กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 794.3 ซิ่วหู่อย่างมาก
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเรียกนกในกรงออกมา
เขาหันหน้ามองไป ผู้เฒ่าคนหนึ่งทะยานลมมาหยุดลอยอยู่กลางอากาศเหนือเกาะยวนยาง หลังจากหยุดร่างนิ่งแล้วก็หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่หยกดิบเล็กๆ ก็กล้ามาก่อเรื่องในพื้นที่สำคัญของศาลบุ๋นอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยกับอวิ๋นเหมี่ยว “อวิ๋นเหมี่ยว! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร? ยังไม่รีบเก็บวิชานี้ลงไปอีก!”
ก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน หนันกวงจ้าว
เวทลับนี้ของหอเซียนจิ่วเจิน หากอยู่ในสภาวะพรั่งพร้อมสูงสุดจะมีเทพถือกระบี่ปรากฏตัวห้าคน หากผู้ฝึกตนเรียกใช้ก็เท่ากับว่ามีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานห้าท่านให้ความช่วยเหลือ ช่วยออกกระบี่เต็มแรงพร้อมกันหนึ่งครั้ง
น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่บนมือของสหายเฒ่าจากหอเซียนจิ่วเจิน ต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินไปนับไม่ถ้วน แต่กระนั้นก็ได้แค่หลอมออกมาเป็นสามคำสั่งอย่างน้ำ ไฟ ไม้เท่านั้น พลานุภาพในการโจมตีถูกลดทอนไปมาก หลังจากที่อวิ๋นเหมี่ยวสืบทอดวิชานี้มาก็ยังทำได้เพียงเพิ่มคำสั่งดินมาอีกคำสั่งเดียวเท่านั้น
ประเด็นสำคัญคือค่ายกลใหญ่นี้มีโอกาสลงมือแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ไม่แน่ว่าหนันกวงจ้าวอาจจะด่าอวิ๋นเหมี่ยวหนักกว่านี้เสียอีก ใช้ไปแล้วก็หมดค่า เจ้าเอามาสิ้นเปลืองกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนเดียวนี่น่ะหรือ?
ส่วนอวิ๋นเหมี่ยวจะแสร้งวางท่าข่มขู่ให้กลัวหรือตัดสินใจเด็ดขาดจะสังหารคนผู้นั้นจริงๆ หรือไม่ก็ใช้สิ่งนี้มาแสดงความตั้งใจที่มีต่อหนันกวงจ้าว หมายให้เขามาช่วยเหลือ ตอนนี้หนันกวงจ้าวคร้านจะคิดให้มากความ ถึงอย่างไรเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของสหายรัก เขาจะไม่สนใจไม่ได้
อวิ๋นเหมี่ยวลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังเชื่อฟังหนันกวงจ้าว เก็บเวทคาถาที่ร่ายไปได้ครึ่งหนึ่งกลับคืนมา
เหมือนยกภูเขาออกจากอก
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วิธีการเรียกกำลังเสริมมาช่วยของบรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวนี้ ช่างทำให้คนได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่จริงๆ”
อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร ยังคงโคจรกระจกวิเศษบานนั้นมาอย่างระมัดระวัง ป้องกันเจ้าหมาจนตรอกตัวนี้
ในเมื่อยินดีที่จะโต้คารม เจ้าก็ไปโต้ฝีปากกับหนันกวงจ้าวเอาเองแล้วกัน
มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานมาแล้ว!
นักพรตเนิ่นถูมือไม่หยุด ร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว สายตากระเหี้ยนกระหือรือ แต่กระนั้นก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณชาย?”
หลี่ไหวจึงเอ่ยถาม “เป่าผิง?”
