กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 790.3 ผู้ครองกระบี่
ริมลำคลอง
หย่าเซิ่งหยิบเอาม้วนภาพอันหนึ่งออกมา หลังคลี่กางออกแล้ว ริมลำคลองก็มีภูเขาทัวเยว่ลูกหนึ่งปรากฏขึ้น แทบจะใกล้เคียงกับวัตถุที่จับต้องได้ มีแนวโน้มใกล้เคียงกับความจริง
เพราะหย่าเซิ่งอาศัยดินแดนพุทธะสุขาวดีจึงได้เดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่มาด้วยตัวเองรอบหนึ่ง
ส่วนอาเหลียงนั้นอาศัยการเดินทางไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดี สังหารภูตผีวิญญาณร้ายไปนับไม่ถ้วน มหามรรคาถูกทำลายให้สึกกร่อนไปเยอะมาก ขอบเขตจึงถดถอยลงมาจากขอบเขตสิบสี่
หลังจากที่หย่าเซิ่งปรากฏตัวที่ภูเขาทัวเยว่ก็ได้ทำลายตราผนึกปกป้องภูเขาไปแล้วเกินครึ่ง ครั้นจึงไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนหัวกำแพงเมืองแล้ว ถูกชุยฉานโยนไปไว้ที่ถ้ำแห่งโชควาสนาบนเกาะหลูฮวาแล้ว
ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าเป็นหย่าเซิ่งผู้นี้ที่ได้พบหน้าซิ่วหู่แห่งไพศาลเป็นครั้งสุดท้าย ราวกับว่าชุยฉานกำลังรอคอยให้หย่าเซิ่งปรากฎตัว
ทั้งสองฝ่ายนั่งพูดคุยกันบนหัวกำแพงเมือง คุยเรื่องศึกตรีจตุในปีนั้น
หลี่เซิ่งและป๋ายเจ๋ออยู่ที่ริมลำคลอง ไม่ได้เหยียบขึ้นไปบนภูเขาทัวเยว่ลูกนั้น สตรีชุดขาวเองก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรต่อภูเขาทัวเยว่ จึงคุยเล่นอยู่กับหลี่เซิ่งและป๋ายเจ๋อที่ริมลำคลอง
เวลาห่างกันหมื่นปี
นี่อาจถือว่าเป็นการ ‘รำลึกความหลัง’ ที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้าแล้ว
นางเอ่ยหยอกล้อว่า “ป๋ายเจ๋อ เจ้าถือโอกาสต่อสู้กับอาจารย์น้อยที่นี่ไปก่อนรอบหนึ่งเลยสิ หากเจ้าชนะ ศาลบุ๋นก็จะไม่แตะต้องเปลี่ยวร้าง หากแพ้ เจ้าก็ปิดด่านทบทวนความผิดของตัวเองต่อไป”
ป๋ายเจ๋อส่ายหน้า
เรื่องของซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาล เป็นเรื่องของหลายๆ ใต้หล้า ดังนั้นป๋ายเจ๋อจึงยินดีมาปรากฏตัวที่นี่
แต่ขอแค่ศาลบุ๋นยกทัพบุกโจมตีเปลี่ยวร้าง ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เขาก็จะไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป
หากง่ายดายเพียงเท่านี้จริงๆ แค่ตีกันก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าสองใต้หล้าจะตกเป็นของใคร ไม่เดือดร้อนบนภูเขาและล่างภูเขา ป๋ายเจ๋อก็ไม่ถือสาจริงๆ หากต้องลงมือ
ทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่หลายคนเริ่มเดินขึ้นเขา
อวี๋โต้วเดินก้าวหนึ่งไปถึงบนยอดเขาโดยตรง
ลู่เฉินกำลังพูดพล่ามอยู่กับคนพิฆาตมังกร เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เห็น
อู๋ซวงเจี้ยงยกมือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือก็มีภูเขาจิ๋วที่ประกอบจากสีทองสีเงินสีดำและสีขาวสี่สีปรากฎขึ้น ราวกับว่ากำลังค่อยๆ ทำให้ภูเขาทัวเยว่ลูกนี้ ‘สละร่าง’
ซิ่วไฉเฒ่าพาเฉินผิงอันเดินตามไปอยู่ท้ายสุด
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์ ช่วยถามหลี่เซิ่งให้หน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่าใต้หล้าห้าสี ในเรื่องนี้มีข้อพิถีพิถันอะไรหรือไม่ หรือว่าใต้หล้าห้าสีซุกซ่อนโชควาสนาในการพิสูจน์มหามรรคาห้าอย่าง หรือไม่ก็มีสมบัติล้ำค่าห้าชิ้นไม่ต่างจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่บ้านเกิด?”
