กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 795.3 เข้าใจ
จั่วโย่วกล่าว ‘ก่อนจะออกทะเล ได้เรียนเวทกระบี่เส้นตรงสำเร็จ พอออกทะเลไปได้สองสามปีก็ฝึกเส้นโค้งได้สำเร็จ ในเมื่อเส้นสายของเวทกระบี่สองเส้นนี้ฝึกสำเร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ข้าจะมากำแพงเมืองปราณกระบี่จึงไม่ถือว่าฝึกกระบี่แล้ว เป็นเพียงแค่การขัดเกลากระบี่เท่านั้น’
หยุดชะงักไปครู่ จั่วโย่วก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ไม่ได้มีความหมายอะไร ดังนั้นจึงจะมาดูที่นี่สักหน่อย’
ตอนนั้นเฉินผิงอันรีบลุกขึ้นนั่ง ถามว่า ‘จากนั้นล่ะ? ศิษย์พี่ได้เรียนเส้นสายของเวทกระบี่อย่างใหม่สำเร็จอีกใช่หรือไม่?’
จั่วโย่วไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง เพียงแค่เอ่ยว่า ‘เดิมทีการฝ่าทะลุขอบเขตก็ไม่ยากอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามาที่นี่ถึงได้ค้นพบว่าต่อให้ตั้งนอนจะมีมากแค่ไหนก็ยังไม่อาจกลายเป็นฟ้าดินได้ บวกกับเส้นโค้งยังคงไม่กลมมนมากพอ ดังนั้นการผสานมรรคาจึงไม่ง่าย’
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจความนัยนอกเหนือจากคำพูดของศิษย์พี่เท่าใดนัก
เพียงแค่ฟังออกเรื่องหนึ่งว่า เดิมทีศิษย์พี่ที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีหวังจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่จู่ๆ โลกทัศน์ก็เปิดกว้าง กลับกลายเป็นว่าคอขวดของการฝ่าทะลุขอบเขตเปลี่ยนมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
กระทั่งเฉินผิงอันได้เจอกับเผยหมิ่น แล้วจึงมาเจอกับอู๋ซวงเจี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ตอนที่เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวเรียก ‘ศาลาฝน’ ‘เตาไฟ’ กระบี่สองเล่มที่ตั้งท่าพร้อมโจมตี ถูกปลายกระบี่ชี้ตรงมา เฉินผิงอันพลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ราวกับว่าคมกระบี่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ซึ่งสามารถกรีดผ่าชุดคลุมอาคม เนื้อหนังมังสา จิตวิญญาณของเขาได้ทุกเมื่อ หนึ่งกระบี่ฟันได้ทุกสิ่งอย่าง
ต่อมาเฉินผิงอันถึงได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดประโยคนั้นของศิษย์พี่จั่วโย่วในปีนั้น
พูดง่ายๆ ก็คือหากจั่วโย่วผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ ถ้าอย่างนั้นสถานที่ที่เขาหยัดยืน ในฟ้าดินแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในรัศมีหลายลี้หรือว่าในรัศมีร้อยลี้ ก็จะมีจั่วโย่วหลายคน หลายสิบคน หรืออาจถึงร้อยกว่าคนที่ส่งกระบี่ไปยังจุดหนึ่งในเวลาเดียวกัน เพื่อเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่ง
คาดว่านี่ก็คงเป็นขอบเขตสูงสุดที่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนแสวงหา
ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องของหนึ่งกระบี่
ขอบเขตเช่นนี้ของศิษย์พี่ คิดจะเรียนรู้ก็เรียนรู้มาไม่ได้
เพราะจำเป็นต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่เสียก่อน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยเตือนเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว “ข้ากับนักพรตเนิ่นล้วนเป็นพี่ใหญ่ของคนต่างถิ่นอย่างที่พี่ชิงจู๋พูด บรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวสามารถอาศัยโอกาสนี้เรียกรวมพรรคพวก ให้ผู้ฝึกตนของแผ่นดินกลางได้มีศัตรูคนเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจฝ่าสถานการณ์นี้ไปได้”
อวิ๋นเหมี่ยวฝึกอบรมตัวเองมาได้อย่างดีเยี่ยม จึงฟังคำพูดของอีกฝ่ายเป็นดั่งลมที่พัดผ่านข้างหู
แต่หากเซียนกระบี่ชุดเขียวไม่ได้พูดแฉเรื่องนี้ออกมา อวิ๋นเหมี่ยวก็คงหาโอกาสทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจริงๆ
ในใจของอวิ๋นเหมี่ยวยิ่งกริ่งเกรงคนผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปมีเรื่องกับเซียนกระบี่คนหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมากแล้ว หากเซียนกระบี่คนนั้นยังเป็นพวกกลอุบายลึกล้ำ เชี่ยวชาญการวางแผน ลงมืออำมหิตไร้ปราณีด้วยล่ะ?
