กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 797.4 ไม่ไพศาล
หลินจวินปี้ถามเองตอบเอง ถึงอย่างไรสหายสองคนที่อยู่ข้างกายก็ไม่มีทางเดาถูกอยู่แล้ว “คือแม่นางน้อยคนหนึ่งเอ่ยถ้อยคำประโยคหนึ่งที่ไม่เกรงใจกันอย่างมาก นางบอกว่าต่อให้พวกเขาเข้ามาได้ก็ไม่มีทางอยู่ได้หรอก จะต้องถูกพวกเราฟันจนร่อแร่ปางตาย มีหน้ามาแต่ไม่มีความสามารถอยู่ต่อ น่าหัวเราะ น่าสงสาร”
หลินจวินปี้ดึงมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชี้ไปที่ตัวเอง ยิ้มกว้างเจิดจ้า “ตอนที่ข้าเพิ่งไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตามธรรมเนียมของที่นั่นจะต้องผ่านด่านให้ได้สามด่าน แต่ข้าเกือบต้องไสหัวกลับมาแล้ว จะเล่าเรื่องน่าอายอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ปีนั้นเซียนกระบี่ขู่เซี่ยถูกคนหนุ่มสาวหัวทึบอย่างพวกเราเล่นงามเสียอ่วมเลย เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน เคยได้ยินชื่อมาก่อนกระมัง แรกเริ่มก็ยังมีรอยยิ้มให้พวกเราอยู่หรอก มาภายหลังพอเห็นพวกเราก็ราวกับว่าเห็นถังขี้สองขาที่เดินได้อย่างไรอย่างนั้น บอกว่าแค่เปิดปากก็พ่นอาจมออกมา ก็อย่าไปโทษหากคนอื่นเขาจมูกไวได้กลิ่น ต้องโทษที่ขี้เยี่ยวไม่หอมจริงๆ …พวกเจ้าเดาไม่ผิด ก็คือคำเปรียบเปรยอย่างหนึ่งที่หยิบเอามาจากตะกร้าใบใหญ่ของใต้เท้าอิ่นกวานนั่นแหละ”
พวกเจ้าไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางรู้ถึงสายตาที่ไม่ได้ใช้มองคนซึ่งมองมาจากสี่ด้านแปดทิศว่ามีรสชาติเช่นไร
เพียงแต่ประโยคนี้ หลินจวินปี้ข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ได้พูดออกมา
กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังคงอยู่ เพียงแต่ผู้ฝึกกระบี่ล้วนไม่อยู่แล้ว บ้างก็รบตาย บ้างก็ย้ายถิ่น ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลจึงไม่มีโอกาสได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว
หลินจวินปี้ยิ้มถาม “ข้าพูดเรื่องพวกนี้ พวกเจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?”
ฟ่านชิงรุ่นและจ้าวเหยากวงหันมามองหน้ากันเอง รู้สึกว่าถูกเจ้าลูกกระต่ายน้อยหลินจวินปี้หมิ่นเกียรติเข้าให้แล้ว
อายุน้อย ฝีมือการเล่นหมากล้อมสูง ฝ่าทะลุขอบเขตเร็ว หัวไว รูปโฉมหล่อเหลา มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเยาว์ ดุจหยกงามที่ไร้ตำหนิ…ก็สามารถรังแกคนอื่นแบบนี้ได้หรือ?