บนเส้นทางการฝึกตนของเฉินผิงอันค่อนข้างซับซ้อน แต่ในเรื่องของการอนุมานกลับค่อนข้างจะต้องเดาเอาเองอย่างส่งเดช สามารถแบ่งแยกสูงต่ำกับเจียงซ่างเจินได้
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ปีนั้นข้ากับป๋ายเหย่สร้างความมั่นคงให้กับฟ้าดินด้วยกัน ก็ได้เห็นเบาะแสบางอย่าง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเส้นสายของมหามรรคาอย่างแท้จริง โชควาสนาบางอย่างค่อนข้างจะตื้นเขิน ยกตัวอย่างเช่นกระท่อมที่ป๋ายเหย่สร้างไว้ในใต้หล้าแห่งนั้นก็คือหนึ่งในนั้น ส่วนทางฝั่งของหลี่เซิ่ง คงยากจะถามอะไรได้แล้ว ตั้งชื่อว่าใต้หล้าห้าสี เดิมทีก็เป็นความหมายของหลี่เซิ่งคนเดียว เขาต้องรู้เรื่องวงในแน่นอน แต่น่าเสียดายที่อะไรหลี่เซิ่งก็ดีไปหมดทุกอย่าง เพียงแต่นิสัยดื้อรั้นเกินไป เรื่องอะไรที่เขายืนกรานแล้วต่อให้มีเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าสิบคนมาฉุดดึงก็ดึงไม่ขึ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “เจ้าไปถามหลี่เซิ่ง บางทีอาจยังพอมีหวัง เป็นไปได้มากกว่าให้อาจารย์ไปถามเสียอีก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าหลี่เซิ่งจะคาดการณ์ถึงเรื่องนี้มาไว้ก่อนแล้ว จึงเคยเตือนข้ามานานแล้ว บอกเป็นนัยแก่ข้าว่าอย่าคิดมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว หลี่เซิ่งก็แค่ขู่เจ้า เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง แล้วยังมีคุณความเหนื่อยยากสูง ไม่พูดสักสองสามคำก็เสียเปล่า หลี่เซิ่งอบรมบ่มเพาะตัวเองมาอย่างดี ไม่มีทางโกรธหรอก อีกอย่างก่อนหน้านี้พี่หญิงเทพเซียนก็ได้สร้างคุณความชอบยิ่งใหญ่ คนตาบอดยังมองเห็น ใจคนมีตาชั่งนี่นะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง “อาจารย์มีเหตุผล การบอกเป็นนัยของหลี่เซิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการชี้นำอย่างหนึ่ง ถูกไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าใช้หมัดทุบฝ่ามือ “พวกเราพูดคุยกันอย่างนี้ก็สามารถเรียบเรียงหลักการเหตุผลที่ซับซ้อนให้เรียบง่ายได้แล้วว่าไหม?!”
