กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 797.1 ไม่ไพศาล
คนกลุ่มหนึ่งเดินเท้ามุ่งหน้าไปที่ท่าเรือยวนยาง หมายจะไปเพิ่มพูนความรู้จากร้านผ้าห่อบุญที่เกาะนกแก้วสักหน่อย
เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว นักพรตเนิ่น บวกกับคนนอกอีกคนหนึ่งอย่างถัวเหยียนฮูหยินที่ทุกวันนี้ชื่ออยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแล้ว รวมไปถึงหลิ่วชื่อเฉิงที่เป็นคนนอกที่สุดแต่กลับไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกมากที่สุด เขากับนักพรตเนิ่นกำลังแอบลอบประเมินว่าท่าเรือสี่แห่งในตอนนี้ยังมีใครที่คู่ควรให้ถูกด่า หรือสามารถต่อยตีกันได้อีกบ้าง
เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันถ่ายทอดกลยุทธ์อันแยบยลให้กับเด็กสาวเทพีบุปผา ไม่ได้จงใจดึงตัวถัวเหยียนฮูหยินออกไป ดังนั้นนางจึงได้ยินคำพูดทุกบททุกตอนได้อย่างชัดเจน
ถัวเหยียนฮูหยินยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง “วางใจให้รุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์ไปเยี่ยมเยือนจางเหวินเฉียนคนเดียวจริงๆ หรือ ไม่กลัวว่าถึงเวลานางจะพูดผิด เป็นเหตุให้ทุกอย่างที่ทำมาต้องสูญเปล่าหรือ? เฝยเซียนผู้นั้นขึ้นชื่อเรื่องการคบค้าสมาคมด้วยยากเชียวนะ เหตุใดอิ่นกวานถึงไม่ออกหน้าเอง แบบนั้นจะไม่ยิ่งมั่นคงกว่าหรอกหรือ?”
ไม่แน่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานที่หากไร้ผลประโยชน์ก็ไม่คิดจะตื่นเช้า ตื่นเช้าได้ก็เพราะได้เงินมาอย่างเจ้าผู้นี้ อาจจะสามารถไปตีสนิทกับเฝยเซียนแล้วค่อยป่ายปีนไปสร้างสัมพันธ์กับซูจื่อได้ในคราวเดียวเลยก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าประโยคหลังนี้ แน่นอนว่าถัวเหยียนฮูหยินย่อมไม่กล้าพูดออกมาจากปาก
จางเหวินเฉียนหนึ่งในสี่บัณฑิตที่เป็นลูกศิษย์ของซูจื่อ เนื่องจากรูปโฉมของอีกฝ่ายที่ห้าวหาญ เรือนกายองอาจกำยำเกินกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘เฝยเซียน’ (เฝยหมายถึงอ้วนหรืออุดมสมบูรณ์)
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็มีแค่คำพูดไม่กี่ประโยคนั้น เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนจะพูดอะไรผิดได้เล่า?”
นั่นก็ดูแคลนเหนียงเนียงเทพีบุปผาท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผามากเกินไปแล้ว
อีกทั้งช่วงสุดท้ายของการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันยังเอ่ยปลอบเทพีบุปผาด้วยหลักการเหตุผลที่ไม่ถือว่ามีเหตุผลสักเท่าไรไปด้วย บอกนางว่ายามที่พบเจอกับอาจารย์จาง นางต้องตื่นเต้นมากอย่างแน่นอน อันที่จริงไม่ต้องเป็นกังวล เพราะอาจารย์จางรู้ว่าเจ้าต้องตื่นเต้น การที่เจ้าตื่นเต้นก็เพราะมีความจริงใจ นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องดี ดังนั้นในเมื่อตื่นเต้นไปแล้ว ถึงเวลานั้นพูดเสียงสั่นก็ไม่เห็นต้องกลัว แค่ปล่อยให้ตัวเองตื่นเต้นไปเต็มที่ ยามที่ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกก็ตื่นเต้นต่อไป ไม่ต้องรีบร้อนเปิดปากพูด
ตอนนั้นได้ยินประโยคนี้ของเซียนกระบี่ชุดเขียว เห็นได้ชัดว่าเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนผ่อนคลายได้หลายส่วน ในเมื่อขนาดตื่นเต้นก็ยังไม่ต้องกลัว ถ้าอย่างนั้นนางยังจะต้องกลัวอะไรอีก?
