กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 792.2 เดินกร่าง
การจากลาที่ไกลที่สุดในใจของเด็กๆ ในอดีต ก็คือการที่ท่านปู่ท่านพ่อต้องไปเผาเครื่องกระเบื้องที่เตาเผามังกรนอกเมืองเล็ก หรือไม่ก็ต้องไปตัดไม้เผาฟืนในภูเขา ไม่ได้พบหน้ากันบ่อยๆ ใกล้หน่อยก็คือท่านแม่ไปเป็นแม่ครัว เป็นคนเย็บผ้าที่ตระกูลใหญ่บนถนนฝูลวี่ ในตรอกเถาเย่ ใกล้เข้ามาอีกนิดก็คือทุกวันหลังจากเลิกเรียน ตัวเองกับเพื่อนร่วมชั้นต่างแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เป็นควันไฟจากการหุงหาอาหารที่จากลากับตอนกลางวัน ตอนกลางคืนพอตะเกียงน้ำมันในบ้านมอดดับลงก็คือการบอกลากับวันนั้น
เกิดแก่เจ็บตายล้วนอยู่ที่บ้านเกิด เคยเข้าร่วมงานมงคลครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ รอกระทั่งเข้าร่วมงานเสร็จแล้ว ชีวิตของคนคนหนึ่งก็ถือว่าได้เวลาพักผ่อนแล้ว
กระทั่งถ้ำสวรรค์หล่นลงพื้น หยั่งรากลงสู่พื้นดิน กลายเป็นพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง ประตูใหญ่เปิดอ้า นับแต่นั้นมาการจากลาก็เริ่มมีมากขึ้น
คนเฒ่าคนแก่ในเมืองเล็กยังนับว่าดี อย่างมากสุดก็ทนการยุยงจากเด็กรุ่นเยาว์ในบ้านตัวเองไม่ไหว ขายบ้านบรรพบุรุษไป ได้เงินมาก้อนใหญ่ก็ย้ายไปลงหลักปักฐานอยู่ในเขตการปกครอง บุรุษหนุ่มที่มีเงินทุน เจอกับช่วงเวลาดีๆ ที่หลุมศพบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นมา หากไม่เริ่มทำการค้า ออกจากบ้านเดินทางไกลไปอยู่บนโต๊ะเหล้า ไม่อย่างนั้นก็เรียกสหายเรียกพรรคพวกมาดื่มสุราเคล้านารี จับกลุ่มกันอยู่บนโต๊ะพนัน เดิมก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าจะหาเงินมาได้อย่างไร ถึงอย่างไรภูเขาเงินภูเขาทองก็ล้วนหล่นลงมาจากฟ้า แต่เรื่องของการใช้เงิน ไหนเลยจะต้องรอให้คนอื่นสอน ทุกคนล้วนมีความสามารถกันอยู่แล้ว
ประมาณยี่สิบปี คนรุ่นหนึ่ง เงินที่เดิมทีคิดว่าคนหลายรุ่นใช้ก็ไม่มีวันหมด ดูเหมือนว่าจะถูกย่ำยีเสียจนไม่เหลือดีภายในค่ำคืนเดียว ความสามารถด้านการเผาเครื่องกระเบื้องที่เดิมทีสืบทอดต่อกันมารุ่นต่อรุ่นก็เว้นว่างมานาน ฝีมือตกต่ำ ดูเหมือนว่ามีเท่าไรก็คืนให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าของเตาเผามังกรในปีนั้นไปหมดแล้ว เมื่อก่อนทุกคนล้วนยากจน ใช้ชีวิตที่ยากลำบากกันมาจนชินแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าทุกข์ใจอะไร เพราะถึงอย่างไรในบรรดาเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็จะต้องมีคนที่จนกว่าอยู่เสมอ ทำไร่ทำนาเจอกับช่วงเวลาที่ผลเก็บเกี่ยวไม่ดี กระเบื้องที่เผาออกมาจากเตามังกรเกิดข้อผิดพลาด หรือไม่ผลงานที่เตาเผาที่ไม่ได้มาตรฐานมีมากหน่อย ก็ต้องมีคนที่ยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ต้องไปขอยืมข้าวมาจากญาติหรือเพื่อนบ้านเพื่อประทังชีวิต แต่รอกระทั่งได้เสวยสุขแล้ว ได้สัมผัสกับความดีงามของชีวิตที่หรูหราสุขสบายมาก่อนแล้ว กลับทำให้คนรู้สึกทุกข์ทนมากเป็นพิเศษ
