กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 796.3 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยยันตัวเอง “ ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ อะไรกัน ฟังแล้วเหมือนด่าคนเลยนะ ก็แค่ขี้ขลาด โชคดี เป็นคนโชคดีที่รอดพ้นจากหายนะสงคราม”
โชคดีเพราะไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ขุนเขาสายน้ำจมดิ่งอย่างใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
ขี้ขลาดเพราะไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบอย่างอวี๋เซียน โจวเสินจือ ดังนั้นจึงไม่เจอกับหายนะจากสงครามครานั้น โชคดีที่หลบพ้นภัยพิบัติมาได้ การหลบภัยเลี่ยงหายนะ หากว่ากันถึงที่สุดแล้ว สำหรับผู้เฒ่าท่านนี้ อันที่จริงก็คือการหลบหนีอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่ละคนมีโชควาสนาเป็นของตัวเองไม่จำเป็นต้องอิจฉาใคร ต่างคนต่างทุ่มเทไม่ต้องละอายใจ”
ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “โอ้โห เจ้าเด็กนี่พูดจาไพเราะนัก แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิต”
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ด่าคน
แต่ในฐานะผู้เยาว์ ทั้งยังได้มาเจอกับคนที่เคารพเลื่อมใส ก็จงรับไว้แต่โดยดีแล้วกัน โอกาสที่จะได้พูดคุยกับ ‘คนในตำรา’ ที่ทำให้คนเลื่อมใสถึงเพียงนี้ช่างหาได้ยาก ได้คุยเล่นแค่ไม่กี่ประโยคก็ยังถือเป็นกำไร
ผู้เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มถามว่า “ทำไม เคยอ่าน ‘ตำราภาพขุนเขาทะเล’ ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยอ่านอย่างละเอียดมาก่อน”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “อ่านหนังสือ? ไม่ใช่เปิดหนังสือ?”
เฉินผิงอันเกาหัว มีสีหน้าเขินอายอย่างที่หาได้ยาก “ทั้งสองอย่าง”
ผู้เฒ่าพ่นควันขโมง คิดแล้วก็พึมพำเหมือนคุยกับตัวเอง “ปลาในบ่อมีประมาณร้อยตัวกว่า”
เฉินผิงอันรออยู่พักใหญ่ เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ไม่ได้พูดต่อ ดูเหมือนว่ากำลังทดสอบตน? จึงเอ่ยรับคำว่า “ล้วนเหมือนว่ายวนอยู่กลางอากาศ ไม่มีอะไรให้พึ่งพา”
“หนึ่งภูเขาขวางสายน้ำ สายน้ำต้องไหลอ้อมผ่าน”
“เทพลำคลองผู้ยิ่งใหญ่ มือโบกเท้าเตะ แยกออกเป็นสอง เส้นทางน้ำลึก หันมองยังคงเดิม จนวันนี้รอยประทับมือเท้ายังคงอยู่”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนความจำดี ไม่ใช่เรื่องแปลก หนังสือเล่มนั้นของข้าแค่พลิกอ่านไปมาก็พอแล้ว”
เดิมทีนึกว่าเป็นคนฉลาดที่จะมาประจบตีสนิท คนหนุ่มหากวางตัวสุขุมเยือกเย็นเกินไป เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเกินไปก็ไม่ดี
ผู้เฒ่าชอบเอาจริงเอาจัง หากเป็นเช่นนี้จริง วันนี้จะต้องให้เจ้าเด็กนี่หาทางลงไม่ได้ ข้าผู้อาวุโสคือคนง่ายๆ สบายๆ ที่สนใจแต่ภูเขาสายน้ำ ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะปราชญ์คนไหนของศาลบุ๋นหรือเป็นทายาทของแซ่ใด
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นี้จะเคยอ่านผลงานของตนมาอย่างละเอียดจริงๆ ไม่ใช่แค่การอ่านแก้เบื่อที่แค่เหลือบดูไม่กี่ทีหรือแค่หยิบมาเปิดดูครั้งเดียวอย่างที่คิดไว้
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนล้วนความจำดี แต่หากไม่ตั้งใจเปิดอ่านตำราก็ไม่มีทางจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ยินดีจะทำ ขี้เกียจ หรือไม่ก็ดูแคลนที่จะทำ
เฉินผิงอันนั่งเบี่ยงตัวหันหน้าเข้าหาอาจารย์ผู้เฒ่าอยู่ตลอด “อาจารย์ของข้าเคยบอกว่าตัวอักษรของอาจารย์ลี่มองดูเหมือนเรียบง่ายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วกลับต้องใช้ทักษะอย่างมาก ตัวอักษรคมชัด แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “คำพูดดีๆ แบบนี้ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เอามาพูดเป็นบทนำเล่า”
เฉินผิงอันฉีกยิ้มกว้าง “หากรีบพูดแต่เนิ่นๆ ก็อาจกลายเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดประจบสอพลอ ข้ากลัวว่าอาจารย์ลี่จะไล่ข้าไปโดยตรง”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาลูบหัว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าตัวดี สวมหมวกสูงให้ข้าอีกแล้วหรือ?”