หลินจวินปี้ดื่มเหล้าไม่หยุด ชามเหล้าเล็ก ทว่าแต่ละชามล้วนดื่มได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงดื่มเหล้าไปสองกาแล้ว
“สงครามที่จะทำต่อจากนี้ หากคิดจะชนะ อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างมาก แค่สองคำ ‘ไม่คาดฝัน’ พวกเราจำเป็นต้องมอบความไม่คาดฝันที่มากพอให้แก่เปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็นปัญหาอย่างมาก พวกเราอย่าได้รู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างทำสงครามแพ้แล้ว พลังต้นกำเนิดเสียหายไปมาก แม้แต่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ก็ยังสูญเสียกันไปเกินครึ่ง พ่ายแพ้ถอยร่นกลับไปแล้วก็เหลือแต่พวกเศษสวะไร้ค่า พวกเราต้องเชื่อมั่นในเรื่องหนึ่ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเองก็มีวีรบุรุษผู้กล้าที่สามารถหยัดยืนขึ้นมา มากอบกู้สถานการณ์อันเลวร้ายท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่ที่บุกโจมตีอย่างดุดันอยู่เช่นกัน”
ถึงอย่างไรก็ดื่มเหล้าไปแล้ว แล้วยังอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบุ๋น ข้างกายยังมีสหายรักที่เข้ากันได้ดี หลินจวินปี้จึงยินดีเอ่ยประโยคไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมากหน่อย
เขาอายุยังน้อย เขากำลังดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้หนึ่งกา นอกจากเขาจะเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วก็ยังเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เบื้องหลังของเขาคือศาลบุ๋นแห่งหนึ่ง
ดังนั้นเขาต้องฉวยโอกาสที่สุรามีฤทธิ์แรง ฉวยโอกาสที่ตัวเองยังไม่อยู่ในตำแหน่งสูง ไม่ถูกกฎเกณฑ์และการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมากมายพันธนาการ เอ่ยถ้อยคำที่วันหน้าอาจจะไม่ยินดีพูดให้มากเกินความจำเป็น
“ทำไมทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป หลิวเสียทวีปสามทวีปนี้ ช่วงหลังของสงครามครั้งก่อนหน้านี้ถึงสามารถเปลี่ยนรากฐานของแต่ละแคว้น ของภูเขาแต่ละลูกให้กลายเป็นพลังการสู้รบได้อย่างรวดเร็ว? สามารถสำแดงข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ตามความหมายที่แท้จริงเป็นครั้งแรก? นั่นก็เพราะได้รับบทเรียนจากใบถง ฝูเหยาและเกราะทองสามทวีปมาก่อน พวกเราถูกจู่โจมจนกลัว ต่อให้เพียงแค่มองไกลๆ แวบเดียวก็ยังเจ็บปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าสามารถวางตัวอยู่นอกเหนือสถานการณ์ กลับกลายเป็นว่าจิตใจคนรวมตัวกันเป็นหนึ่งได้”
“พวกเราสามารถทำได้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ทำได้เช่นเดียวกัน ระดับความดุร้ายจากการที่ปีศาจทุ่มชีวิตอย่างแท้จริง อันที่จริงผู้ฝึกลมปราณของไพศาลยังเรียนรู้มาไม่มากพอ สงครามที่ได้แต่คุมเชิงกันยังคงน้อยเกินไป นอกจากแจกันสมบัติทวีป ดูเหมือนว่าพวกเรามีเพียงสงครามที่ภาคกลางของเกราะทองทวีปเท่านั้นที่สามารถนำมาเป็นบทเรียนได้ แบบนี้จะได้อย่างไร ดังนั้นอีกเดี๋ยวเมื่อเข้าไปในศาลบุ๋นแล้วก็ต้องถามซ่งจ่างจิ้งผู้นั้นโดยตรงไปเลยว่า สกุลซ่งต้าหลีมีการรวบรวมภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาไว้อย่างลับๆ หรือไม่ หากไม่ยินดีนำมามอบให้ผู้อื่นเปล่าๆ ข้าก็จะเสนอแนะเจ้าลัทธิทั้งสามท่านของศาลบุ๋นว่าศาลบุ๋นจำเป็นต้องจ่ายเงินซื้อมา แต่หากให้ตายอย่างไรสกุลซ่งต้าหลีก็ไม่ยอมขาย รู้สึกว่าราคาต่ำเกินไป จะทำตัวเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้าง กล้านั่งลงต่อรองราคา ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้ซ่งจ่างจิ้งได้ออกไปจากศาลบุ๋น…”
