กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 798.3 จริงดังคาด
นอกจากนี้ยังมีชื่อเยี่ยนโพ่กับฉวีเซียนที่ต่างก็เป็นชื่อที่นางค่อนข้างชื่นชอบ
ส่วนราชินีร้อยบุปผากับเทพอวี้เซียวนั้น เป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่เกินไป บัณฑิตของไพศาลตั้งให้ นางไม่กล้านำมาใช้ ได้แต่ชื่นชอบอยู่กับตัวเอง แกะสลักไว้บนตราประทับหนังสือและหยกประดับ
ส่วนอี้สื่อนั่น…ช่างเถิด ฟังแล้วเชยไปหน่อย
ฉินจ่าวยิ้มถาม “ไปดูที่หินจารึกซีผิงหน่อยไหม?”
นางพยักหน้าตอบตกลง
เหนียงเนียงเทพีบุปผาท่านนี้สนิทสนมกับซานจวินหลายท่าน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาจิ่วอี๋ที่ในภูเขามีต้นชางผู (ชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง) มากมาย บนภูเขาก็มีต้นเหมยอยู่เยอะ ส่วนเทพีบุปผาสุ่ยเซียนที่เป็นหนึ่งในเทพีบุปผาเจ้าชะตาของพื้นที่มงคลเหมือนกันกลับมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับสุ่ยจวินของห้าขุนเขา สาเหตุเป็นเพราะความใกล้ชิดบนมหามรรคา ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกันเพราะไร้ประโยชน์
เคยมีมือกระบี่คนหนึ่งแอบไปเยือนพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ได้เอ่ยทวงความเป็นธรรมให้แก่นาง เขานั่งอยู่บนหัวกำแพงเรือน โหวกเหวกว่าลมวสันต์ไม่รู้จักรักและถนอม ปล่อยให้หิมะกดทับน้ำค้างรังแก พี่สาวท่านวางใจเถิด สักวันหนึ่งต่อให้ข้าต้องย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกเดินไปทั่วไพศาลก็จะต้องช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้พี่สาวให้จงได้
ตอนแรกก็มองว่าคนผู้นั้นเป็นพวกอันธพาลเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ภายหลังนางถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจเขาผิด เขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
น่าเสียดายที่ครั้งนี้มีงานเลี้ยงสุราหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้เห็นหน้าชายเสเพลที่ชอบเดินทางไกลไปทั่วผู้นั้น
เหยียนเก๋อมาถึงจวนบนภูเขาอ๋าวโถวแล้ว หนันกวงจ้าวสะบัดเสื้อหนึ่งทีก็พลันฟื้นคืนสติ ผู้เฒ่ายืนอยู่ในลานบ้าน ดวงตาคู่นั้นสาดประกายเจิดจ้า เก็บชุดคลุมน้ำที่เป็นอาวุธเซียนลงไป
พูดถึงแค่เรื่องของการซ่อมแซมก็จำเป็นต้องใช้เงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่แล้ว ที่ยุ่งยากยิ่งกว่านั้นไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่แม่น้ำลำคลองที่ผ่านการหล่อหลอมซึ่งถูกนักพรตเนิ่นโจมตีจนแหลกสลายไป
เวลานี้หนันกวงจ้าวหรือจะยังมีท่าทางของคนบาดเจ็บสาหัสอยู่อีก
ทำเอาเหยียนเก๋อที่มองดูอยู่หวาดผวาเล็กน้อย
อันที่จริงหนันกวงจ้าวบาดเจ็บไม่เบาจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ยินดีจะบอกแก่เหยียนเก๋อก็เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในฟ้าดินเล็ก นักพรตเนิ่นมอบทางเลือกให้เขาแค่ทางเดียว หากไม่แกล้งตายก็ต้องถูกเขาตีจนตายทั้งเป็น หากรู้จักกาลเทศะเลือกอย่างแรก กลับไปถึงเกาะยวนยางจำไว้ว่ายังต้องเสแสร้งแกล้งทำอีกสักพักหนึ่ง
ตอนที่นักพรตเนิ่นเอ่ยประโยคพวกนี้ได้เผยร่างจริงออกมา กรงเล็บข้างหนึ่งกดร่างกายธรรมของเขาเอาไว้ ปากก็อ้ากัดหัวกายธรรมของหนันกวงจ้าวเช่นกัน
แม้ว่าในใจของเหยียนเก๋อจะตะลึงระคนประหลาดใจ แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจว่า “หนันเซียนซือ เป็นผู้เยาว์ที่ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นแล้ว”
หนันกวงจ้าวย่อมเข้าใจชัดเจนดีว่าเหยียนเก๋อเป็นคนอย่างไร แต่ครั้งนี้เจอกับหายนะใหญ่บนเกาะยวนยาง ไม่เพียงแต่มหามรรคาถูกทำลาย หน้าตายังหมดสิ้นไม่มีเหลือ
ข้างกายมีเซียนเหรินเหยียนเก๋ออยู่ด้วย ถึงอย่างไรในใจก็รู้สึกดีได้หลายส่วน
หนันกวงจ้าวจึงพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “รบกวนแล้ว”
เหยียนเก๋อทำสีหน้าตกตะลึงที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดฝัน กุมหมัดเอ่ยว่า “มิกล้า”
หนันกวงจ้าวพูดเข้าประเด็นทันที “เลือกลูกศิษย์ตระกูลเหยียนสักสองสามคนให้ไปฝึกตนที่ภูเขาบ้านข้า”
มารดามันเถอะ เจ้าอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้ หากหลังจบเรื่องไม่มีท่าทีอะไรเลย ข้าผู้อาวุโสก็จะให้หอเซียนจิ่วเจินของเขาเจอดีเสียบ้าง!
