กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 792.1 เดินกร่าง
ทั้งสองฝ่ายได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส ไม่ใช่เด็กหนุ่มกับแม่นางน้อยอีกต่อไปแล้ว
ได้ยินคำทักทายเสียงดังของหลี่เป่าผิง เฉินผิงอันก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยสัพยอกว่า “รู้จักดื่มเหล้าแล้วหรือ? ไม่ต้องหลบซ่อนหรอก อาจารย์อาน้อยเองก็เป็นผีขี้เหล้าเหมือนกัน”
หลี่เป่าผิงคลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า “ก็เป็นแม่นางแก่แล้วนี่นะ!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
ตามคำกล่าวทั่วไป หลี่เป่าผิงควรจะเอ่ยประโยคว่า เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดื่มเหล้าได้แล้ว
กระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวต่างก็อายุไม่น้อยกันแล้ว
แต่ช่วยไม่ได้ ในใจมักจะชอบเห็นพวกเขาเป็นเด็กอยู่เสมอ อันที่จริงหากอิงตามประเพณีของทางบ้านเกิด ทุกคนที่ปีนั้นออกเดินทางไกลไปด้วยกัน ควรจะแต่งงานกันได้แล้ว ไม่แน่ว่าหากต่างคนต่างมีลูก ลูกๆ ของพวกเขาก็น่าจะมีอายุเท่ากับคนที่ไปเป็นลูกศิษย์เตาเผาได้แล้ว
หลี่เป่าผิงในตอนนี้เพียงแต่เลิกเปลือกตาขึ้นน้อยๆ ก็มองเห็นอาจารย์อาน้อยได้แล้ว นางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ยังดี อาจารย์อาน้อยยังคงเหมือนอย่างที่ข้าจินตนาการเอาไว้ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ต่อให้อาจารย์อาน้อยไม่ทักทาย ข้าก็ยังจำอาจารย์อาน้อยได้ทันทีที่เห็น!”
เฉินผิงอันยื่นมือไปตบศีรษะของหลี่เป่าผิง ยิ้มเอ่ยว่า “ในสายตาของอาจารย์อาน้อย นอกจากตัวสูงกว่าเดิมเล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าเจ้าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม”
ราวกับว่ายังคงเป็นแม่นางน้อยชุดแดงที่บนบ่าแบกกิ่งไม้ของต้นไหววิ่งตะบึงไปมาอยู่บนตรอกซอกซอยในบ้านเกิดอย่างร่าเริงมีชีวิตชีวา
พอคิดอย่างนี้เฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้ว ดังนั้นจึงละทิ้งความคิดที่จะหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าไป
ในปีที่ตนอายุสิบสี่ ตอนนั้นมีเพียงเป่าผิงน้อยที่อยู่ข้างกายเดินทางไกลไปด้วยกัน บางครั้งเฉินผิงอันก็จะรู้สึกสงสัย แม่นางน้อยเดินทางไกลขนาดนั้น ไม่เหนื่อยจริงๆ หรือ? จะดีจะชั่วก็ควรจะบ่นสักสองสามคำสิ แต่นางกลับไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าอย่างอดไม่ไหว ไม่ว่าอย่างไรก็หุบยิ้มไม่ได้ หยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ยื่นส่งให้หลี่เป่าผิงแล้วคนทั้งสองก็นั่งลงริมน้ำด้วยกัน เฉินผิงอันยกคันเบ็ดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกี่ยวเหยื่อแล้วก็ขว้างสายคันเบ็ดออกไปอย่างคล่องแคล่ว หันหน้ามาถามว่า “ยังมีเบ็ดตกปลาอยู่ไหม?”