คาดว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าของสิ่งหนึ่งมักจะข่มของสิ่งหนึ่งได้เสมอ
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ภายใต้เงื่อนไขที่สามารถรักษาตัวรอดได้ก็ลองขัดขวางดู”
หลี่ไหวพยักหน้า หันหน้าไปเอ่ยกับผู้เฒ่าชุดเหลืองที่คันไม้คันมือ “ระวังหน่อย หากสู้ไม่ได้ก็รีบยอมแพ้ซะ ไม่มีอะไรน่าอายหรอก”
นักพรตเนิ่นเช็ดปาก “ได้เลยๆ”
ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้พูดจาไร้สาระ นักพรตเนิ่นท่านนี้หัวเราะเสียงดังก้อง ตะเบ็งเสียงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “นักพรตเนิ่นมาแล้ว” จากนั้นเรือนกายก็กลายเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงเข้าหาขอบเขตบินทะยานของเกาะยวนยางคนนั้น
ตลอดทั้งเกาะยวนยางตกอยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ ฟ้าร้องฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่บนนภากาศ ภาพเหตุการณ์ผิดปกติบังเกิดไม่ขาดสาย ประหนึ่งดวงตาสวรรค์เปิดออก น้ำวนใหญ่ยักษ์เอียงเอนบ้างตั้งบ้างนอนระเกะระกะพลันผุดขึ้นมา
ความรู้สึกบีบคั้นกดดันมหาศาลที่อัดแน่นเต็มฟ้าดินทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนทุกคนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก แม้แต่เซียนเหรินอย่างฉินจ่าวก็ยังหายใจได้ไม่คล่อง
หลี่ไหวลูบคลำปลายคาง ตาเฒ่าผู้นี้ ที่แท้ก็คือคนจริงที่ไม่แสดงฝีมือนี่เอง
เหตุใดยามอยู่ข้างกายเฒ่าตาบอดกับอาเหลียงถึงไม่มีมาดของยอดฝีมือขอบเขตบินทะยานสักนิดเลยนะ?
หลี่เป่าผิงถาม “เจ้ารู้ตบะของเถาถิงหรือไม่?”
หลี่ไหวเอ่ย “รู้สิ แต่ก็แค่รู้เท่านั้น ไม่เคยคิดมากมาก่อน”
หากคิดมาแล้วจะยังเก่งอยู่ในโปงผ้าห่มได้อย่างไร?
เฉินผิงอันเก็บตราประทับห้าอสนีชิ้นนั้นมา
อวิ๋นเหมี่ยวถึงได้ถือโอกาสเก็บสมบัติวิเศษและวิชาอภินิหารมากมายมาด้วย แต่กระนั้นก็ยังคงรักษาขอบเขตร่างเมฆาวารีเอาไว้
ส่วนกระบี่บินเล่มที่ถูกเชือกห้าสีพันธนาการ อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกร้อนลวกมืออยู่บ้าง คืนไป? เก็บไว้?
เมื่อครู่ที่หนันกวงจ้าวปรากฏตัวก็ไม่ได้ถามคำถามข้อนี้ เวลานี้ในใจอวิ๋นเหมี่ยวกระวนกระวาย รู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ถึงอย่างไรหนันกวงจ้าวก็เป็นสหายรักของอาจารย์ ไม่ใช่บรรพจารย์ของหอเซียนจิ่วเจิน
แต่ขอบเขตบินทะยานอำนาจน่าครั่นคร้ามที่เรียกตัวเองว่า ‘นักพรตเนิ่น’ ผู้นั้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าใช่ผู้อาวุโสในสำนักของเซียนกระบี่คนนี้หรือไม่
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “รอให้การต่อสู้ที่เกาะยวนยางสิ้นสุดลง พวกเราค่อยมาต่อกัน ดังนั้นกระบี่บินเจ้าเก็บไว้ก่อนก็ได้ ไม่อย่างนั้นคืนกระบี่บินมาให้ข้าแล้ว ถึงเวลานั้นเพื่อความยุติธรรม ข้ายังต้องมอบให้เจ้าอีกรอบ แล้วเจ้าก็ต้องเรียกเชือกเส้นนี้ออกมาอีก ยุ่งยากตายเลย อีกอย่างอยู่ในสายตาของคนนอกก็ง่ายที่จะกลายเป็นเรื่องตลกเหมือนพวกเด็กๆ เล่นสนุกกัน”
อวิ๋นเหมี่ยวเคียดแค้นอยู่ในใจ
ครึ่งหนึ่งแค้นคำพูดเหน็บแนมของเซียนกระบี่ผู้นี้ อีกครึ่งหนึ่งแค้นที่หลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหาเรื่องใส่ตัว เจ้าคนไม่เอาไหน ความสามารถในการทำสำเร็จไม่มากพอ แต่ความสามารถในการทำให้เรื่องแย่มีเหลือล้น!