เหมยซือ หลันเซียนของหอเซียนจิ่วเจิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์เหล่านั้น วันหน้าจะยังลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์อีกหรือไม่? หากผู้ฝึกตนของสำนักออกจากบ้านมา นั่งเรือข้ามฟากหรือไม่แค่ทะยานลมก็โดนกระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งเข้าแทง ต่อให้เซียนกระบี่ท่านนั้นไม่ฆ่าคน แค่หวังทำให้คนบาดเจ็บ ถึงท้ายที่สุดก็ไม่เท่ากับว่าหอเซียนจิ่วเจินต้องปิดภูเขาหรอกหรือ?
ทะเลสาบในใจของอวิ๋นเหมี่ยวมีเสียงของคนผู้นั้นดังขึ้นมาอีก ทำเอาเซียนเหรินอย่างเขาฟังแล้วปวดหัวแปลบ
“ก่อนหน้านี้ที่อยู่ริมฝั่งของเกาะยวนยาง ข้าโชคดีได้พูดคุยกับผู้ฝึกตนใหญ่สองท่านอย่างฉินจ่าว เหยียนเก๋อไปสองสามประโยค เพียงแต่ว่าผู้อาวุโสสองท่านนี้แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม จึงตวาดสั่งสอนข้าอย่างดุดันไปรอบหนึ่งแล้ว บุพเพด้านความสัมพันธ์กับผู้คนบนภูเขาของหอเซียนจิ่วเจินช่างดียิ่งนัก ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่เข้าใจผิดทะเลาะกับบรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวใหญ่โตถึงเพียงนี้”
อวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะหยันในใจ เจ้าสุนัขรับใช้ใหญ่เหยียนน่ะหรือ? ยังตวาดดุดันด้วย? พูดประจบสอพลอเซียนกระบี่อย่างเจ้ายังแทบไม่ทันมากกว่ากระมัง? กลับเป็นฉินจ่าวที่ไม่ค่อยน่าสงสัยว่าแค่อยู่ชมเรื่องสนุก ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเหลือด้วย แต่ไม่ได้คิดจะช่วยให้หอเซียนจิ่วเจินหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากด้วยความจริงใจ ก็แค่เป็นการพัดลมกระพือไฟให้แรงกว่าเดิม กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่มากพอเสียมากกว่า ถึงอย่างไรเรื่องเละเทะครั้งนี้จะใหญ่แค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาฉินจ่าวมาเก็บกวาดอยู่แล้ว
อวิ๋นเหมี่ยวถามเสียงหนัก “เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับหอเซียนจิ่วเจินขนาดนี้?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา? ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ส่วนข้าน่ะหรือ เป็นผู้ฝึกตนอิสระ มาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะทำอะไรได้ มาที่เกาะยวนยางแห่งนี้ล่ะสามารถทำอะไรได้ อย่างมากสุดก็แค่ตกปลาเท่านั้น พี่ชิงจู๋ไม่หาเรื่องข้า ข้าหรือจะสามารถป่ายปีนไปตีสนิทกับสำนักใหญ่ของแผ่นดินกลางอย่างหอเซียนจิ่วเจินได้”
เส้นเอ็นหัวใจของอวิ๋นเหมี่ยวบีบรัดตัวแน่น
ผู้ฝึกตนอิสระ
ผู้ฝึกตนอิสระในใต้หล้านี้เลื่อมใสสถานที่แห่งใดมากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นนครจักรพรรดิขาวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีแห่งนั้น
ดังนั้นพอได้ยินคนผู้นี้พูดว่าผู้ฝึกตนอิสระ อวิ๋นเหมี่ยวจึงคิดไปทางนี้อย่างเป็นธรรมชาติทันที
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “บรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยว เจ้าว่าพวกเราถือเป็นน้ำใหญ่ซัดใส่ศาลราชามังกรหรือไม่?”
