กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 796.2 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง
หลังจากที่หนันกวงจ้าวถูกงม ‘ขึ้นฝั่ง’ มาแล้วก็ยังคงหมดสติไม่ฟื้นตื่น ร่างของเขากลิ้งตลบไปหลายรอบ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงการลงมืออย่างโหดเหี้ยมรุนแรงของนักพรตเนิ่น
ชั่วเวลานั้นยังคงไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้หนันกวงจ้าว จึงถูกเหยียนเก๋อชิงตัดหน้า เขาทะยานลมว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ ชายแขนเสื้อใหญ่ม้วนตลบหนึ่งทีก็เก็บหนันกวงจ้าวมาไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เหยียนเก๋อถึงกับเรียกยันต์สีทองสองแผ่นออกมาอย่างไม่เสียดาย หดย่อพื้นที่หนีห่างไปจากเกาะยวนยาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาอ๋าวโถวอย่างว่องไว
ฉินจ่าวกลอกตามองบน
เทียนหนีเอ่ยสัพยอก “เผาเตาเย็นไปเตาใหญ่เลยรึ” (ศัพท์ด้านการพนันหมายถึงลงเดิมพันม้ามืด หรือเหตุการณ์ที่พลิกผันไม่ทันคาดคิด)
นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง จึงยิ้มเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่มว่า “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว คุณชายบ้านข้าต้องเรียกใต้เท้าอิ่นกวานว่าอาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนนอกต่อกัน”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้เลย”
เฉินผิงอันได้รับเสียงในใจเป็นประโยคว่า “หลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ ยังไม่ต้องไปสนใจเขา ข้าจะจัดการเอง”
เป็นหลี่ซีเซิ่ง
เฉินผิงอันกลับมาบนฝั่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยกับหลี่เป่าผิง “ทางฝั่งของเจี่ยงหลงเซียงบนภูเขาอ๋าวโถว อาจารย์อาน้อยคงไม่พาเจ้าไปด้วยแล้ว เพราะจะต้องเกิดเรื่องใหญ่”
เฉินผิงอัน ‘สามคน’ เหมือนดอกไม้สามดอกที่ต่างก็ผลิบานบนกิ่งของตัวเอง ล้วนมีเรื่องให้ต้องทำ
หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ไม่เป็นไร อาจารย์อาน้อยแค่จำไว้ว่าให้รวมส่วนของข้าไปด้วยก็พอ”
หลิ่วชื่อเฉิงคลี่ยิ้มตามเฉินผิงอัน
กับอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ คือสหายเก่าแก่ที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมาอย่างแท้จริง
อวิ๋นเหมี่ยวเอื้อมมือคว้าจับง่ายๆ ก็งมเอาหลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจออกมาจากใต้น้ำ ยัดลูกเจี๊ยบตกน้ำตัวนี้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ อวิ๋นเหมี่ยวยังคงหวาดผวาไม่คลาย ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย ก่อนจะจากไปยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้ว่า “ภูเขาไม่เคลื่อนย้ายสายน้ำไม่แปรเปลี่ยน วันหน้าย่อมต้องได้พบกันใหม่ หอเซียนจิ่วเจินจะรอคอยการถามกระบี่”
หลิ่วชื่อเฉิงได้ยินก็ปิติยินดีเป็นยิ่งยวด “น้องเฉิน ไม่สู้ให้ข้าได้ถือโอกาสนี้ทำความดีชดใช้ความผิดดีไหม?!”
เอาชนะอวิ๋นเหมี่ยวไม่ได้แล้วอย่างไร อวิ๋นเหมี่ยวจะกล้าลงมือใส่ตนหรือ? ข้าผู้อาวุโสนอนอยู่บนพื้นขวางทางไปของอวิ๋นเหมี่ยว อวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่กล้าขยับเท้าเดินข้ามด้วยซ้ำ
ขอบเขตสูง? เซียนเหรินคนหนึ่ง ดูเจ้าทำวางมาดเข้าสิ แน่จริงก็ไปแข่งกับศิษย์พี่ของข้าเลยสิ
ไม่ยินยอมรึ? แน่จริงเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวก็ยกศิษย์พี่ออกมาสิ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่เลย บรรพบุรุษแต่ละยุคแต่ละสมัยของหอเซียนจิ่วเจินก็ให้กระโดดออกจากโลงกันมาให้หมด มาประลองกับข้าผู้แซ่หลิ่ว?