เหยียนเก๋อกุมหมัดก้มหน้า “มิกล้ารบกวนหนันเซียนซือ ทางฝั่งตระกูลของผู้เยาว์มีเพียงเหยียนลี่ที่คุณสมบัตินับว่าพอใช้ได้ ควรค่าแก่การชี้แนะสองสามประโยคยามที่หนันเซียนซือมีเวลาว่าง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นวาสนายิ่งใหญ่ของเด็กคนนี้แล้ว”
อันที่จริงเหยียนเก๋อเห็นดีในตัวเหยียนลวี่มากที่สุด เพราะว่าเจ้าเด็กนั่นคือผู้ฝึกกระบี่ แล้วยังเคยไปฝึกประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน แต่เหยียนเก๋อก็ไม่ใช่คนโง่ เวลานี้ส่งผู้ฝึกกระบี่ให้กับหนันกวงจ้าวเป็นเรื่องดีเสียที่ไหน
ดังนั้นถือว่าเจ้าเหยียนลี่ผู้นั้นได้เปรียบไปเปล่าๆ แล้ว
ประกายสายตาของหนันกวงจ้าวกะพริบวูบวาบ ปีนั้นท่ามกลางแผนการพิลึกพิลั่น อวิ๋นเหมี่ยวได้แอบหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าอาจารย์ปิดด่านเป็นตาย โชคร้ายต้องสละร่างจากไป อวิ๋นเหมี่ยวกับคู่รักของเขา ชายหญิงสุนัขคู่นี้ได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนั้นไปก็นึกไปเองว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น คิดว่าเขาเป็นคนโง่จริงๆ หรือไร ถึงได้มองเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของหอเซียนจิ่วเจินไม่ออก? อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิชาให้กับอวิ๋นเหมี่ยวเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่ารักชีวิตจะตายไป
ส่วนเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่ได้ตรงกลับไปยังที่พักบนภูเขาอ๋าวโถว
เขาพลิ้วกายลงบนพื้นของแม่น้ำตอนล่างเกาะยวนยาง สะบัดชายแขนเสื้อ โยนหลี่ชิงจู๋ลงพื้น จากนั้นค่อยโบกชายแขนเสื้อสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นมา
อวิ๋นเหมี่ยวไม่พูดไม่จา สายตาเยียบเย็น มองลูกศิษย์ผู้ที่เคยเป็นที่ภาคภูมิใจของตน
หลี่ชิงจู๋ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงขีดสุด “อาจารย์ เซียนกระบี่ท่านนั้นสติวิปลาสไปแล้ว…”
อวิ๋นเหมี่ยวสะบัดชายแขนเสื้อตบจนร่างของหลี่ชิงจู๋หมุนคว้างกระแทกลงกับพื้น แล้วจึงกระชากอีกฝ่ายขึ้นมา ตบหลิงจือหยกขาวลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ทำให้ร่างอีกฝ่ายนอนแนบติดพื้น
หลี่ชิงจู๋นอนคว่ำอยู่บนพื้น กระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ
อวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะหยันเย็นชา “ทำไม ทวงความเป็นธรรมจากข้าไม่ได้ก็เลยคิดจะไปฟ้องอาจารย์แม่ของเจ้างั้นรึ?”