จิตใจของอวิ๋นเหมี่ยวสั่นสะเทือน
หรือว่าคนผู้นี้ลงมือวันนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งอย่างลับๆ จากคนผู้นั้น?! เป็นนครจักรพรรดิขาวที่คิดจะอาศัยโอกาสนี้มาตีกระทบหอเซียนจิ่วเจิน?
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็แบ่งสมาธิไปพูดคุยกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่อยู่ริมชายฝั่ง
เพราะเมื่อครู่นี้เค่อชิงอันดับหนึ่งของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นท่านนี้ได้ถามเรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ใต้เท้าอิ่นกวาน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของข้าล้วนไม่เป็นโล้เป็นพาย คนที่ขอบเขตสูงที่สุดก็ยังเป็นแค่ก่อกำเนิดที่จิตวิญญาณโรยราเสื่อมสภาพแล้ว ไม่อาจนำมาใช้ทำงานใหญ่ได้ คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนไม่อาจแบกรับภาระสำคัญ ดังนั้นจะสามารถ…?”
เห็นว่าอิ่นกวานไม่ต่อคำ อวี๋เยว่ก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน ไม่พูดจาคลุมเครืออีกต่อไป แต่พูดตรงเข้าประเด็นว่า “ข้าจะต้องถ่ายทอดเวทกระบี่ทั้งหมดที่มี ยอมหุบหม้อขายเหล็กช่วยลูกศิษย์บำรุงกระบี่บิน ในอนาคตหากไม่อาจอบรมปลูกฝังจนได้เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน เอ่อ…ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน วันหน้าใต้เท้าอิ่นกวานก็สามารถมาตำหนิข้าถึงบ้านได้เลย!”
อวี๋เยว่อิจฉามากจริงๆ
สหายรักผูเหอเหยียบโชคดีขี้หมาถึงรับตัวอ่อนเซียนกระบี่คู่หนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดได้ เด็กหนุ่มเหย่ตู้ เด็กสาวเซวี่ยโจว คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของแม่นางน้อยคู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมน่าตะลึง ส่วนคุณสมบัติของเด็กหนุ่มก็ถึงกับดียิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดจาที่…แข็งกระด้างอย่างยิ่ง
ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เดินเข้าประตูบานเดียวกัน ผูเหอถูกใจเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างสุดจิตสุดใจ ดีใจยิ่งกว่าได้ลูกชายตอนแก่เสียอีก
ไม่เพียงแต่ผูเหอ ได้ยินมาว่าซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีป เซี่ยจื้อแห่งฝูเหยาทวีป เซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป เซียนกระบี่ไพศาลทุกคนที่เคยเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็รับเอาตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของผูเหอแล้วดูเหมือนว่าจะมาจากการจัดการอย่างตั้งใจของใต้เท้าอิ่นกวาน ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ได้แล้วไง ตาเฒ่าผูไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ตอนเป็นขอบเขตหยกดิบ ได้ลูกศิษย์กลับมาสองคน ตนก็เคยไปเหมือนกัน ตอนนั้นเป็นขอบเขตโอสถทอง ถ้าอย่างนั้นก็เอามาหักลดกันได้ ใต้เท้าอิ่นกวานก็มอบลูกศิษย์ให้สักคนสิ?