หลายๆ ครั้ง เครื่องกระเบื้องที่เผาออกมาจากเตาหนึ่งเตาจะดีหรือร้าย ขอแค่เครื่องปั้นที่ขึ้นรูปเข้าไปอยู่ในเตาเผา ก็ต้องฟังบัญชาจากสวรรค์เท่านั้นจริงๆ ช่างที่ต่อให้มีประสบการณ์เก่าแก่แค่ไหน คอยจับจ้องไฟที่เตาเผาอย่างระมัดระวังมากเท่าไร ก็ยังไม่กล้ารับรองถึงความสวยงามหรือความย่ำแย่ของเครื่องกระเบื้องที่เผาสำเร็จและปริมาณที่จะออกมาเป็นภาชนะในท้ายที่สุดเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มีคำพูดโบราณประโยคที่ว่า ‘ฟ้าสนดินสนคนไม่สน’
ดูเหมือนว่าภูเขาเครื่องกระเบื้องของบ้านเกิดก็คือชีวิตของคนหลายๆ คน
เฉินผิงอันหมายจะหยิบกาเหล้าออกมาตามจิตใต้สำนึก ถึงได้ค้นพบว่าตรงเอวไม่ได้ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้
หลี่เป่าผิงถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมตอนนี้อาจารย์อาน้อยถึงไม่ได้สะพายกระบี่แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เงยหน้าเห็นอาจารย์อาน้อยไปที่สวนกงเต๋อ ดูเหมือนว่าจะสะพายกระบี่เล่มหนึ่ง แม้ว่าจะมีเวทอำพรางตาทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ข้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นอาจารย์อาน้อย ไปเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มา อาจารย์เหมาเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า ไท่ป๋ายกระบี่เซียนของผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในอดีตคนนั้น ตอนอยู่ฝูเหยาทวีปกระบี่ได้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ท่อนหนึ่งได้ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เหมาไม่กล้ายืนยัน หลี่ไหวบอกว่าเขาใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่ามันต้องไปหาอาจารย์อาน้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์อาน้อยได้ปลายกระบี่ไท่ป๋ายท่อนนั้นไปจริง จากนั้นก็เอามาหลอมเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ก็คือเล่มที่สะพายไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ เพียงแต่ว่าตอนนี้อันที่จริงร่างจริงของอาจารย์อาน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังคงเข้าร่วมการประชุมที่ค่อนข้างสำคัญครั้งหนึ่ง จึงไม่ได้สะพายกระบี่ไว้บนร่าง ส่วนอาจารย์อาน้อยในเวลานี้เป็นอย่างไรกันแน่ ข้าก็ยังสับสนอยู่เลย”
ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานก็อย่าได้หวังว่าจะมาแอบฟังเสียงในใจของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นศิษย์พี่เหมาของข้า จะต้องเอาปัญหาข้อยากๆ บนตำราหลายข้อมาทดสอบหลี่ไหว รอให้เจ้าหมอนี่ตอบไม่ได้ค่อยเอ่ยประโยคว่า ใช้สมองคิดก็ยังสู้ใช้ก้นคิดไม่ได้หรือนี่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง “อาจารย์เหมาทำแบบนี้จริงๆ แต่หลี่ไหวหน้าหนามาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก”
จากนั้นหลี่เป่าผิงก็เอ่ยว่า “อาจารย์อาน้อยไม่ได้สะพายกระบี่ก็ดี ไม่อย่างนั้นนั่งแล้วคงเกะกะ ต้องปลดลงมาวางพาดไว้บนหัวเข่า แต่หากทำอย่างนี้ ตอนตกปลาก็จะยุ่งยากแล้ว จะให้ถือไว้ในมือตลอดเวลาก็คงไม่ได้กระมัง แต่หากวางกระบี่ไว้ข้างเท้าก็ยิ่งไม่สมควร”
เฉินผิงอันหัวเราะ ยังคงเป็นเป่าผิงน้อยที่คุ้นเคยคนนั้น