ถัวเหยียนฮูหยินถาม “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงยินดีให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงไม่ได้ช่วยเจ้า ถัวเหยียนฮูหยินเป็นคนอย่างไรก็จะทำให้คนนอกรู้สึกว่าลู่จือเป็นคนอย่างนั้น”
คำตอบนี้กลับกลายเป็นว่าทำให้ถัวเหยียนฮูหยินสบายใจได้หลายส่วน ในเมื่อไม่ได้ช่วยนาง ก็ไม่ถือว่าตนติดค้างน้ำใจของเขา
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “บอกตามตรง เจ้ายินดีมาขอให้ข้าช่วยทำเรื่องนี้ ข้าค่อนข้างประหลาดใจ”
ถัวเหยียนฮูหยินหันมามองอิ่นกวานหนุ่มแวบหนึ่ง อันที่จริงนางแปลกใจมากกว่าที่เฉินผิงอันพูดประโยคนี้ ราวกับว่าเห็นนางเป็นคนกันเองแล้ว?
พอมาคิดอีกที นางก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที อ้อมไปอ้อมมา เหตุใดถึงยังเป็นการช่วยนางอยู่อีกเล่า?
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “หลายปีมานี้เป็นเจ้าที่ระแวงไปเองมาโดยตลอด มักรู้สึกว่าข้ามีเจตนาร้าย”
รอยยิ้มของถัวเหยียนฮูหยินกระอักกระอ่วน “เปล่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย ข้าหรือจะกล้าเข้าใจใต้เท้าอิ่นกวานผิด”
เฉินผิงอันกล่าว “ถัวเหยียนฮูหยิน เจ้าลองคิดดูแล้วกัน หากข้าสาบานกับเจ้า รับรองว่าตัวข้าไม่ได้มีความสนใจอะไรในสวนดอกเหมยแล้ว การกระทำในปีนั้นเป็นไปเพราะหน้าที่รับผิดชอบ เป็นการกระทำอย่างสุดวิสัย หลังจากที่เจ้าและข้าต่างคนต่างได้กลับบ้านเกิดของตัวเอง ต่อให้ไม่ถือว่าเป็นสหายกัน แต่ก็ไม่มีทางเป็นศัตรูกัน เจ้ายินดีจะเชื่อข้า หรือจะยิ่งรู้สึกว่าข้ามีเจตนาร้ายมากกว่ากันเล่า?”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มตาหยี ลองคิดอย่างละเอียดก็รู้ว่าเป็นเช่นนี้จริง จึงพยักหน้า “ก็จริงนะ เป็นอย่างนี้จริงๆ”
วันนี้หลิ่วชื่อเฉิงทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างมาก ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักถัวเหยียนฮูหยินที่มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาผู้นี้
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาแล้ว สวมชุดเต๋าสีชมพูเช่นนี้ คงล่องลอยวนไปวนมาอยู่รอบกายพี่หญิงถัวเหยียนเหมือนผีเสื้อบินตอมดอกไม้ไปนานแล้ว
เพราะตอนที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีป เขาเคยสรุปหลักการเหตุผลที่ใช้ได้จริงซึ่งมีทองพันชั่งไม่ซื้อ มีทองหมื่นชั่งไม่ขายออกมา
ขอแค่เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสายเหวินเซิ่ง รวมไปถึงเด็กที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู อย่าไปมีเรื่องด้วยเด็ดขาด
อันดับแรกก็เป็นเฉินผิงอัน ต่อมาก็เป็นหลี่หลิ่วที่เจอกันบนหินพักมังกร นั่นยังถือว่าเป็นแค่ครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เจอกับหลี่เป่าผิงนอกนครลมเย็น บวกกับกู้ช่านศิษย์หลานครึ่งตัวอีกคนหนึ่ง?