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “หากผู้อาวุโสเปิดปากเร็วกว่านี้ ข้าสามารถช่วยได้จริง ตอนนี้มาพูดเรื่องนี้ออกจะสายไปหน่อย แต่หากผู้อาวุโสยินดีรอ ก็สามารถรอให้ใต้หล้าแห่งที่ห้าเปิดประตูอีกครั้ง ถึงเวลานั้นเดินทางไปเยือนนครบินทะยาน ข้าสามารถให้คนเริ่มช่วยผู้อาวุโสคัดเลือกลูกศิษย์ไว้แต่เนิ่นๆ ขอแค่มีวาสนาต่อกัน ผู้อาวุโสก็สามารถพาออกมาจากนครบินทะยานได้เลย”
อวี๋เยว่ฟังแล้วก็ให้กลัดกลุ้มยิ่งนัก “ต้องรอหลายปีเลยนะ”
เฉินผิงอันนึกถึงภูเขาบ้านเกิดตนที่มีตัวอ่อนเซียนกระบี่อยู่เก้าคน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนมีการเตรียมการไว้หมดแล้ว
แต่พอคิดถึงเด็กสองคนในนั้น เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “หากผู้อาวุโสมีเวลาว่างก็สามารถไปที่ภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปสักรอบหนึ่งได้ บนภูเขาของข้ามีเด็กอยู่สองคนที่อาจจะยินดีติดตามผู้อาวุโสฝึกกระบี่ กล้าพูดแค่ว่ามีความเป็นไปได้ ข้าที่อยู่ที่นี่ไม่กล้ารับรองอะไร ยังต้องดูว่าผู้อาวุโสจะถูกชะตากับพวกเขาหรือไม่ รวมไปถึงความคิดของเด็กสองคนเองด้วย จะสำเร็จหรือไม่ ผู้อาวุโสก็สามารถลองไปดูที่ภูเขาลั่วพั่วก่อนได้”
อวี๋เยว่ดีใจอย่างยิ่ง “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ไปเที่ยวที่บ้านเกิดอิ่นกวาน ต่อให้ไม่อาจรับลูกศิษย์ได้ก็ยังเป็นเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง”
จู่ๆ อวี๋เยว่ก็ถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอร้องอีกสักเรื่องได้หรือไม่?”
เพราะยากจะเปิดปากจริงๆ เพียงแต่โอกาสแบบนี้ก็หาได้ยากยิ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงพูดแค่ครึ่งเดียวแล้วเริ่มเอ่ยอย่างคลุมเครืออีกครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสยินดีเป็นผู้ถวายงาน เค่อชิง จะบันทึกชื่อหรือไม่บันทึกชื่อก็ไม่มีปัญหาใดๆ ผู้เยาว์อยากขอร้องยังแทบไม่ทัน เพียงแต่ว่าเรื่องเงินเทพเซียนที่เป็นเงินเดือนไม่มีอะไรให้พูดกันจริงๆ ภูเขาลั่วพั่วของข้าเพิ่งเลื่อนเป็นภูเขาอักษรจงได้แค่ไม่กี่วัน ในกระเป๋าเหลือเงินไม่กี่แดงแล้ว”
อวี๋เยว่หัวเราะดังลั่น “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะจ่ายเงินซื้อตำแหน่งเค่อชิงกับใต้เท้าอิ่นกวานแล้วกัน ส่วนผู้ถวายงานนั้นก็ช่างเถิด ไม่ใช่ว่าไม่อยากเป็น แต่ข้าไม่หน้าหนาขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจไปอยู่ประจำที่แจกันสมบัติทวีปได้ เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากมีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ก็แค่ส่งกระบี่บินมาแจ้งสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นก็พอ วันหน้าข้าน่าจะกินเปล่าอยู่เปล่าที่นั่นค่อนข้างมากหน่อย แต่รับรองว่าเรียกเมื่อไหร่จะไปเมื่อนั้น ใต้เท้าอิ่นกวานท่านวางใจได้เลย ให้ข้าเป็นเค่อชิงคือการค้าที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน คนของแจกันสมบัติทวีปที่รู้จักอวี๋เยว่ต้องมีแค่ไม่กี่คนแน่ๆ ออกกระบี่ฟันคน ฟันเสร็จก็เผ่นหนี ไม่ทิ้งเบาะแสไว้แม้แต่น้อย รับรองว่าเรื่องที่ใต้เท้าอิ่นกวานมอบหมายให้จะทำอย่างหมดจดว่องไว สวยงามแน่นอน!”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าตกลง