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของเซียนเหรินผู้นี้ออก จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่าไปโทษพี่ชิงจู๋เลย คานบนไม่ตรงคานล่างยอมเอียง ในบ้านไม่รู้จักสั่งสอนกันให้ดีก็อย่าโทษที่ผู้เยาว์ออกมาหาเรื่องนอกบ้าน รอให้ต้องคอยช่วยเช็ดก้นก็อย่าโทษว่าอาจมกินยาก”
อวิ๋นเหมี่ยวแค่นเสียงในลำคอ
คนผู้นั้นเอ่ยต่ออีกว่า “วางใจเถอะ ขอแค่สุดท้ายแล้วจุดจบของเจ้าอนาถมากพอ คนหลายคนที่มาชมเรื่องสนุกมีแต่จะบอกว่าข้าเป็นคนผิด ไม่มีทางพูดถึงลำดับก่อนหลัง ไม่พูดถึงต้นสายปลายเหตุ ความถูกความผิดอะไรแล้ว”
และการ ‘ดำเนินต่อ’ หลังจากนี้ อันที่จริงก็คือผลลัพธ์ที่เฉินผิงอันต้องการที่สุดพอดี
เฉินผิงอันคุยเล่นกับเซียนเหรินชุดขาวพลางคอยจับตามองการต่อสู้ของเทพเซียนบนเกาะยวนยางไปด้วย
น่าประหลาดใจอย่างมาก
ประหลาดใจที่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งไม่สมชื่อ ยิ่งประหลาดใจในความสามารถในการสู้รบของ ‘นักพรตเนิ่น’ บางทีหากเทียบกับเฒ่าหูหนวกของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไร
เพียงไม่นานก็ปรากฏผลแพ้ชนะแล้ว
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ตรง ‘ประตูใหญ่’ น้ำวนแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าชุดเหลืองแสยะปากยิ้ม เรือนกายงองุ้มลงน้อยๆ กำลังค่อยๆ สอดดาบยาวที่มีสายฟ้าตัดสลับกันเล่มหนึ่งกลับเข้าฝักช้าๆ
ฟันไปพร้อมกันทั้งกายธรรมและร่างจริงของหนันกวงจ้าว เวลานี้ขอบเขตบินทะยานผายลมสุนัขที่แม้แต่ชื่อเขาก็ยังไม่รู้ ชุดคลุมอาคมบนร่างถูกกรีดจนเป็นรอยขาดเฉียงๆ รอยหนึ่ง บนร่างจริงเลือดไหลไม่หยุด
ใบหน้าของหนันกวงจ้าวยากจะปกปิดสีหน้าตะลึงพรึงเพริดได้
แม้จะบอกว่าแรกเริ่มเนื่องจากอยู่ใกล้กับศาลบุ๋นจึงถูกมัดมือมัดเท้า ไม่กล้าลงแรงเต็มกำลัง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าแค่ไม่ทันระวังตัวเองจะตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
นักพรตเนิ่นสอดดาบยาวกลับเข้าฝักได้ครึ่งหนึ่งก็ยิ้มถามว่า “เอาอย่างไร? ข้ามอบบันไดลงให้เจ้าแล้วนะ หากไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้แต่โดยดี ไม่อย่างนั้นพวกเราสองคนก็มาทำสัญญาเป็นตายปากเปล่ากัน?”