นั่นก็ถือว่าเป็นสามคนพอดี เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ต้องหัดจำเสียบ้าง
หลิ่วชื่อเฉิงได้นัดหมายกับสหายเนิ่นข้างกายเรียบร้อยแล้วว่า พวกเราสองพี่น้องจะไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยกัน ที่นั่นแผ่นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ ใครจะมาบังคับกะเกณฑ์ได้? ใครจะกล้ามาขวางทาง? นั่นก็คือช่วงเวลายิ่งใหญ่อันดีงามที่สองพี่น้องจะได้สร้างชื่อเสียงขจรไกล
หลี่ไหวคอยยื่นหัวมามองเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันกับนางมีความสัมพันธ์แบบใดต่อกัน
ส่วนเจ้าคนที่สวมชุดสีชมพูนั่น แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ได้ยินว่ายังเป็นเจ้าของหอแก้วใสนครจักรพรรดิขาวด้วย นครจักรพรรดิขาวอะไร หอแก้วใสอะไร แค่หลี่ไหวได้ยินก็ใจฝ่อไปหมดแล้ว
เพราะถึงอย่างไรสหายของสหายก็ไม่ใช่สหายของข้าหลี่ไหวนี่นา ในเมื่อไม่ได้อยู่ในถิ่นของตัวเอง แล้วจะยังทำตัวเก่งได้อย่างไร เจ้าคนของหอเซียนจิ่วเจินที่กระดอนไปบนผิวน้ำนั่นก็คือบทเรียน
หลี่ไหวยิ่งไม่รู้ว่าศาลบุ๋นในเวลานี้ เหล่าอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปทั้งหลายต่างก็พากันพูดถึงเขา แล้วยังเริ่มเปิดการประชุมขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะอีกด้วย
รองผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านหนึ่งในศาลบุ๋น หลังจากปรึกษากับผู้อำนวยการแล้วก็ถามหยั่งเชิงอาจารย์ผู้เฒ่าหานว่า “ไม่สู้พวกเรามอบยศนักปราชญ์ให้กับหลี่ไหวดีไหม?”
ก่อนหน้านี้รองผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านนี้ได้ขอเอกสารของสำนักศึกษาฉบับหนึ่งมาจากจิงเซิงซีผิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติ อาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ คำวิจารณ์จากเจ้าขุนเขาในการเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษาซานหยาของหลี่ไหวมาไว้ก่อนแล้ว
แม้แต่รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นอาจารย์ผู้เฒ่าหานที่เข้มงวดจริงจังท่านนี้ก็ยังรู้สึกลังเล เห็นได้ชัดว่าโน้มเอียงไปในทางมอบตำแหน่งให้ แต่มอบให้แล้วก็ดูเหมือนว่าง่ายจะก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ จะต้องก่อให้เกิดภาระมากมายต่อการศึกษาต่อของหลี่ไหวต่อจากนี้อย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าศาลบุ๋นไม่เห็นเรื่องยศนักปราชญ์เป็นเรื่องสำคัญ จึงสามารถมอบให้ใครก็ได้ง่ายๆ
ในความเป็นจริงแล้วการมอบยศนักปราชญ์ของสำนักศึกษา แต่ไหนแต่ไรมาสำนักศึกษาของทวีปหนึ่งล้วนต้องคัดเลือกกันมาเอง ทางฝั่งของศาลบุ๋นแทบจะไม่เคยยื่นมือเข้าแทรกการตรวจสอบ การประเมินนักปราชญ์เลย
สำนักศึกษาดูแลนักปราชญ์ ศาลบุ๋นดูแลวิญญูชน นี่คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งขึ้นเอง
แต่เป็นเพราะว่าคุณความชอบของเจ้าเด็กนี่ยิ่งใหญ่จริงๆ การสลับเปลี่ยนจุดยืนของเฒ่าตาบอดที่เป็นขอบเขตสิบสี่ก็เท่ากับว่าหนึ่งตรงหนึ่งอ้อมช่วยให้ใต้หล้าไพศาลมีภูเขาใหญ่แสนลี้เพิ่มมาสองแห่ง
ดูจากท่าทางแล้วขอแค่ลูกศิษย์ของเขายินดีเปิดปาก หุ่นเชิดเกราะทองเจ็ดแปดร้อยตนที่อยู่ในภูเขาใหญ่แสนลี้ล้วนสามารถบุกสังหารเปลี่ยวร้างอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ภายใต้คำสั่งเดียวเลยกระมัง?