เจ้าเด็กนี่ใช้ได้เลยนี่นา คือคนหนุ่มที่เข้าใจพูดจริงๆ แล้วยังมีมารยาทอีกด้วย
แต่ก็คร้านจะถามว่าสรุปแล้วศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนี่คือใครกันแน่ ถ้อยคำที่เอ่ยยกยอคุยโวโอ้อวดประเภทนี้ ทั้งในและนอกหนังสือ ชั่วชีวิตนี้ได้ยินได้เห็นมาน้อยนักหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอถามอาจารย์ลี่เกี่ยวกับเรื่องบางอย่างในหนังสือได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “อย่าเลยดีกว่า ข้ามาหลบซ่อนตัวเพื่อความสงบ เรียบเรียงหนังสือราชการเป็นเรื่องสิ้นเปลืองแรงใจที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันจึงพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก หันตัวกลับมา หยิบกาเหล้าออกมากาหนึ่ง ย้ายสมาธิไปสังเกตเหตุการณ์ที่เกาะยวนยางต่ออีกครั้ง แม้จะแบ่งหนึ่งออกเป็นสาม แต่จิตวิญญาณเชื่อมโยงถึงกัน สิ่งที่เห็นและได้ยินล้วนสื่อตรงถึงกันได้อย่างไม่มีปัญหา
ผู้เฒ่าเหลือบมองคนหนุ่มที่ดื่มเหล้า ยิ่งมองก็ยิ่งประหลาดใจ ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าหนุ่ม เคยขึ้นไปบนเรือราตรีมาก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา พยักหน้า “เหตุใดอาจารย์ลี่ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ขึ้นเรือง่ายลงเรือยาก เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า
ผู้เฒ่าพลันเบิกตากว้าง สำลักควันจนไอไม่หยุด จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าประหลาด “เคยได้ยินคำว่าโพ่จื่อลิ่งมาก่อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “เป็นชื่อสือไผ (ชื่อช่วงทำนองของโคลงประกอบดนตรี) เคยได้ยินมาก่อน”
ผู้เฒ่าเอากระบอกยาสูบเคาะกับขั้นบันได ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่พูดถึงโพ่จื่อลิ่ง (แปลตรงตัวว่าคำสั่งไขคำ) ทำลายกรงขังตัวอักษรของเรือราตรีลำนั้น เรือราตรีลำนั้นมีแต่ความรู้ รากฐานของความรู้ยังคงเป็นตัวอักษร ดังนั้นจึงกลัวในเรื่องนี้มากที่สุด”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ผู้เยาว์ไม่เคยฝึกคาถาของลัทธิขงจื๊อ”
แต่ในใจกลับเริ่มวางแผนไว้แล้วว่าเดี๋ยววันหน้าจะต้องถามเรื่องโพ่จื่อลิ่งจากอาจารย์สักหน่อย
ผู้เฒ่าเห็นว่าคนหนุ่มไม่เหมือนพูดโกหก จึงยิ่งรู้สึกสงสัย ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เหตุใดถึงสามารถทำให้หลี่เซิ่งเอ่ยประโยคหนึ่งกับตนโดยเฉพาะได้?!
ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง รู้แล้ว คงจะเป็นอิ่นกวานหนุ่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นสินะ?