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นักพรตเนิ่นเองก็ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ สายตาฉายประกายแวววาว รีบร้อนใช้เสียงในใจสอบถาม “เฉินผิงอัน ทำเรื่องดีไม่รังเกียจว่าจะมากเกิน วันนี้ข้าจะจัดการกับเซียนเหรินชุดขาวนี่ไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า จะเกรงใจกันไปทำไม วันหน้าขอแค่เจ้าดีกับคุณชายของข้ามากหน่อย ข้าก็พอใจแล้ว”
เฉินผิงอันแยกตอบพวกเขาไปทีละคนว่า
“ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบศิษย์พี่ของเจ้า”
“ผู้อาวุโสเถาถิง ควรหยุดเมื่อพอสมควร แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
หลิ่วชื่อเฉิงจึงหุบปากทันที
นักพรตเนิ่นก็ยิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
ได้ยินมาว่าบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เคยพูดกับเจ้าเด็กนี่ประโยคหนึ่งว่า ‘หยุดเมื่อพอสมควร’ ?
นักพรตเนิ่นหันไปพูดคุยกับเจ้าคนที่สวมชุดเต๋าสีชมพู “สหายท่านนี้ แต่งกายได้ดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ทำให้คนอื่นที่ได้เห็นลืมความธรรมดาสามัญ เดินอยู่บนภูเขาก็ลดทอนปัญหายุ่งยากที่ต้องบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองไปได้เลย”
หลิวชื่อเฉิงกระตุกมุมปาก “ใช่ที่ไหนกัน ไม่คิดว่าพี่ใหญ่เนิ่นจะองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้ ขโมยฟ้าสลับตะวันเช่นนี้ วันหน้าเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์กับฮว่อหลงเจินเหรินมาพบเจอพี่ใหญ่เนิ่นเข้า คงต้องเดินอ้อมไปอีกทางเลยกระมัง”
นักพรตเนิ่นยิ้มบางๆ “สหาย ด้วยรากฐานนี้ของเจ้าก็สามารถเตร็ดเตร่ไปทั่วใต้หล้าไพศาลได้ตามสบายแล้ว ช่างร้ายกาจเสียจริง มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกวอโอ่วทิงของภูเขาต้นไม้เหล็กล่ะ? เป็นบิดาเจ้า หรือว่าเป็นบรรพจารย์บ้านเจ้ากัน”
หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “กวอโอ่วทิง? ภูเขาต้นไม้เหล็กเลี้ยงเหล้าข้า ข้ายังไม่อยากจะไปเลย”
หลิ่วชื่อเฉิงย้อนถาม “แล้วพี่ใหญ่เนิ่นล่ะ? ไม่ได้เหมือนข้าหรอกหรือ? ฝึกตนมานานหลายปี กว่าจะปีนมาถึงขอบเขตนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถูกคนดูแคลนเหยียดหยาม ต้องลำบากยากเข็ญมาไม่น้อยเหมือนกันกระมัง?”
นักพรตเนิ่นหัวเราะหยัน “ไม่บังเอิญเลย ข้าผู้อาวุโสมาจากภูเขาใหญ่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ในภูเขามีอิสระเสรีเต็มที่ ไม่ต้องส่ายหางขอความสงสารจากใคร”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า ใช้สองนิ้วกระตุกคอเสื้อชุดเต๋า “ที่แท้ก็เป็นคนต่างถิ่นนี่เอง มิน่าเล่าถึงไม่รู้จักข้าผู้แซ่หลิ่ว”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็อึ้งตะลึง พูดขึ้นมาพร้อมกันแต่ต่างประโยคว่า
“เถาถิงแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้?!”
“หลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาว?!”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น กอดคอพูดคุย เพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน
เฉินผิงอันไม่สนใจคนสองคนที่มีสมองมีปัญหานี้ หันไปถามหลี่ไหวว่า “บนเกาะนกแก้วมีร้านผ้าห่อบุญอยู่ร้านหนึ่ง ไปดูด้วยกันไหม?”