บวกกับคำกล่าวที่อยู่ในเอกสาร แม้ว่าในเรื่องของการศึกษาหาความรู้หลี่ไหวจะ ‘ไม่มีความสามารถมากพอ’ แต่จะดีจะชั่วก็ ‘มานะหมั่นเพียรในการศึกษาหาความรู้ ไม่เคยเกียจคร้านเพิกเฉย นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ไม่มีความเย่อหยิ่งจองหอง’
อีกทั้งแค่มองจากลายมือก็รู้ว่าเป็นลายมือของเหมาเสี่ยวตงรองผู้อำนวยการสถานศึกษาหลี่จี้ที่เขียนด้วยตัวเอง
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อนี่นะ ท่าทีในการศึกษาหาความรู้ย่อมสำคัญอย่างมาก
ส่วนระดับความสูงต่ำของผลสำเร็จจากการเรียนรู้ หรือไม่ก็ผลคะแนนจากการสอบเคอจวี่ ยังต้องดูว่าบรรพจารย์จะมอบข้าวให้กินหรือไม่ด้วยเหมือนกัน
อาจารย์ผู้เฒ่าหานถามเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นที่อยู่ข้างกาย อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยิ้มเอ่ย “ปัญหาไม่มาก ข้าว่าทำได้”
อาจารย์ผู้เฒ่าหานถามจิงเซิงซีผิงที่นั่งอยู่ด้านนอกอีกรอบ ฝ่ายหลังตอบว่า “ตอนอยู่บนเกาะยวนยาง ความคิดจิตใจของหลี่ไหวใสบริสุทธิ์ ไม่ง่ายเลย”
ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้
หลี่ไหวต้องได้เป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาแน่นอนแล้ว
เรื่องแบบนี้คงไม่ถึงขั้นต้องรบกวนอริยะหลักสามท่านที่มีหลี่เซิ่งเป็นหนึ่งในนั้นหรอกกระมัง? อีกอย่างซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น เดิมทีก็เป็นอาจารย์ปู่สายบุ๋นของหลี่ไหวอยู่แล้ว ในเรื่องของการปกป้องคนของตัวเองเหมือนแม่วัวปกป้องลูกวัวน้อยนี้ เหวินเซิ่งถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบห้าอย่างสมชื่อ
เวลานี้หลี่ไหวเพิ่งจะโดยสารเรือข้ามฟากไปที่เกาะนกแก้ว ต้องยังไม่รู้เรื่องที่ตัวเองกำลังจะได้กลายเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาอย่างแน่นอน
ก็มันคือเรื่องที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าคาดคิดนี่นะ
เกาะนกแก้วเล็กๆ ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันแออัด เพราะว่าบรรพจารย์ของร้านผ้าห่อบุญของที่นี่ได้มาเปิดร้านผ้าห่อบุญด้วยตัวเอง แน่นอนว่าไม่ธรรมดา เป็นเหตุให้แม้แต่ภรรยาของเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปก็ยังต้องพาเหล่าสหายที่มีสถานะสูงศักดิ์โดดเด่นจับมือกันมาปรากฎตัว มาเที่ยวเยือนเกาะนกแก้ว มีนางอยู่ด้วย นั่นก็ไม่ใช่การใช้จ่ายเงินแล้ว แต่เป็นการโปรยเงินต่างหาก
เรือข้ามฟากในพื้นที่ของท่าเรือเรียบง่ายอย่างยิ่ง เพราะต้องเดินทางไปมาระหว่างท่าเรือสี่แห่ง จึงไม่อาจหรูหราโอ่อ่ามากเกินไปนัก
พวกผู้ฝึกตนใหญ่ที่ต้องการไปเยี่ยมเยือนสหาย หากไม่ทะยานลมเดินทางไกลก็ต้องมีเรือข้ามฟากเป็นของตัวเอง
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างราวระเบียง ทอดสายตามองไปยังภูเขาสายน้ำใต้ฝ่าเท้า มีเพียงตรงตำแหน่งศาลบุ๋นเท่านั้นที่มีเมฆหมอกแผ่ปกคลุม
เชื่อว่าไม่มีขอบเขตบินทะยานคนใดกล้าร่ายวิชามองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือเพื่อลอบมองสภาพการณ์ของที่นั่นอย่างแน่นอน
หลี่เป่าผิงถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อยกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บนภูเขาอ๋าวโถว อาจารย์อาน้อยลงมือสำเร็จแล้ว เวลานี้กำลังยืนอยู่บนถนนใหญ่ เตรียมจะด่าคน”
ในเมืองเล็กบ้านเกิด ขอแค่เป็นเด็กที่พอจะมีสติปัญญาสักหน่อย ในเรื่องแบบนี้ล้วนมีความสามารถไม่ต่ำ เพราะหัวถนนท้ายตรอก ท่ามกลางเสียงไก่ขันเสียงหมาเห่า ทุกวันล้วนมียอดฝีมือคอยช่วย ‘ป้อนกระบวนท่า’ อยู่เสมอ โอกาสที่จะได้ ‘เรียนวิชาหมัด’ ให้เหมือนถอดแบบกันมาก็มีเยอะมากจริงๆ