เฉินผิงอันเหมือนได้กินยาสงบใจ ไม่สนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ รอให้ลงจากเขาไปเมื่อไหร่ จะดีจะชั่วก็ต้องไปขอร้องหลี่เซิ่งสักหน่อย หากใต้หล้าห้าสีมีโชควาสนาบนมหามรรคาห้าอย่างซ่อนอยู่รอให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายไปช่วงชิงมาจริง ตนก็จะช่วยนครบินทะยานหาโชควาสนาหนึ่งในนั้นมาแต่เนิ่นๆ สืบสาวเบาะแสไปชิงเอามาไว้ในกระเป๋าให้สบายใจก่อน คงไม่เกินไปกระมัง? อีกอย่างใต้หล้าแห่งที่ห้าก็เป็นศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อที่หาเจอ แล้วทำการบุกเบิกที่ดิน นครบินทะยานก็เป็นคนบ้านเดียวกันกับใต้หล้าไพศาล น้ำดีไม่ไหลเข้านาคนนอก อย่าว่าแต่อย่างเดียวเลย ต่อให้สองอย่างก็ยังไม่รังเกียจว่าน้อยเกินไป สามอย่างก็ไม่รังเกียจว่ามากเกินนะ
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มบอกเล่านิสัยของหลี่เซิ่งให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายฟังอย่างละเอียด หลุมอะไรอย่าไปเหยียบเพราะอาจจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม คำพูดแบบไหนสามารถพูดคุยได้มากหน่อย ต่อให้หลี่เซิ่งหน้าดำก็อย่าใจฝ่อเด็ดขาด หลี่เซิ่งมีกฎระเบียบเยอะ แต่ไม่ใช่คนคร่ำครึ
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไว้ในใจ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ เรื่องที่พวกเราคุยกัน หลี่เซิ่งคงไม่ได้ยินกระมัง?”
ซิ่วไฉเฒ่าตบอกรับรอง “วางใจได้ร้อยใจเลย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภิกษุเสินชิงผู้นั้น หลี่เซิ่งรักษามารยาทและกฎระเบียบเป็นที่สุด”
ภิกษุเฒ่าที่เดินอยู่ด้านหน้าร้องภาษาธรรมหนึ่งคำ
ทางฝั่งของริมลำคลอง
หลี่เซิ่งยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว
คนเจ้าเล่ห์สองคน
ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสมีสายตาในการเลือกคนดีมาก”
พูดถึงคนหนุ่มผู้นั้น พูดถึงสภาพจิตใจขึ้นลงอันลุ่มลึกที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นทอดๆ ในชั่ววินาทีที่ได้เจอกับจอมกระบี่และข้ารับใช้กระบี่
ใจคนบางคนเชี่ยวชาญในการหลอกลวงตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นมักจะหวังตามจิตใต้สำนึกว่าจอมกระบี่กับข้ารับใช้กระบี่คือหนึ่งเดียวกัน ใจคนบางคนกลับผิดหวังห่อเหี่ยว ละโมบไม่มีที่สิ้นสุด เปลี่ยนจากอันดับหนึ่งในใต้หล้ากลายเป็นอันดับสองในใต้หล้าก็ยังกลัดกลุ้มทุกข์ใจ
และการอ่านใจคนของพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เล็กเท่าเมล็ดงา ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ
ผู้ถือกระบี่คนนี้ เกินครึ่งคงไม่ถือสาว่าคนที่ตัวเองเลือกจะดีหรือเลว แต่ผู้ถือกระบี่ที่เงียบหายไปนานนับหมื่นปี ไม่ว่าจะมีความตั้งใจจากอะไร สุดท้ายถึงได้เลือก ‘ผู้ครองกระบี่’ คนหนึ่งมาให้กับตัวเอง ก็จะต้องให้ความสำคัญกับจิตใจที่บริสุทธิ์ของฝ่ายหลังอย่างมาก แม่น้ำแห่งกาลเวลาจะต้องสลายหายไป ตะวันจันทราดารา หรือกระทั่งมหามรรคาล้วนจะต้องเคลื่อนโคจรไม่อยู่นิ่ง ขยับคลาดเคลื่อนไปจากวิถีการโคจร หากแต่เดิมเฉินผิงอันยอมรับในตัววิญญาณกระบี่ตนหนึ่ง แต่เพราะการปรากฏตัวกะทันหันของจอมกระบี่ ทำให้ความคิดจิตใจบางอย่างเกิดกระจัดกระจาย ผลลัพธ์ที่ตามมาคงยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้
สิ่งที่นางต้องการคือผู้ถือกระบี่ที่สามารถรักษาจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ได้