สีหน้าของหนันกวงจ้าวเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ควรจะปิดฉากอย่างไร? หรือว่าจะต้องลงมือต่อสู้อย่างจริงจังครั้งหนึ่งจริงๆ? สู้ก็สู้ไม่ชนะอยู่แล้ว แต่จะให้หน้าม้านกลับภูเขาอ๋าวโถวแบบนี้ก็ไม่สมควรกระมัง?
นักพรตเนิ่นหลุดหัวเราะพรืด “ไม่ต้องลำบากใจแล้ว ไม่ฟันเนื้อเจ้าลงมาสักสองสามจิน ข้าผู้อาวุโสก็ไม่มีหน้าไปพบคุณชายแล้ว”
สำหรับผู้ฝึกตนบนเกาะยวนยางแล้ว ดวงอาทิตย์ใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากแรกเริ่มสุดที่เกิดสุริยคราสไปจนถึงสุริยคราสเต็มดวง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ฟ้าดินมืดสลัว
ผู้ฝึกลมปราณหลายร้อยคนล้วนอยู่ในฟ้าดินเล็กของผู้เฒ่าชุดเหลืองทั้งหมด
ฝีมือร้ายกาจที่ขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่ควรจะช่วย ช่วยให้อาจารย์อาน้อยเสียเรื่องแล้ว!”
หัวใจหลี่ไหวบีบรัดตัว
หลี่เป่าผิงเอ่ย “ต้องโทษข้า ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า”
หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับคนทั้งสอง “ไม่เป็นไร”
……
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ศาลบุ๋น จิงเซิงซีผิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเอ่ยประโยคหนึ่งกับอาเหลียง
อาเหลียงจึงหันไปอธิบายให้หลายคนที่อยู่ข้างกายฟัง
จั่วโย่วนั่งตัวตรงอย่างสำรวม สีหน้าเป็นปกติ มองไม่ออกถึงความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “อวิ๋นเหมี่ยว? เจ้าประมุขของหอเซียนจิ่วเจิน หากจำไม่ผิดล่ะก็ เป็นขอบเขตเซียนเหริน ใต้เท้าอิ่นกวานสามารถต่อสู้กับเซียนเหรินได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
จำได้ว่าตอนที่คัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า ดูเหมือนว่าตอนนั้นเฉินผิงอันจะยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเท่านั้น
ลู่จือกล่าว “หล่นหน้าผาเก็บตำราลับวิชายุทธมาได้งั้นหรือ?”
อาเหลียงเอ่ยอย่างสงสัย “พี่หญิงลู่ ท่านพูดจริงจังหรือว่าล้อเล่นกันแน่?”
อาเหลียงหันหน้าไปมองจั่วโย่วที่หลับตาทำสมาธิ “ไม่สนใจจริงๆ หรือ? หากเจ้ารู้สึกว่าเล่นงานเซียนเหรินคนหนึ่งไม่มีความหมาย ข้าจัดการให้เอง”
จั่วโย่วลืมตาขึ้น มองไปยังซ่งจื่อจัวลู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น “หอเซียนจิ่วเจินกับราชวงศ์ต้ายงไม่ได้มีขาหนีไปได้สักหน่อย”
ทุกวันนี้หอเซียนจิ่วเจินคือภูเขาใต้อาณัติของสกุลซ่ง
เพิ่มอักษร ‘จื่อ’ ไว้หลังแซ่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากเฉินผิงอันที่อยู่ริมลำคลองแล้ว อันที่จริงในพันธนาการฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับศาลบุ๋น ยังมีเฉินผิงอันอีกคน
บวกกับการประชุมริมลำคลองก็คือร่างหนึ่งแบ่งออกเป็นสาม ร่างจริงของเฉินผิงอันสะพายกระบี่เดินขึ้นภูเขาทัวเยว่ จิตหยินออกจากร่างเดินทางไกล จิตหยางกายนอกกายไปตกปลาริมลำคลองของเกาะยวนยาง
ส่วนเหตุใดหลี่เซิ่งถึงได้ทำเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีเรื่องที่เป็นปกติของเซียนดินประเภทนี้ล้วนได้กลายเป็นความเพ้อฝันไปแล้ว