หลี่ไหวพูดอย่างอ่อนระโหยไร้ความสดชื่น “ช่างเถิด เฉินผิงอันเจ้าอย่าพาข้าไปด้วยเลย ปีนั้นเดินทางไกลไปอุตรกุรุทวีปกับเผยเฉียน ซื้อของส่งเดชบนเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจนเกือบจะทำให้เผยเฉียนต้องขาดทุน ได้แต่รักษาต้นทุนไว้ได้เท่านั้น”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทำไมเผยเฉียนถึงได้บอกข้าว่าพวกเจ้าได้กำไรเยอะเลยล่ะ? หลังจบเรื่องแบ่งกันคนละห้าส่วน พวกเจ้าสองคนต่างก็ได้กำไรมาไม่น้อย”
ในเรื่องของการหาเงินได้นี้ เผยเฉียนไม่มีทางพูดเหลวไหล ถ่านดำน้อยตอนเป็นเด็ก หลังจากเรียนรู้กฎเกณฑ์ของภูเขาสายน้ำไปจากเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่ขึ้นเขาลงห้วยก็จะต้องใช้วิธีการพิเศษเฉพาะของตนมาทำความเคารพพื้นดินของสถานที่ต่างๆ …ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะมีเทพภูเขาเซียนวารีหรือไม่ ก็ล้วนจะต้องใช้ต้นหญ้าหรือไม่ก็กิ่งไม้มาแทนควันธูป ก่อนจะ ‘จุดธูป’ อย่างจริงใจในแต่ละครั้งจะต้องท่องพึมพำก่อน บอกว่าตอนนี้นางเป็นเด็กตัวใหญ่เท่าก้น ไม่มีเงินเลยจริงๆ ธูปขุนเขาสายน้ำสามดอกที่แสดงความเคารพต่อท่านปู่เทพภูเขา ใต้เท้าเซียนวารีในวันนี้ เป็นของขวัญเบาแต่หนักที่น้ำใจ ต้องคุ้มครองให้นางหาเงินได้เยอะๆ นะ
หลี่ไหวเบิกตากว้าง “อะไรนะ?!”
ไม่ได้รู้สึกว่าเผยเฉียนหลอกเขา เพราะไม่จำเป็น หลี่ไหวไม่มีทางคิดถึงเผยเฉียนไปในทางนี้ ด้วยมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคน ฟ้าดินเป็นพยานได้ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งๆ ที่พวกเขาสองคนต่างก็ได้กำไรมาแล้ว ทำไมตลอดเส้นทางเดินทางไกลในช่วงหลัง ทุกครั้งที่มีการหยุดพัก นางถึงมักจะหยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วทอดถอนใจใส่อยู่เป็นประจำ ทำราวกับว่าขาดทุนอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็จะเหล่ตามองเขา ทำเอาหลี่ไหวกระวนกระวายไปตลอดทาง รู้สึกราวกับว่าติดเงินเผยเฉียนก้อนใหญ่อยู่ทุกวัน
หลี่ไหวสะท้อนใจยิ่งนัก มิน่าเล่าเผยเฉียนถึงได้รับสืบทอดหน้าที่ผู้นำแห่งยุทธภพได้ ส่วนตัวเองยังเป็นได้แค่หัวหน้าสาขาตัวน้อยที่ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลจริงๆ
หลี่ไหวสีหน้าสดชื่นขึ้นมาทันใด ปณิธานฮึกเหิมเต็มเปี่ยม โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ไปดูที่เกาะนกแก้วกัน!”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางอื่น พลันเอ่ยว่า “รอเดี๋ยว ดูเหมือนว่าจะมีคนมาหาข้า”
ถัวเหยียนฮูหยินผู้นั้นมองเรื่องสนุกแต่ละฉากไกลๆ จบแล้วก็ให้รู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้ เก็บวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมา หันหน้าไปเอ่ยกับเด็กสาวเทพีบุปผา “รุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์ เจ้ากังวลเรื่องการคัดเลือกของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาอยู่ไม่ใช่หรือ? บางทีพี่หญิงอาจจะช่วยเจ้าได้ เพียงแต่ว่า…”
ถัวเหยียนฮูหยินยกมือขึ้น ทำท่าขยี้สองนิ้ว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อาจต้องใช้เงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง เพราะคนที่ช่วยจริงๆ ไม่ใช่ข้า แต่เป็นคนผู้นั้น และเจ้าคนผู้นั้นก็เป็นคนที่ในดวงตามีแต่เงิน ในสายตาของเขาไม่เคยเห็นว่าสตรีสวยหรือไม่สวย มีเพียงเงินๆๆ เท่านั้น”