ปีนั้นเด็กหนุ่มสามารถอาศัยหนิงเหยา ‘สังหาร’ วิญญาณกระบี่ในใจได้ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มในวันนี้ก็สามารถอาศัยวิญญาณกระบี่มา ‘สังหาร’ จอมกระบี่ได้
นางต้องการเส้นทางที่หมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลงเดินขึ้นสู่ที่สูงไปโดยตลอด ค่อยๆ ขยับเดินขึ้นสู่ยอดบนสุด สุดท้ายก็เดินขึ้นสู่สวรรค์ไป
นางเอ่ยว่า “เป็นคนอื่นที่ช่วยเลือก ตอนนั้นข้าก็แค่เบื่อ”
กระบี่เซียนสี่เล่มของอู๋ซวงเจี้ยงล้วนเป็นกระบี่จำลอง
ในความเป็นจริงแล้วแรกเริ่มสุดกระบี่เซียนทั้งสี่เล่มก็เป็นกระบี่จำลองเช่นกัน
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน นางก็ดึงจิตแห่งเทพส่วนหนึ่งออกมาหลอมเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง กลายมาเป็นวิญญาณกระบี่คนแรกในฟ้าดินที่ช่วยออกกระบี่แทนนาง
เพราะเวทกระบี่ถึงขั้นสูงสุดแล้ว จึงถูกกำหนดมาว่าจะไม่อาจรุดหน้าไปได้อีก เท่ากับว่าการออกกระบี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนสนามรบกลายมาเป็นไร้ความหมาย
เต้าจ้าง ไท่ป๋าย ว่านฝ่าและเทียนเจินกระบี่เซียนสี่เล่มในยุคหลังล้วนไม่เคยผ่านการหลอมใหญ่จากผู้ฝึกตนมาก่อน ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ฝึกตนคือผู้ฝึกตน วิญญาณกระบี่คือวิญญาณกระบี่
วิญญาณกระบี่ของเทียนเจินอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหญิง การแสดงออกของวิญญาณกระบี่ว่านฝ่าคือนักพรตเด็กคนหนึ่ง อันที่จริงล้วนเป็นการจำแลงมาจากจิตใจส่วนหนึ่งของนายแห่งกระบี่เซียน ขณะเดียวกันวิญญาณกระบี่ก็ได้รักษาสติปัญญาของตัวเองตอนที่เพิ่งถือกำเนิดไว้ได้มากกว่าเดิม
ความน่ากลัวของนิสัยเทพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ว่านิสัยเทพนี้สามารถกลบทับนิสัยเทพอีกอย่างหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง โดยที่ระหว่างขั้นตอนนี้ไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
และริ้วคลื่นส่วนนี้ก็อาจกลายมาเป็นจิตมารของผู้ฝึกตนในยุคหลัง และต่อให้จะเป็นทิฐิของมนุษย์ธรรมดา ทุกส่วนก็ล้วนจะหล่นร่วงอยู่ในดินแดนพุทธะสุขาวดี
เคยมีคนบอกว่าคนผู้หนึ่งสามารถรักษาความสั้นยาวของความทรงจำได้ ก็คืออายุขัยในการดำรงอยู่ที่แท้จริง
และการที่เจิ้งจวีจงทำให้ผู้คนเกิดความกริ่งเกรงได้ ข้อหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่ว่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารผู้นี้เชี่ยวชาญในด้านการเปลี่ยนแปลงความทรงจำของผู้ฝึกลมปราณมากที่สุด อีกทั้งยังทำได้อย่างไร้ช่องโหว่ ใช้ของปลอมสวมรอยของจริงได้อย่างสมจริงยิ่ง
นางหัวเราะ “พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ข้าหยั่งเชิงเฉินผิงอัน แต่แท้จริงแล้วเปล่าเลย ก็แค่รู้สึกว่าน่าสนุกก็เลยหยอกเขาเล่นเท่านั้น”
เพราะนางเชื่อใจเขา
นางเอ่ย “อันที่จริงเฉินผิงอันในอดีตไม่ได้อัดอั้นเช่นนี้ เขาน่าสนใจอย่างมาก”
น้ำเต้าตันที่เงียบขรึมพูดน้อย อันที่จริงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนน่าเบื่อเสมอไป
ยกตัวอย่างเช่นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่ในปีนั้น ตอนที่เขาเบามือเบาเท้าเดินผ่านสะพานหินโค้งอย่างลับๆ ล่อๆ ก็น่าสนใจอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่น่าสนใจเหมือนเดิมอีกต่อไป ดูเหมือนว่าจะเป็นวิถีทางโลกใบนี้
นางใช้ฝ่ามือของมือหนึ่งค้ำยันด้ามกระบี่ มองเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงที่อยู่บนยอดเขาภูเขาทัวเยว่
ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง?