นางมักจะมีความคิดประหลาดมากมาย มีคำถามแปลกๆ มาคอยถามอยู่เสมอ
หลายๆ เรื่องที่คนอื่นให้ความสำคัญอย่างมาก นางมักจะแค่ร้อง ‘อ้อ’ คำเดียว แต่เรื่องที่หลายๆ คนไม่สนใจแม้แต่น้อย นางกลับพูดว่า ‘หา?’ อยู่บ่อยๆ
ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไกล เป่าผิงน้อยเคยถามเขาว่า บนฟ้ามีดวงจันทร์ที่แท้จริงเพียงดวงเดียว ถ้าอย่างนั้นบนโลกมนุษย์มีดวงจันทร์ปลอมกี่มากน้อย ในลำคลอง ในบ่อ ในอ่างน้ำล้วนต้องนับทั้งหมด
เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยว่าไม่รู้สิ เป่าผิงน้อยจึงซักถามต่ออีกว่าแล้วอาจารย์อาน้อยจะรู้คำตอบเมื่อไหร่ล่ะ คำตอบของเขาแน่นอนว่ายังคงเป็นไม่รู้สิ
มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันนั่งเฝ้ายามอยู่ข้างกองไฟ เป่าผิงน้อยชี้ไปยังน้ำในลำคลองที่ห่างไปไม่ไกล บอกว่าในน้ำของลำคลองที่ยาวมากๆ สายหนึ่ง ช่วงตอนบน ตอนกลางและตอนล่างของลำคลองล้วนมีคนยืนอยู่ พวกเขาสามารถจะมองเห็นดวงจันทร์ในน้ำกี่ดวง อาจารย์อาน้อยน่าจะรู้กระมัง
ตอนนั้นเฉินผิงอันอึ้งคิดอยู่นานก็ยังให้คำตอบนางไม่ได้ แม่นางน้อยชุดแดงนั่งอยู่ด้านข้าง เอนหลังพิงหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สองแขนกอดอก ส่ายหน้าทอดถอนใจ อาจารย์อาน้อยแม้จะโง่ไปสักหน่อย แต่เขาก็คืออาจารย์อาน้อยที่นางเลือกสรรแล้วเลือกสรรอีก จะทำอย่างไรได้เล่า
อันที่จริงเฉินผิงอันคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางสองฝั่งตลอดเวลา
วัตถุรวมกันเป็นประเภท คนแบ่งแยกกันเป็นกลุ่ม
คนตกปลากลุ่มหนึ่งคือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ล่างภูเขา อีกกลุ่มหนึ่งคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา
คนสองกลุ่ม ระหว่างสหายที่พูดคุยกัน ไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง เรื่องที่พูดคุยก็ไม่ใช่ความลับ ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกันอย่างเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิง
สามารถถูกผู้อาวุโสในตระกูลหรือบรรพจารย์บนภูเขาพามายังที่แห่งนี้ได้ สถานะต้องไม่ธรรมดา ล้วนเป็นลูกหลานที่ความสามารถโดดเด่นของตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักใหญ่
ทุกวันนี้อยู่ที่นี่ หากเจอกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างระหว่างทาง เมื่อเทียบกับเจอเทพเซียนห้าขอบเขตบนแล้วนับว่าหาได้ยากกว่ามาก
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เป่าผิงยังไม่ได้ปรากฎตัว เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของเฉินผิงอัน เกินครึ่งก็คงเข้าใจผิดคิดว่าคนตกปลาที่ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการประชุมผู้นี้คือลูกหลานจากตระกูลที่ไม่ถือว่าอยู่ลำดับต้นๆ มากนัก หรือไม่ก็คือลูกศิษย์ของสำนักหนึ่งที่ไม่มีอาจารย์อยู่ข้างกาย
อาศัยการพูดคุยที่ไม่ต้องกลัวว่าคนนอกจะแอบฟังของพวกเขา เฉินผิงอันจึงพอจะมั่นใจสถานะของทั้งสองฝ่ายได้คร่าวๆ
ทางฝั่งซ้ายมือคือสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีป สกุลชิวอวี๋โจวแห่งหลิวเสียทวีป สกุลจูเซียนเสียแห่งราชวงศ์เส้าหยวน สามตระกูลหลักๆ ที่มาที่นี่ล้วนเป็นตระกูลชนชั้นสูงร่ำรวยที่สืบทอดบรรดาศักดิ์กันมานานพันปี