หลี่เป่าผิงที่นั่งอยู่ด้านข้างส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกสองเท้าขึ้นใช้รองเท้าเตะกัน “ดูอาจารย์อาน้อยตกปลาก็พอแล้ว กินเปล่าอยู่เปล่า คนขี้เกียจย่อมมีโชคของคนขี้เกียจ”
ตรงขาเก้าอี้ไผ่เขียวของเฉินผิงอันมีข้องปลาจุ่มน้ำที่ผูกติดกับขาเก้าอี้เอาไว้ และยังใช้ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งกดทับเชือก หลี่เป่าผิงลุกขึ้นไปนั่งยองริมน้ำ ดึงเอาข้องปลาไม้ไผ่สานออกมาพ้นผิวน้ำ พบว่าด้านในมีปลาอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นปลาหลีสีทองที่มีเฉพาะของเกาะยวนยาง เพียงแต่ว่าปลาหลีสีทองพวกนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเซียนน้ำเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่มองดูแล้วน่ากิน ใส่หอมซอย ขิงหรือกระเทียมเข้าไป ไม่ว่าจะตุ๋นน้ำแดงหรือนึ่งน้ำใส ต้องอร่อยมากแน่นอน ฝีมือทำอาหารของอาจารย์อาน้อยยอดเยี่ยม
หลี่เป่าผิงแกว่งข้องปลาที่อยู่ในมือแล้วแอบกลืนน้ำลาย ถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย วัตถุดิบในการตุ๋นปลาคงเอามาด้วยกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มเอ่ย “แน่นอน หม้อ ถ้วย กระบวย อ่าง เหล้าทำอาหาร น้ำพริก น้ำมัน เกลือ น้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายขาว เปลือกกุ้ยผี ขิง ต้นหอม กระเทียม ไม่ขาดสักอย่าง หากพูดถึงฝีมือในการทำกับข้าว ชีวิตนี้อาจารย์อาน้อยเคยแพ้แค่ครั้งเดียว จะต้องทวงศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้ได้”
หลี่เป่าผิงยิ้มกว้าง เข้าใจแล้ว เป็นปีนั้นตอนอยู่ที่แคว้นหวงถิง พวกนางถูกท่านผู้เฒ่าซื่อหลางคนหนึ่งที่หลบเร้นกายไปอยู่ในภูเขาเชื้อเชิญให้ไปกินอาหารที่จวน บนโต๊ะอาหารแต่ละคนสวาปามอย่างหิวโหย โดยเฉพาะหลี่ไหวที่ใจดำที่สุด รังเกียจว่ากับข้าวที่อาจารย์อาน้อยทำจืดชืดเกินไป แล้วยังบ่นอีกว่าอาจารย์อาน้อยตกปลาตัวไม่ใหญ่พอ ใหญ่แค่ฝ่ามือเท่านั้น นั่นก็เรียกว่าปลาด้วยหรือ ลองดูหัวปลาบนโต๊ะนี่สิ ใหญ่กว่าปลาทั้งตัวของเจ้าอีก แล้วลองดูถาดใบใหญ่นี่สิ น้ำแกงนี่…
ครั้งนั้นอาจารย์อาน้อยแอบเคืองอย่างที่หาได้ยาก
นึกถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีตพวกนี้ หลี่เป่าผิงก็พลันรู้สึกว่าเจ้าหลี่ไหวตอนเด็กช่างน่าโดนซ้อมยิ่งนัก ครั้งนี้ก็ถือโอกาสคิดบัญชีย้อนหลังกับเขาไปเลยดีไหม?