อวี๋เยว่รู้สึกเพียงว่าสดชื่นแจ่มใส เยี่ยมเลย เค่อชิงก็ได้เป็นแล้ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายก็มีหวังเหมือนกัน
เฉินผิงอันมองลูกหลานสกุลเซี่ยคนนั้นแล้วนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมา
เซียนกระบี่สองคนจากธวัลทวีปอย่างจางเซาและหลี่ติ้ง จับมือกันเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ สุดท้ายพอไปถึงต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่ได้กลับคืนมายังบ้านเกิดอีก
บวกกับเซี่ยซงฮวาที่ถือว่าเป็นดอกไม้บานในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพง เซียนกระบี่ทั้งสามท่านที่ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ดูเหมือนว่าต่างก็ไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อขนบธรรมเนียมของธวัลทวีปเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ยินดีจะฝึกตนอยู่บ้านเกิด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการก่อสำนักตั้งพรรคเลย
ราวกับว่าธวัลทวีปมักจะรั้งเซียนกระบี่ไว้ไม่ได้เสมอ
ดังนั้นเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ขอแค่ยินดีแขวนชื่อไว้ในธวัลทวีปก็คือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เยว่ที่แขวนชื่อเป็นผู้ถวายงานสองแห่ง เค่อชิงสามแห่ง แน่นอนว่าไม่ใช่ในธวัลทวีปทั้งหมด ทางฝั่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง บวกกับหลิวเสียทวีปที่เป็นบ้านเกิดต่างก็มีการแขวนชื่อเอาไว้ เงินพวกนี้ล้วนนอนรอรับได้เลย
ถูกสหายเฒ่าอย่างผูเหอดูแคลนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่าคำพูดของตาเฒ่าผูไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรจริงๆ อะไรที่บอกว่าไม่กินข้าวร้อนๆ ในบ้าน วิ่งออกไปกินขี้นอกบ้าน?
เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวเคยเป็นคนออกหน้าประสานงาน ช่วยให้ธวัลทวีปได้พูดคุยปรึกษากับฮว่อหลงเจินเหรินเป็นการส่วนตัว หวังว่าจะจ่ายเงินซื้อตัวอักษร ‘อุตร’ กลับคืนมาจากอุตรกุรุทวีป ไม่ใช่ว่าหลิวจวี้เป่ามีเงินเยอะจนไม่มีที่ให้ใช้ แต่เป็นเพราะในเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องของโชคชะตาบนวิถีกระบี่ด้วย
เฉินผิงอันเป็นคนแรกที่มองไปยังจุดหนึ่งซึ่งห่างไปไกล
ถึงขั้นที่ว่าขยับเส้นสายตามองไปก่อนพวกเซียนเหรินอย่างอวิ๋นเหมี่ยว ฉินจ่าวเสียอีก
บนม่านฟ้าเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ผู้เฒ่าชุดเหลืองเดินก้าวยาวๆ ออกมา ในมือกุมลำคอของขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเหมือนลากหมาตาย
ผู้เฒ่าชุดเหลืองโยนหนันกวงจ้าวที่ลมหายใจรวยรินลงไปในน้ำของลำคลองที่อยู่ใกล้กับเกาะยวนยางอย่างไม่ใส่ใจ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “มรรคกถากากๆ”
หนังตาอวิ๋นเหมี่ยวกระตุกริกๆ เป็นฝ่ายคลายกระบี่บินเล่มที่ถูกเชือกห้าสีพันธนาการไว้ด้วยตัวเอง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “จะให้ชดใช้อย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่ออาจจะเป็นคนกันเองครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยข้าเล่นละครต่ออีกสักฉาก?”