ถัวเหยียนฮูหยินมีอุบายน้อยๆ ของตน ทั้งสามารถช่วยให้รุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์รักษาชะตาของเทพีบุปผาเอาไว้ได้ สะสมความสัมพันธ์ควันธูปกับเหนียงเนียงเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ใต้เท้าอิ่นกวานได้เงินเทพเซียนมาก้อนหนึ่ง มีคุณธรรมหรือไม่เล่า? ไม่คาดหวังให้ภายหน้ายามที่เฉินผิงอันพบเจอตนแล้วใบหน้าจะมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น แค่ว่าสายตาเวลามองนางอย่าได้น่าขนลุกถึงเพียงนั้น แค่นี้นางก็ต้องจุดธูปขอบคุณคุณพระคุณเจ้าแล้ว
เด็กสาวปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ปลดถุงเงินปักลายบุปผาใบหนึ่งที่ห้อยเอวลงมา พูดด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส “ขอแค่เซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นสามารถช่วยได้ ให้ยกทรัพย์สมบัติให้เขาทั้งหมดก็ยังไม่เป็นปัญหา! ด้านในนี้นอกจากเงินฝนธัญพืชแล้วยังมีเมล็ดพันธ์ดอกเฟิ่งเซียน (หรือดอกเทียนบ้าน) อีกหนึ่งถุงเล็ก ดอกบานเจ็ดสีงดงามมากเลยล่ะ พวกเทียนซือหลายคนที่มาเป็นแขกในพื้นที่มงคลมาขอไปจากข้า ข้ายังต้องแสร้งพูดว่าไม่มีเลยนะ รอให้วันหน้ามีก่อนค่อยว่ากัน”
แต่จากนั้นเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนท่านนี้ก็เอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “พี่หญิงถัวเหยียน แต่ว่าในกระเป๋าข้ามีเงินแค่ไม่เท่าไรเองนะ ในพื้นที่มงคลร้อยบุปผาก็เป็นข้านี่แหละที่ยากจนที่สุดแล้ว”
หนึ่งเพราะช่วงเวลาที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพีร้อยบุปผายังไม่นาน จึงสะสมทรัพย์สมบัติได้ไม่มากพอ อีกทั้งนางเองก็ไม่เชี่ยวชาญศาสตร์การทำการค้า การค้าหลายอย่างพวกพี่สาวเทพีบุปผาคนอื่นต่างก็ได้เงินมาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย นางไม่แน่ว่าอาจได้มาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ แล้วยังแอบดีใจอยู่กับตัวเองว่าวันนี้ไม่ต้องขาดทุนแล้ว
นอกจากนี้ในทางส่วนตัวนางได้จ่ายเงินซื้อบทกวีเกี่ยวกับบุปผาจากนักประพันธ์มาหลายบท แต่กลับลอยกระดอนไปตามผิวน้ำเหมือนกับ…เซียนซือหนุ่มของหอเซียนจิ่วเจินคนนั้น
สุดท้ายอันที่จริงในใจของเด็กสาวเทพีบุปผาก็รู้สึกกลัวเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นอยู่บ้าง นางรู้ว่าตัวเองพูดไม่เก่ง ไม่รู้จักพูดจาตามมารยาทอย่างที่พวกเทพเซียนบนภูเขาทั้งหลายผลัดกันเอ่ยไปมา คงไม่ใช่ว่าพอพบหน้ากัน ยังคุยเรื่องการค้าไม่สำเร็จก็จะถูกอีกฝ่ายแย่งถุงเงินไปแล้วหรอกนะ? เซียนกระบี่ที่ดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดีผู้นั้น แม้แต่บรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวของหอเซียนจิ่วเจินที่มีคู่รักเป็นเซียนเหรินก็ยังกล้ามีเรื่องด้วย อยู่ในสถานที่สำคัญของศาลบุ๋น สองฝ่ายตีกันฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ แค่คิดจะแย่งถุงเงินของนางจะนับเป็นอะไรได้
ถัวเหยียนฮูหยินพาเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนไปหาใต้เท้าอิ่นกวานด้วยกัน
เฉินผิงอันมองไปยังริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม
มีเงาร่างของคนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่พร่าเลือนอยู่คนหนึ่ง
ค้นพบว่าเฉินผิงอันสังเกตเห็นตน คนผู้นั้นก็ไม่ประหลาดใจ ทั้งยังคลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้
เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทาย
คือจิงเซิงซีผิงแห่งศาลบุ๋น
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่รับหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่ของศาลบุ๋นและสวนกงเต๋อผู้นี้ อันที่จริงถือกำเนิดมาจากคัมภีร์จารึกซีผิง บนร่างมีโชคชะตาบุ๋นของไพศาล คล้ายบุคคลที่ไร้ขอบเขตคนหนึ่ง
ตามคำกล่าวของอาจารย์บ้านตน อย่าเห็นว่าภายนอกน้องซีผิงทำแต่งานกระจุกกระจิก อันที่จริงหากอยู่บริเวณโดยรอบศาลบุ๋น ก็สามารถมองเป็นขอบเขตสิบสี่ได้เลย ทั้งผสานมรรคากับฟ้าอำนวย ทั้งผสานมรรคากับดินอวยพร รับมือกับขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไม่แบ่งแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่แค่กวักมือเรียกก็ได้มา
บนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์
ถัวเหยียนฮูหยินพาเด็กสาวเทพีบุปผาที่ยิ่งเดินฝีเท้ายิ่งเชื่องช้ามาหยุดอยู่ข้างกายคนชุดเขียว
ตลอดทางมานี้ก็เดินกันมาดีๆ ทว่าพอเดินมาได้ครึ่งทางรุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์กลับเปลี่ยนใจกะทันหัน บอกกับถัวเหยียนฮูหยินว่าทรัพย์สินในถุงเงินของนางมีน้อยเกินไป นางต้องไปยืมเงินจากฮูหยินเจ้าแห่งบุปผาเสียก่อน ยังบอกอีกว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านหนึ่งจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการคัดเลือกของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาได้อย่างไร อย่าได้สิ้นเปลืองความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาของพี่หญิงถัวเหยียนให้เสียเปล่าเลย
แน่นอนว่าเป็นแค่ข้ออ้าง เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวเทพีบุปผาไม่กล้าไปพบหน้าเซียนกระบี่อารมณ์ร้ายผู้นั้น
ถัวเหยียนฮูหยินไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ยื่นมือไปกระชากแม่นางน้อย ไม่ให้นางหนีไป เจ้ากลัว แล้วข้าไม่กลัวงั้นรึ?
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนั่นรอตนอยู่ที่ริมลำคลอง หากพวกเราสองพี่น้องไม่อยู่เฉยๆ ก็ต้องแข็งใจบากหน้าไปพบเขา มาเปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้ได้อย่างไร
……
ทางศาลบุ๋นยังคงประชุมกันต่อ
ส่วนเฉินผิงอันที่ถูกหลี่เซิ่งโยนออกมาไว้นอกห้องที่เรียงต่อกันเป็นแถวยาวก็เดินเล่นต่ออีกครั้ง
ระหว่างทางเจอเข้ากับผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนขั้นบันได ตรงกระบอกยาสูบเก่าๆ ห้อยถุงยาสูบเอาไว้ พ่นควันขโมง
เฉินผิงอันหยุดเดิน ลังเลว่าควรจะเอ่ยอะไรสักสองสามคำดีหรือไม่ เขามองกระบอกยาสูบเก่าแก่นั้น สีหน้าก็พลันเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา เป็นฝ่ายยิ้มถามว่า “มองดูแล้วไม่คุ้นหน้าเลย อายุน้อยๆ เป็นขุนนางใหญ่หรือว่าเป็นทายาทจวนอริยะล่ะ? มาช่วยพวกอริยะศาลบุ๋นตรวจสอบความก้าวหน้าของแต่ละห้องหรือ?”