หลี่เป่าผิงเอาข้องปลาวางกลับใส่ลงไปในน้ำดังเดิม ถามเสียงเบาว่า “ตอนนี้พี่ชายข้าก็มาท่องเที่ยวที่นี่ อาจารย์อาน้อยได้พบเขาแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “ยังเลย ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ได้แค่ไม่กี่วันเอง แล้วก็อยู่ที่สวนกงเต๋อมาโดยตลอด อยู่กับอาจารย์และศิษย์พี่ จากนั้นก็ไปที่ท่าเรือเวิ่นจินของอำเภอพ่านสุ่ย ได้เจออาเหลียงกับหลี่ไหวพอดี จากนั้นไม่ทันระวังก็ถูกหิ้วตัวไปร่วมการประชุม ระหว่างที่ประชุมเคยแอบถามศิษย์พี่เหมา ได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่ภูเขาอ๋าวโถว ข้าเพิ่งมาตกปลาที่นี่ได้ไม่นาน เดิมทีคิดว่าจะตกปลาอีกสักครึ่งชั่วยามแล้วก็จะไปหาเจ้า”
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียด
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับหลี่เป่าผิง เขาที่เป็นอาจารย์อาน้อยเคยชินที่จะทำอย่างนี้เสียแล้ว
อันที่จริงเฉินผิงอันคิดจะอาศัยโอกาสที่หาได้ยากจากการประชุมครั้งนี้ทำเรื่องหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นไปเยี่ยมหาฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ ขอบคุณของขวัญที่คราวก่อนหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนนำมามอบให้
ขณะเดียวกันยังต้องไปเป็นแขกถึงบ้าน ไปหาเจ้าประมุขสกุลอวี้ผู้นั้นด้วยตัวเอง แล้วก็ต้องเอ่ยขอบคุณเช่นกัน อวี้พ่านสุ่ยเคยมอบมีดตัดกระดาษไผ่เหลืองเล่มหนึ่งให้กับเผยเฉียน เป็นวัตถุจื่อชื่อที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้ไท่ซ่างหวงของราชวงศ์จื่อเสวียนอย่างอวี้พ่านสุ่ยผู้นี้ ตอนที่อยู่แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีปก็เคยมีร่องรอยของการทุ่มทรัพย์สินที่บ้างตื้นบ้างลึก ได้ยินชุยตงซานเล่าให้ฟังว่าอวี้คนงามและอ่างเก็บสมบัติใบนั้นของหลิวเสียทวีปต่างก็เป็นสหายเก่าแก่ที่ยึดมั่นในสัจจะเหนือทรัพย์สินเงินทองใดๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆ เรื่องก็ล้วนสามารถพูดคุยกันได้ คุยอย่างตรงไปตรงมา ขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน เมื่อเทียบกับกอดขาพระเมื่อจวนตัวก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้มาก
ผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่ามีเรื่องแล้วค่อยจุดธูปไหว้พระ ไม่สู้วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนวิ่งไปกลับหลายๆ รอบหน่อย เวลาปกติหากต้องเดินทางไกลก็ง่ายที่จะผ่านด่านปีไปได้
ได้ยินว่าตอนนี้กุ้ยฮูหยินก็อยู่ที่นี่ด้วย เฉินผิงอันอยากจะถามเรื่องของเซอเยว่สักหน่อย ช่วยให้หลิวเสี้ยนหยางมั่นใจในเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ว่าอีกไม่นานอาจจะได้ดื่มสุรามงคลก็เป็นได้ เรื่องอย่างการช่วยจัดงานแต่งงาน ไม่ว่าใครก็อย่าคิดมาแย่งเขาเฉินผิงอันเด็ดขาด ขนบธรรมเนียมประจำบ้านเกิดอย่างการแอบฟังตรงมุมกำแพงก็ห้ามขาด ต้องมีด้วย
เขายังต้องใช้วิธีการที่ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธบางท่านของราชวงศ์ต้าตวนถนัดมาอธิบายหลักการเหตุผลเดียวกันกับอีกฝ่ายด้วย
แต่เรื่องราวน้อยใหญ่เหล่านี้ เมื่อเทียบกับเป่าผิงน้อยแล้วล้วนต้องขยับไปอยู่ท้ายๆ
เฉินผิงอันพลันยกคันเบ็ดขึ้น ร่างโน้มไปเบื้องหน้า แล้วเริ่มเหวี่ยงแขน เส้นเอ็นบนคันเบ็ดตกปลาถูกดึงให้เป็นวงโค้งไปด้วย จากนั้นเขาก็เริ่มล่อปลามาอย่างระวัง เรือนกายที่อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กเอียงไปเอียงมา
เทพเซียนบนภูเขาตกปลาริมน้ำก็เหมือนผู้ฝึกลมปราณดื่มสุราบนโต๊ะเหล้า ใช้หลักการเหตุผลเดียวกัน
หากโคจรวิชาอภินิหารจะเป็นการทำลายบรรยากาศอย่างมาก ใช้คำพูดของจางเถียวเสียผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ชาวประมงที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้าก็คือ ในเมื่อมีความสามารถมากขนาดนั้นก็ใช้คาถาบนภูเขามาย้ายแม่น้ำลำคลองเสียเลยสิ แม่น้ำลำคลองทั้งสายล้วนเป็นของเจ้าแล้ว ปลาหลายร้อยหลายพันจินนับเป็นอะไรได้ หรือว่าจะใส่ไว้ให้เต็มวัตถุจื่อชื่อ เอาไปขายแลกเงินอย่างนั้นหรือ? เพราะว่าที่บ้านเปิดร้านอาหารหรือว่าเปิดร้านขายปลากันล่ะ?