จิงเซิงซีผิงมองแผ่นหลังของหลินจวินปี้แล้วพยักหน้าเบาๆ ไม่เสียแรงที่เป็นคนหนุ่มที่เคยอยู่คฤหาสน์หลบร้อนมานานหลายปี
คนหนุ่มดื่มจนเริ่มจะเมามายแล้ว
สีหน้าของหลินจวินปี้สดใสมีชีวิตชีวา ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่ม แต่กลับเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ยังหนุ่ม ดื่มเหล้าไปชามแล้วชามเล่า ใบหน้าจึงแดงเล็กน้อย สายตาเป็นประกายระยิบระยับ “ข้าไม่นับถืออาเหลียง แล้วข้าก็ไม่นับถือจั่วโย่ว แต่ข้านับถือเฉินผิงอัน นับถือโฉวเหมียว”
คำพูดประโยคนี้ก็เพราะว่ามีอาเหลียงและจั่วโย่วอยู่ข้างกาย ข้าถึงได้พูด
เวทกระบี่ของพวกเขาเลิศล้ำค้ำฟ้า คุณความชอบทางการสู้รบเกรียงไกร สามารถค้ำยันท้องฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาได้ แต่พวกเขากลับไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถ หรือควรจะพูดว่าไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีซ่อมแซมแผ่นฟ้าที่เป็นรูรั่วไปทีละนิด
จั่วโย่วสันโดษเกินไป
อาเหลียงรักอิสระเกินไป
อาเหลียงหัวเราะ
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์
อาเหลียงพลันเกิดอารมณ์อยากจะดื่มเหล้าขึ้นมาแล้ว
บนถนนใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนถนนเจอกับต่งซานเกิง แค่เรียกชื่ออีกฝ่ายก็พอ อย่างมากก็แค่ถูกฝ่ามือหนึ่งตบจนปลิวกระเด็นไปเท่านั้น
อยู่ในใต้หล้าไพศาล เจอกับเทพเซียนผู้อาวุโสทั้งหลายอย่างฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่ ไม่รู้ว่ามีคนหนุ่มสาว คนรุ่นเยาว์หรือแม้กระทั่งคนแก่ ผู้ฝึกตนบนยอดเขากี่มากน้อยที่รู้สึกกระวนกระวาย ยามพูดจาก็เสียงสั่น มีทั้งความรู้สึกที่เลื่อมใส ทั้งเคารพยำเกรง ทั้งเกิดใจอยากประจบสอพลอ ทั้งอิจฉาริษยา
อาเหลียงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าเด็กหลินจวินปี้ผู้นี้ หากจะพูดให้ถูกก็คือเขาเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสายหย่าเซิ่งไม่ใช่หรือ?
หลินจวินปี้เรอออกมา ใบหน้าแดงก่ำ พูดลิ้นพันกัน “เกินครึ่งข้าคงไม่ไหวแล้ว ต้องนอนพักสักเดี๋ยว พวกเจ้ากลับไปประชุมข้างในกันก่อน ไม่ต้องสนใจข้า ให้ข้าได้งีบหลับสักครู่ อีกเกือบๆ ครึ่งชั่วยาม หากข้ายังไม่ฟื้น พวกเจ้าใครก็ได้ค่อยมาปลุกข้าอีกที”
แล้วก็เริ่มยกชามเหล้าขึ้นมาอีก ถึงอย่างไรก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับเข้าไปข้างใน ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มให้มากขึ้นหลายๆ ชามหน่อย
ฟ้าดินกว้างใหญ่ การประชุมในประตูใหญ่ขาดจวินจีหลางตัวเล็กๆ ของศาลบุ๋นอย่างเขาไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก
เมาหลับฟุบอยู่บนขั้นบันได ส่งเสียงกรนครอกๆ เสียงกรนราวกับเสียงฟ้าผ่า โอกาสเช่นนี้ คาดว่าชั่วชีวิตนี้คงมีเพียงครั้งเดียวแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมให้ดี
จ้าวเหยากวงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับฟ่านชิงรุ่น “พี่ฮวาหนง เจ้ากลับเข้าไปข้างในก่อน ข้าจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนจวินปี้เอง เมาหลับไปย่อมไม่เป็นไร ขออย่าให้เมาอาละวาดก็พอ ในท้องของเจ้าเด็กนี่เก็บกลั้นคำพูดไว้มากเกินไป จะปล่อยให้เขาพูดหมดทีเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าพวกเราสามคนมารวมตัวดื่มเหล้าด้วยกันอีกครั้งก็คงไม่ได้เห็นภาพที่น่าสนุกเช่นนี้อีกแล้ว”
ฟ่านชิงรุ่นยิ้มพลางลุกขึ้นเดินจากไป