เฉินผิงอันค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้คล้ายคลึงกับ ‘หอแห่งการผลิต’ สามแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่บ้าง
ตอนนี้เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตูของตรอกแห่งหนึ่งที่มีห้องเรียงเป็นแถวยาว ด้านในมีผู้ฝึกลมปราณที่มาจากร้อยสำนักอยู่หลายสิบคน กำลังสร้างหุ่นเชิดกลไกชิ้นหนึ่งอยู่
บนโต๊ะในห้องมีกระดาษวาดภาพเรียงกันเป็นปึกๆ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินจำนวนมากวางกองกันไว้
คือการแบ่งงาน การร่วมมือ การสร้าง การหล่อหลอม การทับซ้อน ยันต์ ค่ายกลครั้งหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณจากเมธีร้อยสำนัก นกกระจอกแม้ตัวจะเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน
สงครามครั้งหนึ่งก็หนีไม่พ้นเป็นเรื่องของทรัพยากร เงิน คน ทักษะในการสู้รบ กลยุทธในการรบ ใจคน
หลี่เซิ่งบอกว่าจะทำสงคราม นั่นก็คือกลยุทธ์การศึกที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนี้อันที่จริงยังต้องการการทับซ้อนกันของรายละเอียดอีกนับไม่ถ้วนเพื่อช่วยให้ใต้หล้าไพศาลเปลี่ยนจากโอกาสได้เปรียบมาเป็นโอกาสชนะ
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองไปยังเฉินผิงอันที่อยู่หน้าประตู สีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
จำได้ว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคืออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าสถานะสูงส่งแล้วอย่างไร ไปประชุมที่ศาลบุ๋น จะยืนจะนั่งจะนอนก็ล้วนไม่มีปัญหา แต่อย่ามาร่วมวงส่งเดชที่นี่
เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยว่า “มาดูที่นี่สักหน่อย”
จะให้บอกไปตามตรงว่าถูกหลี่เซิ่งโยนมาไว้ที่นี่ก็คงไม่ได้กระมัง
ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะหยัน “เชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณงั้นรึ? เชี่ยวชาญศาสตร์กลไก? หรือว่าเป็นช่างที่มีชื่อเสียงล่ะ?”
คำถามยาวเป็นพรวน
เฉินผิงอันทำเพียงส่ายหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าแค่จะมาดู”
สงสัยใคร่รู้อยู่บ้างจริงๆ
ผู้เฒ่าคล้ายได้ฟังเรื่องตลก “ไม่อย่างนั้นเจ้ายังจะทำอะไรได้อีกเล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รับรองว่าจะไม่ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของช่างทั้งหลายเด็ดขาด”
ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก มีคำเรียกขานสองอย่างที่ต่อให้ไม่เป็นที่ชื่นชอบก็ไม่มีทางทำให้คนรังเกียจแน่นอน
หนึ่งคืออาจารย์ หนึ่งคือช่าง (คำนี้อ่านว่าซือฟู่ ในที่นี้แปลว่าช่าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำเรียกนี้สามารถใช้เรียกคนที่ทำอาชีพต่างๆ แทนชื่อได้ ถือเป็นการให้เกียรติ เช่นคนขับรถก็เรียกเป็นซือฟู่ได้)
เจอกับคนที่เหมือนบัณฑิต เรียกอาจารย์ เจอกับคนที่มีฝีมือก็เรียกช่าง
ผู้เฒ่าคงจะรู้สึกว่าไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ ในเมื่อเจ้าเด็กนี่รู้กาลเทศะ ก็ไม่ควรจะผลักไสอีกฝ่ายต่อ
เฉินผิงอันเคยชินกับเรื่องนี้อย่างมาก จึงไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