ยกตัวอย่างเช่นสกุลเซี่ย นอกจากจะสืบทอดบรรดาศักดิ์มาทุกยุคทุกสมัยแล้ว อันที่จริงก็มีเงินอย่างมาก แต่เพียงแค่เพราะมีสกุลหลิวที่ความร่ำรวยเป็นหนึ่งในใต้หล้าถึงได้ทำให้ไม่โดดเด่นสะดุดตาถึงเพียงนั้น
จำได้ว่าผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาเคยบอกว่า หนึ่งในความเสียดายของชีวิตนี้ของเขาก็คือไม่เคยไปเยือนอวี๋โจวของหลิวเสียทวีป เพราะได้ยินมาว่าหม้อไฟของที่นั่นรสชาติเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า
แต่ผู้อาวุโสซ่งก็บอกอีกว่า ไม่ได้ไปก็ดีเหมือนกัน หากเคยไปอวี๋โจวมาก่อนจริงๆ แล้วกลับมาถึงบ้านเกิด ไม่ว่ากินหม้อไฟอะไรก็ล้วนไร้รสชาติ แบบนั้นจะไม่ยิ่งแย่กว่าหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปอวี๋โจวมันเสียเลย เก็บเอาไว้ให้เป็นที่ระลึกถึงก็พอ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความทรงจำต่อสถานที่อย่างอวี๋โจวนี้ลึกล้ำมากเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มหญิงสาวที่มาจากตระกูลมีชื่อเสียงนี้เอาโต๊ะตัวเตี้ยแต่ยาวมาวางไว้ วางผลไม้ตระกูลเซียนที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณไว้จนเต็ม บนพื้นปูเสื่อเย็น มีสาวใช้คอยช่วยเติมไฟต้มชา และยังมีคุณชายตระกูลสูงศักดิ์นอนเอนตัวถือจอก ดื่มเหล้าพลางร่ายบทกลอน เอาเป็นว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำทั้งหมด มีเพียงตกปลาที่ไม่คิดจะทำให้ดีเท่านั้น
ทางฝั่งขวามือมีผู้ฝึกกระบี่หญิงของสำนักกระบี่เหมยซาน ดูจากท่าทางแล้วนางไม่มีทางอายุเกินร้อยปี คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งที่บุคลิกไม่ธรรมดา
ว่ากันว่าบนภูเขามีภาพเมฆหนวดมังกร ห้อยย้อยลงมาเหมือนน้ำตกเหมือนหนวดมังกร และยังมียอดเขาต่าวปี้แห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบ ภูเขาสะท้อนอยู่ในน้ำ ถึงกับเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมเทพเซียนที่ของจริงอยู่ในน้ำ ภาพลวงตาอยู่บนฝั่ง มหัศจรรย์พันลึกอย่างยิ่ง ขึ้นเขาเหมือนเดินลงน้ำ สิ่งที่ปรากฏในสายตาของผู้ฝึกตนคือทัศนียภาพของทะเลสาบ
เฉินผิงอันเหลือบมองนางอยู่หลายที
หลักๆ แล้วเป็นเพราะตรงเอวของผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนี้ห้อยแท่นฝนหมึกจิ๋วขนาดกะทัดรัดอันหนึ่ง แกะสลักอักษรสิงซูเป็นกลอนพรรณนากระบี่ที่ติดปากคนบทหนึ่ง
เพราะว่าเป็นแท่นฝนหมึก เฉินผิงอันจึงคิดไปถึงกวอจู๋จิ่วลูกศิษย์ของตน ดูเหมือนว่ากวอจู๋จิ่วจะเป็นคนวัยเดียวกันเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้เผยเฉียนสะอึกอึ้งได้ นี่ช่างหาได้ยากยิ่งนัก ลองไปถามป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานก็จะรู้แล้ว
และยังมีเทพธิดาที่มาจากอารามดอกเหมย บนไหล่ของนางมีเตียวคายสมบัติตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ เจ้าตัวน้อยประเภทนี้ไม่เพียงแต่เป็นกระปุกเก็บเงินตามธรรมชาติ ยังกินเงินไปแล้วแล้วให้กำเนิดเงินได้จริงๆ ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง
อารามดอกเหมยมีทัศนียภาพอันงดงามที่ ‘ดอกเหมยหมื่นไร่ประหนึ่งหิมะโปรยปราย’ ผงประทินโฉมของอารามดอกเหมยก็ส่งขายทั่วทุกทวีปในไพศาล ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
คุณชายคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากนครดอกบัวซึ่งเป็นสำนักใหญ่ทางทิศเหนือของเกราะทองทวีป นครที่สำนักของเขาตั้งอยู่สร้างขึ้นบนใบบัวขนาดมหึมาใบหนึ่ง ดอกบัวจะผลิบานทุกๆ สามร้อยปี ทุกครั้งจะบานนานหนึ่งร้อยปี และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ดอกบัวบานสะพรั่งก็จะกลายเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครตามธรรมชาติที่ไม่กลัวกระบี่บินของเซียนกระบี่ เล่าลือกันว่าดอกบัวดอกนี้คือวัตถุในถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวาของมรรคาจารย์เต๋า ส่วนเรื่องที่ว่ามันพลัดมาอยู่ที่นครดอกบัวได้อย่างไร ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย คำกล่าวที่ลี้ลับที่สุดหนึ่งในนั้นก็คือเป็นดอกบัวที่มรรคาจารย์เต๋าเด็ดลงมา ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้โยนไปไว้ในใต้หล้าไพศาล
คำกล่าวอีกอย่างหนึ่งค่อนข้างน่าเชื่อถือ นั่นคือหลังจากที่เจ้าอารามผู้เฒ่าซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่มอบกระบี่ให้ผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ยืม ทั้งสองฝ่ายได้ดื่มเหล้าด้วยกันจนเมามาย เซียนเฒ่าที่เดินทางไกลไปเยือนไพศาลมีมรรคกถาค้ำฟ้า จึงหยิบเอาเมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองเมล็ดหนึ่งออกมา ใช้เหล้าในจอกราดรด เพียงชั่วพริบตาก็มีดอกบัวโผล่ชูช่อตระหง่าน จากนั้นก็พลันผลิดอกใหญ่โตเท่าขุนเขา
มีคนหนุ่มทัดดอกไม้คนหนึ่งชอบปรายตามองคน การเปลี่ยนแปลงทางความคิดมากมายล้วนปรากฏอยู่บนมุมโค้งของริมฝีปาก
ได้ยินมาว่าราชวงศ์ที่สกุลซ่งจัวลู่อยู่ นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงอ๋องขุนนาง แล้วก็ไปจนถึงพ่อค้าหาบเร่ คนตัดฟืน ทั่วทั้งราชสำนักล้วนนิยมการปักบุปผาเป็นอย่างยิ่ง
ขึ้นเขาฝึกตน หลังจากเดินขึ้นสู่ที่สูงแล้ว ขอแค่มีใจ ก็จะยิ่งค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าคนที่อยู่ข้างกาย หากไม่เคยพบเจอมาก่อนก็มักจะเคยได้ยินมาก่อน
มีประโยชน์หรือ? ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไร เพราะว่าคนส่วนใหญ่ล้วนมักจะเดินสวนไหล่ผ่านกันไปเช่นนี้ อาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกเลย เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านทางมาบนเส้นทางของชีวิตเท่านั้น ก็เหมือนอย่างผู้ฝึกยุทธหวงซือที่จากลากันที่ซากปรักจวนเซียน จิ้งจอกน้อยในภูเขาใหญ่นอกเมืองจิงโจวแคว้นเหมยโย่ว เด็กหนุ่มร้านขายเนื้อหมาของแคว้นสือหาว ซุนเติงเซียนที่เฉินผิงอันเรียกด้วยความเคารพจากใจจริงว่า ‘จอมยุทธใหญ่’
ไม่มีประโยชน์หรือ? กลับไม่แน่เสมอไป เพราะท่ามกลางคนมากมายกลับซุกซ่อนคนอย่างซ่งหลันเฉียวที่เจอบนทางกว้าง หลิวจื้อเม่าที่เจอบนทางแคบไส้แกะ แต่ยินดีที่จะหลีกทางแล้วแยกกันเดินทางใครทางมัน หรือไม่ก็หม่าขู่เสวียนที่เจอบนสะพานไม้คับแคบซึ่งมีพื้นที่ให้แค่คนคนเดียวผ่านไปได้เท่านั้น