หลี่เป่าผิงมองการชักคะเย่อครั้งนี้ตาไม่กะพริบ พูดชวนคุยไปด้วยว่า “เร่งเดินทางจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาที่นี่พร้อมกับอาจารย์เหมา ก่อนหน้านี้ข้าติดตามอยู่ข้างกายพี่หญิงอวี้ตลอด แต่ธุระของนางมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันต้องคอยยุ่งอยู่กับการรับรองคน ข้าก็เลยขอตัวจากมา”
เฉินผิงอันพยักหน้า พลันยิ้มถามว่า “ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอริยะหมากล้อมเจี่ยงแห่งราชวงศ์เส้าหยวนผู้นั้นเป็นอย่างไร สามารถเอาชนะเจ้านครจักรพรรดิขาวได้หรือไม่?”
เจี่ยงหลงเซียงผู้นี้ เฉินผิงอันได้ยินชื่อเสียงของเขามานานมากแล้ว ปีนั้นตอนที่อยู่คฤหาสน์หลบร้อนก็เคยถามถึงเรื่องเล่าอันน่าสนใจของคนผู้นี้จากหลินจวินปี้มาไม่น้อย
เฉินผิงอันรู้ว่าตอนที่อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่ม ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ อีกทั้งชื่อเสียงด้านการเล่นหมากล้อมก็โดดเด่นมานานแล้ว ไปอยู่เมืองหลวง ปีหนึ่งเอาชนะฉีไต้จ้าวได้คนหนึ่ง เจ็ดปีต่อมาก็ถูกขนานนามให้เป็นอันดับสองแห่งเส้าหยวน เป็นรองแค่ราชครูเฉาผู่เท่านั้น ภายหลังแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์เส้าหยวนมีเด็กหนุ่มชื่อโจวตงเจียงคนหนึ่งปรากฎตัว หากอิงตามอายุก็อ่อนกว่าเจี่ยงหลงเซียงถึงสองรุ่น โจวตงเจียงเป็นคนทะเยอทะยาน อายุไม่ถึงยี่สิบก็คิดว่าตัวเองอยู่ในอันดับสูงเป็น ‘มือวางอันดับสอง’ ได้แล้ว และอย่างมากสุดเจี่ยงหลงเซียงยอมให้เขาแค่สองเม็ด ทั้งสองฝ่ายก็ยากที่จะแบ่งแพ้ชนะกันได้แล้ว ทว่าเจี่ยงหลงเซียงกลับยืนกรานว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเด็กรุ่นหลังคนนี้ยังคงเป็นแค่ ‘มือวางอันดับสาม’ เท่านั้น สุดท้ายทั้งสองฝ่ายนัดรบกันที่ศาลาแห่งความชื่นมื่น ถึงได้มี ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เล่มนั้นปรากฏขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นหมากล้อมที่มีการยอมให้กัน การประลองของทั้งสองฝ่ายต้องทุ่มเทความคิดสติปัญญา ใช้ฝีมือใช้เคล็ดลับที่สูงส่ง จนถูกผู้คนในเวลานั้นเรียกว่า ‘เจี่ยงมังกรโจวพยัคฆ์’
เจี่ยงฉีเซิ่ง (ฉีเซิ่งหมายถึงอริยะด้านหมากล้อม) ที่มีชื่อเสียงไปครึ่งทวีปผู้นี้ คาดว่าจนถึงทุกวันนี้ก็คงจะยังไม่รู้ว่า อิ่นกวานหนุ่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ‘ชื่นชมเลื่อมใสในชื่อเสียง’ ของเขามานานมากแล้ว
หลี่เป่าผิงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ลากเอาหลินจวินปี้ไปเป็นฝ่ายเฝ้าพิทักษ์ด้วยกัน ไม่ยอมประลองกับหลินจวินปี้ ภายหลังพอฟู่จิ้นขึ้นเขาไปจริงๆ ก็รีบยกตำแหน่งให้อวี้ชิงชิงนั่งลงทันที ตัวเขาหายไปไม่เห็นเงา ไม่ได้ชมศึกอยู่ด้านข้างด้วยซ้ำ พอฟู่จิ้นจากไป เขาถึงจะปรากฏตัว ช่วยอวี้ชิงชิงทบทวนกระดาน ตรงนี้ล้ำเลิศเอย ฝีมือเซียนเอย ตรงนั้นไร้เหตุผลไม่เหมาะสมเอย ดูจากท่าทาง ฟังจากน้ำเสียง