แต่งตั้งเองหรือ?
เจ้าเด็กเฉินชิงตูนั่นยังไม่หน้าหนาขนาดนี้เลย
หลี่เซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กวนโอ้ยอยู่บ้างจริงๆ”
กวนโอ้ยน่าเตะก็จริงอยู่
เพียงแต่ก็จำต้องยอมรับด้วยว่า มรรคกถาและเวทกระบี่ของอวี๋โต้วผู้นี้สูงอย่างมาก
หากต่างฝ่ายต่างลงแรงเต็มที่ อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว หลี่เซิ่งต้องแพ้แน่นอน แต่อยู่ในใต้หล้าไพศาล อวี๋โต้วต้องแพ้
ส่วนอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า ไม่มีการลำเอียงเข้าข้างจากฟ้าอำนวยดินอวยพร แพ้ชนะเป็นอย่างไร น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสได้ตัดสินสูงต่ำ
แต่หลี่เซิ่งรู้สึกว่ายังคงเป็นตัวเองที่มีโอกาสชนะมากกว่าหน่อย มั่นคงกว่าหน่อย โอกาสชนะสักเจ็ดส่วน
เรื่องของการต่อยตีนี้ ถึงอย่างไรอวี๋โต้วก็อายุยังน้อย เป็นเด็กรุ่นหลัง แพ้ให้ตนก็ไม่มีอะไรน่าอาย
หลี่เซิ่งกวาดตามองรอบด้าน ก้มหน้าลงมองแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่สีทองค่อยๆ จางหายไป
ทว่าจิตใจป๋ายเจ๋อกลับสะท้านสะเทือน มองไปยังอาจารย์น้อยผู้นี้
เพราะดูเหมือนว่าเนื่องจากอยู่ริมลำคลอง และป๋ายเจ๋ออยู่ใกล้กับหลี่เซิ่งมากที่สุด จึงพอจะสังเกตเห็นเบาะแส
หลี่เซิ่งพยักหน้า ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทุกคนแล้ว ล้วนเป็นการทดสอบใหญ่ครั้งหนึ่ง ส่วนเฉินผิงอัน สามารถวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ได้ชั่วคราว หรือควรจะพูดว่า อันที่จริงเขาได้ผ่านการทดสอบใหญ่ครั้งนี้แล้ว”
คนที่คุมการสอบหลักคือบรรพจารย์สามลัทธิที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏตัว
ครั้งนี้หลี่เซิ่งก็เป็นแค่คนแจกข้อสอบเท่านั้น
หลี่เซิ่งกล่าว “ผู้อาวุโสจะออกกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่จริงหรือ? อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้”
นางหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่กำลังเดินขึ้นเขาแล้วยิ้มตาหยี เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าเชื่อฟังนายท่าน ตอนนี้เขาต่างหากที่เป็นผู้ครองกระบี่”
——