พอคิดอีกที ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่จั่วโย่วคนนั้นหรอกหรือ? สรุปก็คือไม่ค่อยมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นซิ่วหู่ผู้นั้น เจ้าตะพาบเฒ่าคนนี้คอยจับผิด ‘ตำราภาพขุนเขาและทะเล’ อย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้กัน
ท้ายที่สุดพอด่าคนแล้วยังเอ่ยมาอีกประโยคหนึ่งว่า ตำราเล่มอื่นๆ ล้วนคู่ควรให้ชุยฉานเปิดอ่าน เขียนคำอรรถาธิบายเช่นนี้หรือ?
ผู้เฒ่าจึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สถานะของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะบอกลา หมายจะไปที่อำเภอพ่านสุ่ยก่อนแล้วค่อยไปที่ภูเขาอ๋าวโถว
……
การประชุมในศาลบุ๋น
จิงเซิงซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูพลันเปิดปากเอ่ยว่า “สำนักศึกษาอวิ๋นเปียน สำนักศึกษาหลันไถ สำนักศึกษาหูเหลี่ยน สำนักศึกษาชุนโซว สำนักศึกษาถงลี่ เจ้าขุนเขาห้าท่าน นับแต่นี้ไปจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าขุนเขาอีก สถานะวิญญูชนก็ถูกถอดถอนออกจากศาลบุ๋นไปพร้อมกันด้วย”
ทุกคนในห้องพลันอึ้งตะลึง บรรยากาศเงียบกริบจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันทั่ว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทั้งห้าท่าน สามคนในนั้นล้วนเป็นเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าของสำนักศึกษาตัวเอง ศึกษาหาความรู้และถ่ายทอดวิชาความรู้อยู่ในตำแหน่งของเจ้าขุนเขามานานหลายปี ซื่อสัตย์ชวนให้คนประทับใจ ลูกศิษย์ลูกหาของแต่ละคนมีอยู่ทั่วขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป หนึ่งในนั้นมีรองเจ้าขุนเขาที่ถือโอกาสได้เลื่อนเป็นเจ้าขุนเขา สุดท้ายคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรงของสถานศึกษาคนหนึ่งที่ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาชุนซัว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาถงลี่ลุกขึ้นยืนช้าๆ ประสานมือคารวะจิงเซิงซีผิงก่อน จากนั้นก็ถามเสียงดังกังวานว่า “เพราะเหตุใด?!”
หยวนพางเงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งเครียด
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาห้าคนที่อยู่ดีๆ ก็สูญเสียตำแหน่งไป มีทุกสายของศาลบุ๋น สายของหลี่เซิ่ง สายของหย่าเซิ่ง และยังมีลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิหลักและรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นอีกสองคน
ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็ตกใจมาก จึงถามว่า “ตาเฒ่าอวี๋ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
อวี๋เสวียนส่ายหน้า “ข้าไม่สนิทกับศาลบุ๋นสักหน่อย เรื่องในบ้านของศาลบุ๋น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนั้นไม่ได้แค้นเคืองเดือดดาล เพียงแค่ถามย้ำว่า “เพราะเหตุใด?!”
ราวกับว่าต่อให้สูญเสียตำแหน่งเจ้าขุนเขานี้ไปก็ยังคงไม่เสียใจไม่ยินดี เพียงแค่อยากทราบเหตุผลที่ตรงไปตรงมา
ซีผิงพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “คือความต้องการของหลี่เซิ่ง”
คนผู้นั้นยิ้มอย่างซีดเซียว ไม่เอ่ยอะไรอีก จัดระเบียบเสื้อผ้า หันไปประสานมือคารวะทางภาพแขวนของอริยะทั้งหลาย
จากนั้นก็เตรียมจะออกไปจากศาลบุ๋น ไม่เข้าร่วมการประชุมอะไรอีก ไม่ได้เป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา แม้แต่สถานะของวิญญูชนก็ถูกถอดถอนไปด้วย ยังจะประชุมอะไรอีก? วันหน้าจะยังอ่านตำราอะไรอีก ศึกษาหาความรู้อะไร พาตัวไปอยู่ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำเสียดีกว่า
ลู่จือถามอย่างใคร่รู้ “เพราะอะไร?”