อย่าว่าแต่จักรพรรดิขาวน้อยเลย ต่อให้เจ้านครเจิ้งขึ้นเขามาเยือนด้วยตัวเองก็สามารถเล่นเสมอกันได้”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไรล่ะ เจี่ยงฉีเซิ่งของพวกเราคนนี้ตอนอยู่เมืองหลวงเส้าหยวนบ้านเกิดของเขา หนึ่งปีชนะฉีไต้จ้าวหนึ่งคน เวลาเจ็ดปีเต็มกลับไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง อันที่จริงล้วนเป็นการแสดงออกของฝีมือการเล่นหมากล้อม นี่แสดงว่าต้องมีการทดสอบฝีมือการเล่นหมากล้อมอย่างแม่นยำ มีการคัดเลือกคู่ต่อสู้อย่างตั้งใจ แล้วยังต้องหนังหน้าหนามากพอ ตอนอยู่นอกกระดานหมากก็ยิ่งเป็นนักเล่นระดับแคว้นในบรรดานักเล่นระดับแคว้น จากนั้นก็รีบไปหาเหล้าดื่ม ทำตัวเองให้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง อาศัยฤทธิ์สุราปฏิเสธสถานะฉีไต้จ้าวที่ฮ่องเต้ประทานให้อย่างละมุนละม่อมภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ช่างเป็นคนอำมหิต ห้าวหาญองอาจ มีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งนัก หากข้าเป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องมอบป้ายอักษรทองเขียนคำว่าบ่าเหล็กแบกคุณธรรมให้เขาโดยตรง”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะมอบกลอนคู่ให้หนึ่งบท บนกระดานหมากมังกรเลื้อยพยัคฆ์ย่าง ในวงการขุนนางก้าวเดินดุจเมฆคล้อยน้ำไหล แล้วก็บวกประโยคแนวนอนไปว่า ใต้หล้าไร้ศัตรูทัดทาน”
บน กลาง ล่าง ล้วนครบถ้วนแล้ว
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เอ่ยว่า “หากอาจารย์อาน้อยเดาไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่เจี่ยงฉีเซิ่งทบทวนกระดานหมากกับอวี้ชิงชิง ข้างกายจะต้องมีคนสองสามคนรับหน้าที่ทำท่าตกอกตกใจอยู่ด้วยแน่นอน”
หลี่เป่าผิงหัวเราะฮ่าๆ “ก็นั่นน่ะสิ ไม่ทำให้คนแปลกใจเลยแม้แต่น้อย”
คุยเล่นพลางใช้เบ็ดเลี้ยงปลาไปด้วย ในที่สุดเฉินผิงอันก็กระตุกเบ็ดกลับมาได้สำเร็จ ลากปลาดำหนักยี่สิบกว่าจินตัวหนึ่งมาไว้บนฝั่ง ข้องปลาเล็กไปสักหน่อย ในเมื่อวันนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวมากพอ เฉินผิงอันก็ไม่คิดอะไรมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่เนื้อปลาดำธรรมดา ไม่ถือว่ารสชาติสดใหม่อะไร แต่กลับเนื้อหนาก้างน้อย เหมาะกับการนำมาทำเป็นปลารมควันหมักมากกว่า เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมฝั่ง ปลดปลาออกจากตะขออย่างคล่องแคล่ว จับประคองบนหลังปลาดำเบาๆ รออยู่พักหนึ่งถึงปล่อยมือ ปลาดำตัวใหญ่ที่เห็นแสงทั้งยังสำลักน้ำถึงได้สะบัดหางพรวด กระโจนพุ่งไปในน้ำลึกอย่างว่องไวจนสะเก็ดน้ำแตกกระจาย
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มกับหลี่เป่าผิง คล้ายกำลังบอกว่าเห็นหรือไม่ นี่ก็คือปลาตัวใหญ่ที่หลี่ไหวคิดถึงพะวงหา
หลี่เป่าผิงยกมือสองข้างขึ้นแล้วชูนิ้วโป้ง
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยิ้มถาม “ไม่สู้พวกเราไปที่ภูเขาอ๋าวโถวกันสักรอบดีไหม?”
หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย “เอาถุงป่านครอบหัวซ้อมคนแก้เบื่อ?”
เฉินผิงอันบ่น “บัณฑิตจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร เป็นเพราะเส้นทางภูเขาตอนกลางคืนเดินลำบาก มีคนเดินสะดุด พวกเราประคองไว้ไม่อยู่ถึงได้กลายเป็นว่าหวังดีทำเรื่องร้ายต่างหาก”
หลี่เป่าผิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่แล้วๆ”
จากนั้นนางก็ใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยว่า “ข้าต้องเปลี่ยนชุดสักหน่อย ทำเรื่องดีไม่ควรทิ้งนามไว้”
อันที่จริงปีนั้นได้เจอกับพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่งโดยบังเอิญ เขาก็เคยบอกแล้วว่านางไม่ต้องยึดกฎของตระกูลสวมชุดสีแดงอีกแล้ว
เพียงแต่ว่าภายหลังหลี่เป่าผิงเองไม่เคยคิดจะเปลี่ยน ความเคยชินบางอย่างหากเปลี่ยนไปจะกลายเป็นความไม่เคยชิน
พวกเด็กๆ ที่เกิดและเติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีไม่มีประสบการณ์กับเรื่องของการออกจากบ้านเกิดมากที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็ต้องวนเวียนอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต ไม่เรียกว่าเป็นการยอมรับชะตากรรมอะไรด้วยซ้ำ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นแต่ละสมัยล้วนเป็นเช่นนี้ เกิดที่นั่น และพอใช้ชีวิตหนึ่งเสร็จก็จากไป แล้วก็ไม่ได้จากไปไหนไกล พอถึงวันชิงหมิง (หรือเชงเม้ง) ทุกครอบครัวจะพากันไปที่สุสาน เนื้ออวบๆ หนึ่งก้อน ขนมเหนียนเกา เต้าหู้อย่างละชิ้น ล้วนใส่ไว้ในถาดกระเบื้องขาวใบหนึ่ง คนแก่ ชายฉกรรจ์ เด็กๆ พวกผู้อาวุโสแย้มยิ้มพูดคุยกันสองสามประโยค พวกเด็กๆ ยังเล่นกันอย่างสนุกสนาน พอไปถึงหลุมศพทุกแห่ง พวกผู้อาวุโสจะเอ่ยประโยคหนึ่งกับเด็กๆ ในบ้าน ในหลุมมีคนรุ่นไหนนอนอยู่บ้าง พวกผู้ใหญ่บางคนที่ไม่มีความอดทนก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น คร้านจะร้องขอให้พวกบรรพบุรุษคุ้มครองให้ร่ำรวยอะไร ถึงอย่างไรขอไปทุกปีก็จนอยู่ทุกปี ขอไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ หยิบถาดขึ้นมา เร่งให้เด็กๆ รีบโขกหัวคำนับ แล้วก็พาพวกเด็กๆ ไปยังจุดถัดไป หากเจอกับช่วงเวลาวันชิงหมิงที่ฝนตกลงมาพอดี ทางเดินบนภูเขาเป็นดินโคลนเฉอะแฉะ ไม่เพียงเดินลำบาก ไม่แน่ว่ายังต้องขวางไม่ให้พวกเด็กๆ คุกเข่าโขกหัวที่หลุมศพด้วย เสื้อผ้ารองเท้าสกปรกขึ้นมา เวลาที่สตรีในบ้านต้องซักก็เป็นปัญหายุ่งยากอีก
——