นักปราชญ์วิญญูชนบางคนของลัทธิขงจื๊อมักจะมีตำแหน่งขุนนางเฉพาะของศาลบุ๋นนอกเหนือจากเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งต่างๆ ด้วย
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ พอยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ผู้เยาว์ขอรบกวนอาจารย์ผู้เฒ่าสักครู่ได้หรือไม่? ตลอดทางที่เดินมานี้โดนคนตีหน้าเย็นชากลอกตาใส่ตลอดเลย”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน ผายมือไปทางด้านข้าง “เชิญนั่งได้ตามสบาย ศาลบุ๋นไม่ใช่บ้านของข้าสักหน่อย หากเป็นบ้านข้า เจ้าหนูอย่างเจ้าก็ยิ่งสามารถทำตัวตามสบายได้”
ในห้องแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนหนุ่มผู้หนึ่งโผล่หัวออกมาตะโกนเรียก “อาจารย์ลี่ ลำคลองเย่ลั่วมีความกว้างและแคบของแม่น้ำช่วงหนึ่งที่ในเอกสารเดิมของศาลบุ๋นกับบันทึกใหม่ที่ทางเจ้านครเจิ้งมอบให้คล้ายจะไม่ตรงกัน ต้องให้ท่านผู้อาวุโสมาช่วยดู ช่วยยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย”
“เว้นเอาไว้ก่อน ให้ข้าสูบยาสูบถุงนี้หมดก่อน จะให้ลาเอาแต่หมุนแท่นโม่อย่างเดียวโดยไม่ป้อนหญ้าให้กินคงไม่ได้กระมัง”
ผู้เฒ่าโบกมือ พูดบ่นว่า “ก็มีแต่เด็กอย่างพวกเจ้านี่แหละที่เรื่องมาก ยังจะกล้ารังเกียจว่ากลิ่นยาสูบแรงเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมีเรื่องแบบนี้หรอก”
เฉินผิงอันเพิ่งจะนั่งลง สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ พอได้ยินก็อดไม่ไหวหันหน้าไปมอง มือสองข้างดึงออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนหัวเข่าเบาๆ เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านคงไม่ใช่อาจารย์ลี่ ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันได้ออกจากบ้านเดินทางไกล พอเดินทางไปไกลขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ในใจย่อมเคารพเลื่อมใสคนบางคนไปโดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่ล้วนเป็น ‘คนในตำรา’ ยกตัวอย่างเช่นหลี่สือหลางของเรือราตรีลำนั้น และยังมีตราประทับของอาจารย์ผู้เฒ่าหวังหยวนจางที่ช่วยบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ให้กับเส้นทางการแกะสลักหินทองในใต้หล้า และท่านที่ถูกขนานนามว่า ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ ผู้นี้ก็ยิ่งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด คืออริยะปราชญ์ที่สมคำเล่าลือในใจของเฉินผิงอัน
เพราะอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ท่านนี้สามารถอ่านตำราได้หมื่นเล่ม เดินทางไปทั่วเส้นทางภูเขาสายน้ำในใต้หล้าได้จริงๆ สุดท้ายจึงเรียบเรียง ‘ตำราภาพขุนเขาทะเล’ ที่ถูกขนานนามว่า ‘ในใต้หล้ายอมให้ไร้หนึ่งแต่ไม่ยอมให้มีสอง’ ส่วน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ‘จารึกเสริม’ ที่เรียบเรียงขึ้นหลังจากนั้น อันที่จริงล้วนถือว่าเป็น ‘ศิษย์ลูกศิษย์หลาน’ ของหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเนื้อหาหรือลายมือก็ล้วนเป็นรองกว่าเยอะมาก และบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาสุ่ยจิงอุตรกุรุทวีปท่านนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณที่เลื่อมใสอาจารย์ผู้เฒ่าลี่อย่างถึงที่สุด
ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของเรือราตรีท่านนั้นก็เคยวิจารณ์เรื่องบันทึกขุนเขาสายน้ำของคนโบราณ มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไท่ซ่างลี่ รองลงมาหลิ่ว ยุคใหม่คือหยวน’ แซ่สามแซ่ บัณฑิตสามคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ตอนนี้เฉินผิงอันยังคงไม่ค่อยแน่ใจ อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนหลัง บันทึกขุนเขาสายน้ำและบทกวีของฝ่ายแรก ก็คือรากฐานมหามรรคาที่ตัวอักษรคือกรงขังของเรือราตรี ถูกเจ้าของเรือนำไปปรับใช้ ส่วนฝ่ายหลังก็คือรองเจ้านครของนครเถียวมู่ อาจารย์ผู้เฒ่าผมขาวที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่สือหลาง ผู้รอบรู้ท่านหนึ่งที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘สามารถควบคุมจิตใจตัวเอง สามารถปรับใช้วิธีของคนโบราณ’
การที่หลี่เซิ่งโยนเฉินผิงอันมาไว้ที่นี่ นอกจากจะให้เฉินผิงอันเข้าใจแผนการของทางฝั่งศาลบุ๋นมากขึ้นแล้ว ก็อยากจะให้เจ้าเด็กนี่ลองมาเสี่ยงดวงด้วยตัวเอง พลาดไปก็ไม่เป็นไร แต่หากคว้าจับไว้ได้ย่อมดียิ่งกว่า
——