หลินจวินปี้ส่งเสียงเรอไม่หยดุ ก้มหน้าเหม่อมองชามเหล้าในมือ มิน่าเล่าสุราของร้านเหล้าถึงขายได้ดีนัก ดื่มชามเล็กๆ เต็มชาม เปี่ยมไปด้วยความองอาจห้าวหาญ ‘ข้าดื่มหมดแล้ว เจ้าจะดื่มหรือไม่ก็ตามใจ’ อันที่จริงเหล้าชามหนึ่งดื่มหมดแล้ว ฤทธิ์เหล้าก็ไม่แรงสักเท่าไร ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ได้คอแข็ง เมื่อดื่มเหล้าชามนั้นไป ทุกคนล้วนองอาจห้าวหาญ แน่นอนว่ายิ่งดื่มก็ยิ่งมีมาดของวีรบุรุษ
ตามกฎของร้านเหล้า ถามกระบี่สามารถแพ้ได้ แต่ถามสุราไม่อาจขี้ขลาดได้
ถามกระบี่แพ้เป็นเพราะตอนนี้เวทกระบี่ของพวกเรายังไม่สูง แต่หากอยู่บนโต๊ะเหล้า ถามสุรากับคนอื่นแล้วยังไม่ได้ความ ก็คือปัญหาเรื่องนิสัยใจคอ ไม่มีข้ออ้างอย่างอื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มีชะตาที่ต้องเป็นโสดตลอดชีวิต ดื่มเหล้าแต่ละครั้งได้แต่ยืมเงินคนอื่นเท่านั้น
ได้ยินว่าถึงท้ายที่สุดยังมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งได้รวบรวมเอาข้อดีของร้อยสำนักมาเรียบเรียงเป็นสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่ง สามสิบหกเคล็ดลับที่ยุให้ผู้อื่นดื่มเหล้าไม่หยุดโดยที่ตัวข้าไม่ล้มลงก่อน ทุกครั้งก่อนจะไปดื่มเหล้าที่ร้าน ทุกคนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง ผลคือทุกครั้งล้วนนอนกองกันอยู่ใต้โต๊ะ เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง เพราะถึงอย่างไรก็แค่สมุดบางๆ เล่มหนึ่งที่ราคาไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ ผีพนันผีขี้เหล้าและพวกคนโสดทั้งหลายที่ไปดื่มเหล้าที่นั่น มีใครบ้างที่ไม่เคยอ่าน ไม่เคยเปิดดูมาก่อน?
ตอนที่นั่งลงบนโต๊ะเหล้า ข้าก็ไร้ศัตรูเทียมทานแล้ว
ตอนที่สร่างจากสุรา ถูกสหายแบกขึ้นหลังเดินโซเซกลับไปบ้าน หรือนอนอยู่ใต้โต๊ะด้วยกัน หรือไม่ก็ขดตัวนอนอยู่ในมุมกำแพงริมถนน ก็จะรู้สึกว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้วตลอดชีวิต จ่ายเงินทำร้ายร่างกายตัวเองแล้วยังต้องขายหน้า ไม่มีความหมายอะไรเลยจริงๆ
ผลคือรอให้ฤทธิ์สุราผ่านไป ก็แค่ต้องสื่อสารทางสายตากับสหายเท่านั้น
‘ไป?’
‘ตกลง!’
ดูเหมือนว่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ การดื่มเหล้าเป็นเช่นนี้ สนามรบก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หลินจวินปี้กรอกเหล้าเข้าปากแรงๆ อีกหนึ่งอึก จากนั้นก็กลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวพ่นพรวดออกมาจากปาก หงายหลังผลึ่ง สลบเหมือดไปทันที
ลู่จือดื่มเหล้าไปแล้วก็เก็บกาเหล้าไว้ในชายแขนเสื้อ กลับเข้าไปประชุมในศาลบุ๋นต่อ แค่ฟังไปก็พอ
ฉีถิงจี้ตามลู่จือกลับเข้าไปนั่งด้วย
อาเหลียงขยับย้ายตำแหน่งไปนั่งอยู่ข้างหลินจวินปี้และจ้าวเหยากวงครู่หนึ่ง จะได้ปรึกษากับเทียนซือน้อยของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้ดี แบ่งส่วนแบ่งห้าต่อห้า ย่อมไม่ได้แน่นอน
ก่อนจะหวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียงจะต้องไปเยือนจวนเทียนซือก่อนรอบหนึ่ง ดูเหมือนยังไม่เคยไปภูเขามังกรพยัคฆ์มาก่อน เคยไปไหม? ไม่กระมัง ขนาดแม่นางเลี่ยนเจินยังไม่เคยได้พบหน้ากัน จะเคยไปภูเขามังกรพยัคฆ์ได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นไปแล้วก็เท่ากับว่าไม่เคยไป
จั่วโย่วยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งอยู่เพียงลำพัง คนที่ออกมาดื่มเหล้ามีกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาแล้วชวนเขาคุย แม้แต่คำทักทายสักคำก็ยังไม่มี
จั่วโย่วผู้นี้
เวทกระบี่สูงเกินไป นิสัยแย่เกินไป
จิงเซิงซีผิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูยิ้มเอ่ย “จั่วโย่ว ศิษย์น้องเล็กคนนั้นของเจ้ากำลังซ้อมเจี่ยงหลงเซียง”
จั่วโย่วเพียงแค่ถามว่า “ที่นั่นมีขอบเขตบินทะยานที่คิดจะใช้เหตุผลกับศิษย์น้องเล็กของข้าหรือไม่? ต่อให้ไม่ได้อยู่ใกล้ เป็นขอบเขตบินทะยานที่มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ไกลๆ ก็ได้เหมือนกัน”
จิงเซิงซีผิงพยักหน้า “มีขอบเขตบินทะยานสองคน ล้วนไม่สนใจการลงมือของศิษย์น้องเล็กเจ้าสักเท่าไร”
อยู่กับซิ่วไฉเฒ่าที่สวนกงเต๋อนานวันเข้าย่อมเลี่ยงที่จะติดนิสัยเสียๆ มาไม่ได้
ถึงอย่างไรก็ล้วนไม่ต่างจากหนันกวงจ้าวสักเท่าไร เป็นขอบเขตบินทะยานที่ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น
คนหนึ่งคือผู้มีความรู้ของลัทธิขงจื๊อที่เคยหัวเราะเยาะทักษินาตยทวีป บอกว่าเฉินฉุนอันตายไม่ถูกเวลา ไม่ฉลาดมากพอ อีกคนหนึ่งเคยถูกโจวเสินจือฟันมาก่อน ดังนั้นจึงเคยไปเยือนถ้ำซานสุ่ยเงียบๆ มารอบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่บนซากปรักสนามรบแห่งนั้น รอยยิ้มของผู้ฝึกตนเฒ่าค่อนข้างจะคลุมเครืออยู่บ้าง
อันที่จริงในหลายๆ เรื่องใช่ว่าศาลบุ๋นจะไม่รับรู้ แต่เพราะมอบอิสระให้กับผู้ฝึกตนบนภูเขามากเกินไป ศาลบุ๋นพิถีพิถันกับเรื่องถามการร่องรอยไม่ถามใจมากเกินไปแล้ว
ดังนั้นการประชุมบนยอดเขาภูเขาสุ้ยซานก่อนหน้านี้ ผู้ที่เข้าร่วมประชุมจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่า บวกกับจิงเซิงซีผิงที่จำแลงมาจากตำราเล่มที่อยู่ในมือของปรมาจารย์มหาปราชญ์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนั้นหลี่เซิ่งรับปากกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วยตัวเองเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นข้าที่คร่ำครึเกินไป ได้แต่ใช้สายตาของล่างภูเขามามองคนบนยอดเขา เป็นความผิดของข้าเอง
มองบัณฑิตที่ประสานมือคารวะยอมรับผิด
ตอนนั้นจิงเซิงซีผิงที่อยู่บนยอดเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก
จากนั้นเป็นหย่าเซิ่งที่ยอมรับผิดในเรื่องอื่นๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็ยอมรับผิด ราวกับว่าทุกคนล้วนมีความผิด
ดังนั้นในเวลานี้จิงเซิงซีผิงจึงเอ่ยกับจั่วโย่วว่า “เชิญลงมือได้ตามสบาย ข้าจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่เหลือให้เอง”
จั่วโย่วกล่าว “บอกสถานที่ที่แน่ชัดมา ตราผนึกของศาลบุ๋นมีมากเกินไป ข้าคร้านจะไล่หา”
จิงเซิงซีผิงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที แสงสว่างสองจุดเปล่งวาบแล้วก็หายไป ช่วยนำทางให้
ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานสองคน คนหนึ่งอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ย ถูกห้อมล้อมราวกับดวงจันทร์ที่ถูกล้อมด้วยดวงดาว ยิ้มแย้มพูดคุยสนุกสนาน คนหนึ่งอยู่บนเกาะนกแก้ว กำลังปิดประตูปรึกษากับสหายรักบนภูเขา ว่าควรจะหาเงินในใบถงทวีปอย่างไร ก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ช่วยเหลือกันและกัน
หากวันนี้พวกเขาเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋นแล้วรู้ว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาทั้งห้าท่านออกมาจากประตูใหญ่ของศาลบุ๋นได้อย่างไร ไม่ว่าจะพูดจาหรือทำอะไรก็คงจะระมัดระวัง จะต้องพูดจาอย่างรอบคอบกว่าเดิมเยอะมาก
จั่วโย่วลุกขึ้นยืน ปลดกระบี่พกลงมาแล้วพลันชักออก กระบี่ยาวกับฝักกระบี่แบ่งหนึ่งออกเป็นสอง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา แยกกันไปยังอำเภอพ่านสุ่ยและเกาะนกแก้ว
จั่วโย่วลำบากใจ จะฟันคนไหนก่อนดี
——