จั่วโย่วกล่าว “วัตถุประสงค์ในสายความรู้ของหย่าเซิ่ง นอกจากสันดานมนุษย์แท้จริงนั้นดีงามแล้ว ยังมีทฤษฎีสี่ใจ แบ่งออกเป็นใจที่มีความเห็นอกเห็นใจ ใจที่ละอายต่อบาป ใจที่เคารพนับถือ ใจที่รู้ถูกผิด ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เจ้าขุนเขาพวกนี้อ่านตำราจนความคิดจิตใจเอนเอียง เพียงแต่ว่าเวลาปกติเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้ำ ศึกษาหาความรู้ในห้องหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ไขข้อสงสัย ความสามารถล้วนไม่เลว น่าจะเป็นเพราะได้เห็นป้ายสงบสุขปลอดภัยของกำแพงเมืองปราณกระบี่บนแนวเส้นก่อนหน้านี้ แล้วบัณฑิตพวกนี้ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ”
ลู่จือหันหน้าไปมองอาเหลียงที่วางจอกเหล้านั่งเหม่อ
อาเหลียงถึงกับไม่ได้ทำหน้าทะเล้นพูดคุย แล้วก็ไม่ได้สนใจสายตาของลู่จือ เพียงแค่หรี่ตามองไปยังเจ้าขุนเขาที่อายุน้อยที่สุดซึ่งเป็นหนึ่งในห้าคนนั้น คล้ายกำลังรอคอยคำพูดและการกระทำจากลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหย่าเซิ่งผู้นี้
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มที่ใช้สถานะของวิญญูชนเลื่อนเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาชุนซัว ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “เป็นถึงหลี่เซิ่ง ก็ไม่ยิ่งควรไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟังหรอกหรือ?!”
เพราะเขาคิดจนเข้าใจสาเหตุแล้วว่าเป็นเพราะหลี่เซิ่ง
หลี่เซิ่งมองเห็นทะเลสาบหัวใจ เสียงหัวใจและความคิดของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาทั้งหมด
อาเหลียงลุกขึ้นยืน
เรือนกายเปล่งวูบพุ่งเอามือไปกดศีรษะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มคนนั้นกระแทกกำแพงอย่างแรง จากนั้นก็สะบัดมือโยนร่างอีกฝ่ายออกไปนอกประตูใหญ่ของศาลบุ๋น
สายหย่าเซิ่งของตนไม่มีเฉินฉุนอันอยู่แล้ว ผลกลับกลายว่ามีคนแบบนี้มาแทนงั้นรึ?
อาเหลียงปัดมือ ถามคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าสี่คนจะเดินออกไปหรือจะให้ข้าช่วยให้พวกเจ้าได้นอนออกไป?”
เจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักศึกษาหูเหลี่ยนถึงกับไม่มองอาเหลียง เพียงแค่เงยหน้ามองไปยังภาพแขวนของหลี่เซิ่ง ถามเสียงหนักว่า “ขอถามหลี่เซิ่ง สรุปแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่?”
อาเหลียงใช้ฝ่ามือตบอีกฝ่ายกระเด็นออกไปนอกประตูใหญ่ของศาลบุ๋น เอ่ยกับอีกสามคนที่เหลืออย่างเฉยเมย “จะถามอีกรอบ”
เฉาผู่ที่ทีแรกไม่ได้ดื่มเหล้ากลับรินเหล้าใส่จอกแล้วกระดกดื่มจนหมด
ราชครูจากราชวงศ์เส้าหยวนท่านนี้รู้สึกว่าศาลบุ๋นควรจะใช้เหตุผลเช่นนี้นานแล้ว
บัณฑิตศึกษาตำราอริยะปราชญ์ จำเป็นต้องมีคุณธรรมเมตตาธรรมมากกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือพวกคนผ่าฟืนพ่อค้าหาบเร่ล่างภูเขา
บัณฑิตสามคนที่ไม่ใช่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอีกต่อไปเดินออกไปจากประตูใหญ่ของศาลบุ๋นเงียบๆ
สุดท้ายอาเหลียงก็เดินออกไปด้วย นั่งลงบนขั้นบันได ไม่ได้ดื่มเหล้า
ลู่จือเดินออกมา นั่งลงด้านข้าง หิ้วเหล้ามาด้วยสองกา โยนให้อาเหลียงกาหนึ่ง
ลู่จือยิ้มเอ่ย “มาดที่มาถึงช้าไปสักหน่อย”
อาเหลียงรับกาเหล้ามา ยิ้มจืดเจื่อน “นี่ถือว่ามีมาดอะไรซะที่ไหน เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรเลย”