หรือไม่ก็เพียงแค่เพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน หวังหยวนจางอาจารย์ผู้เฒ่าบนเรือราตรีกับฟู่หลิงชิงเซียนกระบี่เจ้าสำนักใบถง สองฝ่ายที่จากลากันด้วยความตายไปแล้ว กลับคล้ายว่าจะสามารถมองเห็นกันอยู่ไกลๆ ได้
ส่วนถัวเหยียนฮูหยินที่ก่อนหน้านี้มองเห็นตนไกลๆ ไม่ทันทักทายก็หันหัวเดินหนีไปอีกทาง เฉินผิงอันก็ทำเพียงว่าไม่รับรู้เท่านั้น
ดีมากแล้ว เพราะข้างกายของถัวเหยียนฮูหยินเหมือนจะมีเทพีบุปผาสาวน้อยคนหนึ่งที่มาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผาติดตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นหากพบหน้ากันยังจะทำอย่างไรได้อีก คุยกันว่าวันนี้อากาศไม่เลว กินข้าวแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ?
รอกระทั่งหลี่เป่าผิงปรากฏตัว
ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์กัน
เค่อชิงสกุลเซี่ยผู้หนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งกำลังเพ่งสมาธิเข้าฌาน คือเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อผู้เฒ่าเห็นสตรีชุดแดงคนนั้นก็อดไม่ไหวทอดถอนใจเอ่ยว่า “ช่างเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่ดียิ่งนัก แสงตะวันงดงามกลางนภา เมฆเรืองรองคุ้มกันอยู่รอบกาย เนื้อหยกร่างทอง จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง ขยับใกล้มรรคายิ่งนัก”
คำพูดประโยคนี้ของผู้เฒ่าไม่ได้ใช้เสียงในใจ
คนหนุ่มมากความสามารถผู้หนึ่งของสกุลชิวเอ่ยอย่างลังเลว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นหลี่เป่าผิงแห่งสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้น”
เพราะหลี่เป่าผิงเคยโต้วาทีกับหยวนพาง บวกกับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษาซานหยาของแจกันสมบัติทวีปค่อนข้างจะโดดเด่นสะดุดตาสำหรับคนของสถานศึกษาหลี่จี้
หญิงสาวเรือนกายอวบอิ่มผู้หนึ่งเหลือบตามองบุรุษชุดเขียวที่กำลังกระชากคันเบ็ดด้วยท่าทางน่าตลกแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อถูกนางเรียกว่าอาจารย์อาน้อย หรือจะเป็นนักปราชญ์วิญญูชนบางคนของสำนักศึกษาซานหยาแจกันสมบัติทวีป? ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็ไม่มีคนผู้นี้อยู่”
ซ่งจ่างจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าหลี สกุลเจียงอวิ๋นหลิน สำนักโองการเทพ
แจกันสมบัติทวีปก็มีแค่คนสามกลุ่มนี้ที่มาศาลบุ๋น ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีมาเพียงลำพัง ผู้ฝึกยุทธที่เล่าลือกันว่าได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบเอ็ดแล้วผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วหล้าแล้ว
สำนักโองการเทพคือลัทธิเต๋า ทุกคนล้วนสวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานหางปลา
ส่วนเรื่องที่บุรุษชุดเขียวมีวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มีค่าพอให้น่าตกอกตกใจใดๆ
ที่น่าแปลกก็คือในวัตถุฟางชุ่นของเขาถึงกับบรรจุเก้าอี้เล็กสองตัวที่ทำมาจากไผ่เขียวธรรมดาได้
——