น่าเสียดายที่ทางฝั่งของเจี่ยงหลงเซียง บัณฑิตผู้เฒ่าที่ถูกขนานนามว่า ‘เจ้าประมุขแห่งวงการประพันธ์ เทพเซียนที่นั่งได้อย่างมั่นคง’ หลังจากถูกคนผู้นั้นโยนลงบนพื้น เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ เส้นผมยุ่งเหยิง นั่งอยู่บนพื้นก็ได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวทั่วร่าง กัดฟันกรอด ในใจเคียดแค้นอย่างหนัก ทว่าปากกลับไม่เอยอะไรแม้แต่คำเดียว
ต่อให้คนผู้นั้นจะบอกให้เขาด่าอีก เจี่ยงหลงเซียงก็เพียงแค่รอคอยให้กองหนุนที่อยู่บนภูเขาอ๋าวโถวมาช่วยเหลือเงียบๆ ขุนเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืนเผาไฟ บัณฑิตไม่จำเป็นต้องปะทะฝีปากกับพวกคนมุทะลุ ไม่ควรจะใช้หมัดเท้าต่อสู้กันด้วยกำลัง เพราะมีแต่จะยิ่งทำลายความสุภาพ ไม่ใช่สิ่งที่บัณฑิตสมควรทำอย่างแน่นอน
เจี่ยงหลงเซียงไม่กลัวจริงๆ ว่าจะถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งมาแก้แค้นอย่างไร้เหตุผล
แค่นั่งเงียบๆ อยู่บนพื้นสักพักก็พอแล้ว
ในใจของเจี่ยงหลงเซียงมีการคาดเดาอยู่บ้าง ดูจากท่าทางแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าที่ปีนั้นเทวรูปถูกทุบทำลายคงจะถึงคราวที่โชคชะตาเข้าข้าง ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้เทวรูปกลับมาตั้งวางบนศาลบุ๋นได้อีกครั้ง
ไม่เป็นไร ซิ่วไฉเฒ่ากลับมาเป็นเหวินเซิ่งอีกครั้งก็ยิ่งไม่มีหน้ามาทำตัวไร้เหตุผลกับเขา หากมีหน้าทำเช่นนี้จริง เจี่ยงหลงเซียงก็ยิ่งไม่กลัวแม้แต่น้อย อยากขอร้องให้ทำด้วยซ้ำ
คนหนุ่มสวมชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่มีความแค้นส่วนตัวใดๆ กับตน อีกฝ่ายต้องไม่มีทางทำอะไรโดยใช้อารมณ์แน่นอน ไม่แน่อาจจะเดาออกว่าช่วงเวลาที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเรืองอำนาจกำลังจะกลับมา เลยหมายจะช่วงชิงชื่อเสียงที่ไม่ต้องจ่ายเงิน? จะได้กอดขาใหญ่ๆ ของเหวินเซิ่งเอาไว้ให้แน่น?
คนที่เจี่ยงหลงเซียงหวาดกลัวอย่างแท้จริง แน่นอนว่าไม่ใช่เหวินเซิ่ง แต่เป็นจั่วโย่วที่ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนมาร้อยปี จากนั้นก็เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มารอบหนึ่ง กังวลว่าเซียนกระบี่ผู้นี้จะไม่ใช้หลักการเหตุผลของบัณฑิตกับตน
จั่วโย่วดีแต่จะฝึกกระบี่ ดีแต่จะออกกระบี่ฟันคน ไม่เข้าใจเรื่องหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์อะไร
เฉินผิงอันอดทนรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าให้ตายอย่างไรเจี่ยงหลงเซียงก็ไม่ยอมเปิดปาก จึงเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้เท้าเหยียบลงบนใบหน้าของเจ้าหมอนั่น
เจี่ยงหลงเซียงไถลลื่นออกไปกระแทกชนบนกำแพง รู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ากระดูกแยกตัวออกจากกัน เอามืออุดปาก ก้มหน้าลงก็เห็นว่าฝ่ามือเต็มไปด้วยคราบเลือด ยังมีฟันหลุดออกมาสองซี่ สายตาของบัณฑิตเฒ่าทึ่มทื่อ ทั้งเจ็บทั้งตกใจ พลันร้องโอดครวญว่า “มีคนลงมืออำมหิต มีคนจะฆ่าคนแล้ว!”
สายตาของเฉินผิงอันขยับขึ้นด้านบนเล็กน้อย ทางฝั่งของภูเขาอ๋าวโถวมีคนมาแล้ว
เกินครึ่งน่าจะเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับราชวงศ์เส้าหยวน อีกทั้งยังมีมิตรภาพส่วนตัวกับเจี่ยงหลงเซียง หมายจะมาพูดจาทวงความเป็นธรรมที่นี่
ว่ากันว่าชายแดนต้าหลีของแจกันสมบัติทวีป ในกลุ่มของกองทัพม้าเหล็กชายแดนเคยมีคำกล่าวว่าบัณฑิตมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีหรือไม่ ฟันดาบใส่เขาทีหนึ่งก็รู้ได้แล้ว
——