนขึ้นหลัง จากนั้นก็คอยช่วยบอกทางให้เขา ทั้งสองฝ่ายเดินเล่นกันไปตลอดทาง ได้ผลเก็บเกี่ยวไปตลอดทาง ในชายแขนเสื้อสองข้างของนักพรตน้อยบรรจุสิ่งของไว้เต็มแน่นไปหมด
อาเหลียงแต่งเรื่องส่งเดช บอกว่าตัวเองเคยเป็นบัณฑิตยากจน ชะตารันทด ไร้ความหวังในการสอบ จึงหมดอาลัยตายอยาก จากนั้นก็ได้เจอกับแม่นางเลี่ยนเจินโดยบังเอิญ ทั้งสองฝ่ายตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบหน้า
——