หลี่ชิงจู๋พูดเสียงสั่น “มิกล้า ศิษย์ไม่กล้าสร้างปัญหาใดๆ ให้กับทางสำนักอีกแล้ว”
อวิ๋นเหมี่ยวหันหน้าไปมองภูเขาอ๋าวโถวแวบหนึ่ง
เริ่มกังวลเกี่ยวกับเจ้าตะพาบหนันกวงจ้าวขึ้นมาแล้ว
สีหน้ามองดูเหมือนมีเมตตาปราณี ก็แค่แสร้งวางมาดภูมิฐานไปอย่างนั้นเอง
ไม่อย่างนั้นจะเป็นสหายกับอาจารย์ของเขาได้หรือ? จะเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องมาได้นานหลายปีหรือ? ตามคำกล่าวของอาจารย์ ในอดีตมีหลายครั้งที่จับมือกับหนันกวงจ้าวไปตามหาร่องรอยเซียนในจวนเทพ หรือไม่ก็ในซากปรักพื้นที่ลับ หนันกวงจ้าวไม่ลงมือยังไม่เท่าไร แต่พอลงมือขึ้นมาก็อำมหิตไร้ปราณี อีกทั้งยังต้องตัดรากถอนโคน ไม่มีทางทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังเด็ดขาด ปีนั้นอาจารย์พูดด้วยรอยยิ้มบอกว่า หากไม่เป็นเพราะขอบเขตเท่ากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีวิธีการก้นกรุที่ซุกซ่อนเอาไว้ ตนก็ไม่กล้าเดินทางไปร่วมกับหนันกวงจ้าวจริงๆ
อวิ๋นเหมี่ยวดึงสายตากลับคืน ตวาดด่าลูกศิษย์ที่อยู่บนพื้น “สมกับเป็นเศษสวะจริงๆ แม้แต่เด็กสาวขอบเขตโอสถทองของสำนักกระบี่เหมยซานคนหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้! ลูกเล่นแพรวพราวพวกนั้นของเจ้าล่ะ ไม่ใช่ว่าเอามาใช้กี่ครั้งก็ไม่เคยพลาดหรอกหรือ แล้วยังกล้าพูดว่าขอแค่เป็นสตรี ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังถูกเจ้าคว้ามาไว้ในมือได้? เจ้าคิดว่าบัญชีระยำสกปรกที่เจ้าสร้างไว้ ศาลบรรพจารย์ของหอเซียนจิ่วเจินจะไม่รู้จริงๆ หรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหูตาของสกุลซ่งจัวลู่ล้วนรู้เรื่องพวกนี้ชัดเจนดี ทั้งยังมีการจดบันทึกเอาไว้นานแล้ว สามารถเอาออกมาสร้างความลำบากใจให้กับหอเซียนจิ่วเจินได้ทุกเมื่อ?!”
หลี่ชิงจู๋ยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ศิษย์ทำอะไรล่างภูเขายังรู้จักหนักเบาอยู่บ้าง สตรีเหล่านั้นสุดท้ายแล้วล้วนยอมตายถวายชีวิตให้กับศิษย์ สกุลซ่งจัวลู่ไม่อาจเอาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาฉวยโอกาสสร้างความลำบากใจให้กับอาจารย์ได้หรอกขอรับ”
อวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะหยัน “อาศัยเวทย้ายวิญญาณปลายแถวนั่นน่ะหรือ? หรืออาศัยยันต์นอกรีตที่ไม่อาจเอาออกมาโอ้อวดได้พวกนั้น? ช่างมีความสามารถยิ่งใหญ่เสียจริง เจ้ายังมีหน้ามาพูด?!”
หากไม่เป็นเพราะหอเซียนจิ่วเจินต้องการให้ลูกศิษย์คนนี้ทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กนี่ก็คิดจริงๆ หรือว่าอาจารย์แม่โปรดปรานเขายิ่งกว่าใคร?