ศาลบุ๋นยังคงประชุมกันต่อ
คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างจิงเซิงซีผิงลังเลอยู่ชั่วขณะก็นั่งลงไป
อาเหลียงเลิกเปลือกตาขึ้น เหลือบมองเงาแผ่นหลังของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาถงลี่ที่จากไปอย่างหม่นหมองแล้วยิ้มเอ่ย “คนประเภทนี้เจ้ากลับไม่อาจซ้อมเขาได้ เป็นผู้ดำเนินการหลักในวงการการประพันธ์ของหลายแคว้นมานานหลายสิบปี พอสูญเสียตำแหน่งขุนนางไป อย่างมากก็แค่ไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำก็ได้แล้ว”
จิงเซิงซีผิงเอ่ยเสียงเบา “วสันต์ในสุราผ่านไปอีกปีแล้ว”
หวนนึกถึงอดีตในปีนั้น ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ เคยมีคนหนุ่มสองคนนั่งอยู่ด้านหน้าศิลาสลักคัมภีร์ซีผิงสองก้อนที่อยู่ติดกัน คนผู้หนึ่งมักจะมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าอยู่เสมอ ราวกับว่าใต้หล้าไม่มีเรื่องใดที่ล้มเขาลงได้ อีกคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ราวกับว่าใต้หล้าไม่มีความรู้ใดที่ไม่อาจตั้งใจศึกษาจนกระจ่าง ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนช่วยกันคัดตัวอักษรไม่หยุด
……
อำเภอพ่านสุ่ย
บนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำภาพนั้น อวิ๋นเหมี่ยวเซียนเหรินเอ่ยประโยคว่า ‘ผู้เยาว์เข้าใจ’ กับเฉินผิงอัน
หันเชี่ยวเซ่อรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก ถึงกับกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว คนหนึ่งช่างกล้าหลอก อีกคนหนึ่งก็ช่างกล้าเชื่อ
ฟู่จิ้นยิ้มกล่าว “คาดว่าอวิ๋นเหมี่ยวคงตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว”
หันเชี่ยวเซ่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่คนชั่วเล่นงานคนดี นับว่าเป็นความสามารถที่แท้จริงอะไร หากเปลี่ยนมาเป็นกู้ช่านก็ต้องทำได้เหมือนกันนั่นแหละ”
กู้ช่านส่ายหน้า
เฉินผิงอันอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เจิ้งจวีจงอยู่ในใต้หล้าไพศาล
ล้วนเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก
คนดีคนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสีย ผู้ฝึกตนฝ่ายมารคนหนึ่ง แต่กลับก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้
เดิมทีควรเข้ากับสถานที่นั้นๆ ไม่ได้ หันไปทางใดควรต้องเจอแต่อุปสรรคขัดขวาง แค่รักษาสถานที่ที่ตัวเองหยัดยืนเอาไว้ให้ได้ก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับยังคงเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ไม่เพียงแต่หยัดยืนได้อย่างมั่นคงยังกางแขนกางขาออกไปได้ด้วย
กู้ช่านรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับสองคนนี้ ไม่ว่าจะด้านใดตนล้วนแย่กว่าทุกทาง
พูดถึงแค่ศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เขาก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี
เทียบด้านเวทกระบี่ เทียบฝีมือการเล่นหมากล้อมกับฟู่จิ้นไม่ได้ เทียบกับพรสวรรค์ของอาจารย์อาหญิงหันเชี่ยวเซ่อที่ฝึกวิชาคาถาพร้อมกันสิบชนิดไม่ได้
เทียบกับอาจารย์อาหลิ่วชื่อเฉิงที่ก่อเรื่องไปทั่วสารทิศอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าทุกครั้งกลับปลอดภัยไร้กังวลอยู่บนมหามรรคาไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าเทียบกลิ่นอายของคนกล้าตายบนร่างของไฉ่ป๋อฝูไม่ได้ อย่าเห็นว่าไฉ่ป๋อฝูอยู่ที่นครจักรพรรดิขาวไม่มีอะไรราบรื่น แต่อันที่จริงเขากล้าเดิมพันด้วยชีวิตเป็นที่สุด