หลังจากเดินข้ามธรณีประตูไปเบาๆ แล้ว เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงไม่นานก็หยุดเดิน มองประเมินทุกอย่างในห้องอย่างละเอียด
เฉินผิงอันชอบบรรยากาศในนี้ เพราะว่ามีความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปนาน ราวกับได้กลับคืนไปยังเตาเผามังกรตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ทุกคนทำงานในหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆ คำพูดทุกอย่างที่สมควรพูดล้วนอยู่บนมือหมดแล้ว
เหมือนคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีต้อนรับเซียนกระบี่ใหญ่บางท่านที่มาเยี่ยมเยือน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขอบเขตและเวทกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ว่าสูงหรือต่ำ ก็แค่ว่าแต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน
ในเรือนชุนฟาน เยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน เหวยเหวินหลง ทุกวันยุ่งวุ่นวายอยู่กับการคิดบัญชี ส่วนพี่ใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนอย่างเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เหตุใดตอนอยู่ที่นั่นโต๊ะของเขาถึงติดกับประตูใหญ่? แน่นอนว่าเพราะต้องเป็นเทพทวารบาลทุกวันให้พอเป็นพิธีเท่านั้น หมี่อวี้ใจกว้าง แต่ละวันยังจิบเหล้าอึกเล็กๆ พลิกเปิดตำราเบ็ดเตล็ดทั้งหลาย ผ่อนคลายสบายอารมณ์ ฆ่าเวลาไปอย่างนั้น
ความถนัดทุกอย่าง อันที่จริงล้วนเป็นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง
อาจารย์ผู้เฒ่าที่เผาเครื่องปั้นในเตาเผามังกรต้องไม่มีเงินเหมือนอย่างพวกคนแซ่ใหญ่ที่อยู่บนถนนฝูลู่ หรือตรอกเถาเย่แน่นอน แต่ตระกูลคนมีเงินในเมืองเล็ก หากต้องการซื้อเครื่องกระเบื้อง จะต้องไปเลือก ‘สินค้าไม่ได้มาตรฐาน’ ที่เตาเผาเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้มีมาดของคนมีเงินเด็ดขาด จงเอาสุราดีหลายๆ กาไปด้วยเสียดีๆ เมื่อพบหน้ากัน วางเหล้าลง เปิดปากพูด แล้วยังต้องคอยเติมคำว่าช่างหน้าแซ่ทุกครั้งที่พูดคุยด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ทำตัวเป็นคนไม้ไปเงียบๆ ประมาณหนึ่งก้านธูปที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ จากนั้นก็จากไปอย่างเงียบเชียบ
ผู้ฝึกตนเฒ่าเหลือบตามองไปทางประตู รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้นับว่ายังเคารพกฎระเบียบอยู่บ้าง
ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนในห้องคล้ายจะเชี่ยวชาญวิชาการโต้แย้ง
สถานที่อีกแห่งหนึ่ง บนกำแพงมีภาพแผนที่ภูมิศาสตร์หลายภาพแขวนไว้ ผู้ฝึกลมปราณกำลังเทียบกับบันทึกในเอกสารลับของศาลบุ๋นแล้ววาดภาพออกมาอย่างตั้งใจ เป็นการวิเคราะห์พื้นที่ชัยภูมิขุนเขาสายน้ำของเปลี่ยวร้างลงบนกระดาษ
สถานที่อีกแห่งหนึ่งเฉินผิงอันหยุดอยู่ค่อนข้างนาน ผู้ฝึกตนในห้องนิสัยดีกันมาก แม้ว่าจะไม่เหมือนบรรพจารย์ที่เป็นช่างก่อนหน้านี้ที่จำได้ว่าเฉินผิงอันคืออิ่นกวาน แต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งมาให้
ที่แท้ก็เป็นสำนักจี้หราน เป็นสำนักที่แยกออกมาจากสำนักการค้า มาตั้งเป็นสายของตัวเอง กำลังคิดคำนวณเรื่องการชำระบัญชีของเรือข้ามทวีปทั้งหลาย
——