อวิ๋นเหมี่ยวเอ่ย “ยินดีจะฟังรายละเอียด”
อวิ๋นเหมี่ยวมั่นใจว่าคนผู้นี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นของนครจักรพรรดิขาวอย่างลึกซึ้งแน่นอน
เหมือนเกินไปแล้ว
คนผู้นั้นพลันเปลี่ยนคำพูด “อันที่จริงข้ากับเจ้านครเจิ้งไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เกินครึ่งบรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวน่าจะเข้าใจผิดแล้ว”
อวิ๋นเหมี่ยวยิ่งเหมือนได้กินยาสงบใจ
ไม่เพียงแต่พูดจาเหมือน การกระทำก็เหมือน
อีกทั้งยังเหมือนทางจิตวิญญาณด้วย!
นักพรตเนิ่นพลิ้วกายลงริมฝั่ง ระหว่างนี้ได้มองสบตากับคนพายเรือเฒ่าที่เขาจำอีกฝ่ายได้อยู่ไกลๆ ต่างก็มองเห็นสายตาชื่นชมในดวงตาของอีกฝ่าย
เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้าง กู้ชิงซงแห่งไพศาล
วีรบุรุษบนเส้นทางเดียวกัน บนถนนช่างเปลี่ยวเหงา อดเห็นใจกันและกันไม่ได้
ความเคลื่อนไหวบนเกาะยวนยางนี้รุนแรงเกินไป คนชุดชมพูที่เดิมทีอยู่ในเรือนพักบนเกาะพ่านสุ่ยไม่มีอะไรทำจึงรู้สึกว่าช่างเป็นโอกาสดีที่ฟ้าประทานมา ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงคร้านจะร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ มีศิษย์พี่อยู่ มีที่ใดที่ไปไม่ได้บ้างเล่า?
ดังนั้นเขาจึงกึ่งลากกึ่งจูงไฉ่ป๋อฝูให้ไปร่วมวงความครึกครื้นด้วยกัน ผลคือมองเห็นเฉินผิงอันผู้นั้นอยู่ไกลๆ เดิมทีหลิ่วชื่อเฉิงยังอารมณ์ดีอยู่มาก เพียงแต่มองไปอีกครั้ง ริมฝั่งยังมีสตรีสวมชุดแดง หลิ่วชื่อเฉิงจึงรีบหยุดการทะยานลม หันไปสบตากับน้องหลงป๋อ ต่างก็มองเห็นคำหนึ่งในสายตาของกันและกัน เผ่น!
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันดันหันมายิ้มกวักมือเรียก “พี่หลิ่ว บังเอิญขนาดนี้เชียว?”
หลิ่วชื่อเฉิงตบไหล่ไฉ่ป๋อฝู
ไฉ่ป๋อฝูพยักหน้า ศีรษะพลันเอียงกะเท่เร่ บาดเจ็บสาหัสหมดสติไปทันที
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง สหายตายได้ ผินเต้าตายไม่ได้? จะประคองก็ประคองไฉ่ป๋อฝูไม่ไหว หลิ่วชื่อเฉิงจึงปล่อยให้น้องหลงป๋อหล่นตุ้บลงบนพื้น ส่วนตัวเองคลี่ยิ้มเจิดจ้า โบกมือตะโกนพูดเสียงดัง “ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
อวิ๋นเหมี่ยวมองเห็นชุดคลุมเต๋าสีชมพูบาดตานั้นแล้วก็หันมามองคนชุดเขียวที่ปากพูดว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนครจักรพรรดิขาว
ความคิดบางอย่างพลันผุดวาบขึ้นมาในหัวของอวิ๋นเหมี่ยว จึงพูดกับเซียนกระบี่ท่านนี้อย่างนอบน้อมว่า “คารวะอาจารย์เจิ้ง”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่มันอะไรกับอะไรกัน”
ต่อให้จะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่มีทางกล้าสวมรอยเป็นเจ้านครจักรพรรดิขาวใต้เปลือกตาของเจิ้งจวีจงหรอกนะ
อวิ๋นเหมี่ยวพูดเสียงสั่น “ผู้เยาว์เข้าใจ”
——