เจิ้งจวีจงชำเลืองตามองกู้ช่าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามารถยอมรับในตัวของสหายและศัตรูทุกคนได้ เป็นความเคยชินที่ดี แต่เงื่อนไขก็คือต้องเป็นความเชี่ยวชาญ ไม่ได้เป็นแค่ความชอบอย่างเดียวเท่านั้น”
“คำว่าฝึกฝนจิตใจก็คือการหลอมวัตถุครั้งหนึ่ง อย่าคิดว่ามีเพียงผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเท่านั้นที่ถึงจะฝึกจิตใจหลอมวัตถุ ผิดมหันต์แล้ว”
“คนธรรมดาล่างภูเขา อันที่จริงทุกคนล้วนเป็นอาจารย์หล่อหลอม สำหรับความชื่นชอบในใจก็มักจะเพิ่มความประทับใจเข้าไปอย่างต่อเนื่อง กับความเกลียดแค้นชิงชังในใจก็ใช้หลักการเดียวกัน หันเชี่ยวเซ่อชอบกู้ช่าน ไม่ว่าทำอะไรก็ดีไปหมด ฟู่จิ้นรังเกียจหลิ่วชื่อเฉิง ไม่ว่าอะไรก็ผิดไปหมด”
“นี่ก็คือการหล่อหลอมที่ไม่รู้ตัวครั้งหนึ่ง และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองโดยมิอาจบังคับได้เช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว หากไม่มีการควบคุมไว้บ้างก็อาจทำให้เกิดเป็นจิตมาร ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่ฟู่จิ้นพูดจึงไม่ผิด สามารถเอาความสุดโต่งสองอย่างมาปฏิเสธกันและกันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงกลายเป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง นั่นต่างหากถึงจะเป็นการฝึกตนในระดับสูงยิ่งกว่า”
เจิ้งจวีจงมองลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคน
“ฟู่จิ้น โลกไม่อาจหมุนรอบคนใดคนหนึ่งได้ กู้ช่าน บางทีโลกก็สามารถหมุนรอบแค่คนใดคนหนึ่งได้จริงๆ”
ข้อสรุปสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มองดูเหมือนขัดแย้งกัน แต่อันที่จริงก็เป็นแค่มุมมองสองอย่างเท่านั้น โลกมองต่อบุคคล บุคคลมองต่อโลก ต่างฝ่ายต่างเป็นกระจกให้แก่กัน
เจิ้งจวีจงหวังว่าฟู่จิ้นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนจะไม่ตาสูงมือต่ำจนไม่มีความสามารถพอที่จะมองไม่เห็นเม็ดหมากใดๆ บนกระดานหมาก เป็นคนออกกระบี่ก็อย่าได้จองหองเกินไปนัก
ลูกศิษย์คนเล็กกู้ช่าน ตรงข้ามกันพอดี หลายปีที่ผ่านมานี้นับตั้งแต่นครจักรพรรดิขาวจนไปถึงฝูเหยาทวีป ด้านหนึ่งกู้ช่านก็ฝึกมรรคกถาวิชาอภินิหารต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ด้านหนึ่งก็อ่านตำรามากมาย ทว่ายามลงมือทำอะไรกลับยังคงระมัดระวังเกินไป ยิ่งรู้กฎระเบียบที่ไร้รูปลักษณ์มากเท่าไร กู้ช่านก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ามากเท่านั้น กู้ช่านที่เป็นเช่นนี้อันที่จริงคือไม่อาจเดินออกมาจากเงามืดของทะเลสาบซูเจี่ยนได้ ดังนั้นสถานที่พิสูจน์มรรคาของกู้ช่านจึงไม่มีทางเป็นที่ใต้หล้าไพศาล มีเพียงต้องไปอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
“นครจักรพรรดิขาวคือสำนักมารที่ทุกคนล้วนรับรู้ แต่กลับสามารถตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาได้นานสามพันกว่าปี ข้าถูกใต้หล้าไพศาลมองเป็นผู้ฝึกตนลัทธิมารมาโดยตลอด อีกทั้งข้ายังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ทำไมจึงมีแต่ข้าที่เป็นข้อยกเว้น? แม้แต่หลี่เซิ่งก็ยังสามารถแหกกฎให้ข้าได้?”
——