ผู้ฝึกกระบี่หญิงของสำนักกระบี่เหมยซานผู้นั้นมีชื่อว่าสวี่ซินย่วน คือหลานสาวสายตรงของเจ้าประมุขคนปัจจุบัน นางยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพจารย์ภูเขาเหมยซานด้วย สตรีผู้นี้ดวงดีอย่างถึงที่สุด ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถูกหลิ่วโจวแห่งภูเขาเจ๋อเซียนที่ไม่ฝึกกระบี่หันไปเล่นหมากล้อมแทนผู้นั้นหมายตาในฐานกระดูกด้านการฝึกตน ยอมแหกกฎรับนางเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ สามอย่างทับซ้อนกัน สวี่ซินย่วนที่อยู่บนภูเขาก็คือคนเนื้อหอมที่ขึ้นชื่อ
ซึ่งก็หมายความว่าหากหลี่ชิงจู๋สามารถผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับสวี่ซินย่วนได้จริง ก็จะไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่สองสำนักแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันเท่านั้น อวิ๋นเหมี่ยวย่อมมีวิธีที่จะค่อยๆ วางแผนอย่างระมัดระวัง ประคับประคองลูกศิษย์ผู้นี้ ภายในเวลาห้าร้อยปีต้องทำให้สำนักกระบี่เหมยซานเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่หลี่ จากนั้นค่อยตกมาอยู่ใต้อาณัติของหอเซียนจิ่วเจินอย่างเงียบเชียบ
อวิ๋นเหมี่ยวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาก็หัวเราะหยันเสียงเย็นชา
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ริมลำคลอง สตรีของอารามดอกเหมยผู้นั้นใจดำที่สุด คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ พอเห็นว่าหลี่ชิงจู๋มีมาดมีเสน่ห์ก็ชื่นชอบ พอกลายเป็นไก่ตกน้ำก็ผิดหวังอย่างหนัก คาดว่าวันหน้าได้พบเจอกันอีกครั้งคงไม่คิดอยากมาตอแยใกล้ชิดกับหลี่ชิงจู๋อีกแล้ว
กลับเป็นสวี่ซินย่วนผู้นั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีสีหน้าดีๆ อะไรให้หลี่ชิงจู๋เห็น คิดไม่ถึงว่าพอเขาเจอกับเรื่องยากลำบาก นางกลับกลายเป็นว่าเกิดใจเวทนา? ไม่พอใจเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นอย่างมาก รู้สึกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน แต่กลับทำอะไรกำเริบเสิบสานเกินไป? สตรีกลับไม่รู้เลยว่า คนผู้นั้นต่างหากที่เท่ากับว่าช่วยหญิงโง่อย่างเจ้าทางอ้อม ช่วยให้ควันธูปของสำนักกระบี่เหมยซานได้สืบทอดต่อไป มรสุมที่เกิดขึ้นบนเกาะยวนยางครั้งนี้ ทำให้แผนลับนี้ของหอเซียนจิ่วเจินเหมือนหลี่ชิงจู๋ที่ต่างก็กระดอนหายไปบนผิวน้ำแล้ว
ต่อให้สวี่ซินย่วนจะโง่ แต่พวกคนเฒ่าคนแก่ของสำนักกระบี่เหมยซานกลับไม่โง่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้นางกับคนผู้หนึ่งที่กลายเป็นตัวตลกได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากันแน่นอน
สุดท้ายอวิ๋นเหมี่ยวถอนหายใจยาวเหยียด มหามรรคาช่างแปรปรวนไม่แน่นอน
สีหน้าของเซียนเหรินท่านนี้คลายโทสะลงแล้วหลายส่วน “ชิงจู๋ เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ”
หลี่ชิงจู๋ลุกขึ้นยืน ก้มหัวคารวะลงต่ำ สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “ศิษย์สร้างความวุ่นวายให้กับอาจารย์แล้ว ต่อให้ตายเป็นร้อยรอบก็ยังมิอาจไถ่ถอนความผิดนี้ได้”
อวิ๋นเหมี่ยวดึงเอาหลิงจือหยกขาวออกมา ยื่นมือไปประคองเขาแบบไม่โดนตัว “เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจครั้งหนึ่งแล้วกัน ใช่แล้ว เดินไปคุยกันไป เจ้าลองเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ข้าฟังทีละเรื่องสิ อย่าปล่อยให้มีเรื่องใดหลุดรอดไป”
หลี่ชิงจู๋เช็ดน้ำตาแล้วเริ่มทบทวนเรื่องนี้อีกรอบ บอกว่าตัวเองเหมือนถูกผีบังใจ ราวกับว่าเวลานั้นพูดจาอะไรไปไม่ได้ผ่านสมอง ด้วยนิสัยของเขาปกติต้องไม่มีทางท้าทายเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่นอน
จิตใจอวิ๋นเหมี่ยวสั่นสะเทือน
จริงดังคาด!
เป็นเจ้านครเจิ้งที่ตนเลื่อมใสบูชาคนนั้นจริงเสียด้วย
การปรากฏตัวกะทันหันของหลิ่วเต้าฉุนผู้นั้นเป็นเพียงเวทอำพรางตาอย่างที่คิดจริงๆ
รอกระทั่งอวิ๋นเหมี่ยวพาหลี่ชิงจู๋กับไปถึงภูเขาอ๋าวโถวด้วยกันก็พลันได้ข่าวที่น่าตะลึงพรึงเพริดของท่าเรือเวิ่นจิน
อวิ๋นเหมี่ยวอึ้งงันไร้คำพูด ความเคารพยำเกรงในใจเพิ่มพูนจนเพิ่มไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เจ้านครเจิ้งที่ถ่อมตนแด่บรรพชนทั่วหล้า ช่างหลอกลวงคนใต้หล้าได้ลงคอ!
หากนี่ยังไม่ใช่เจิ้งจวีจงอีก ยังจะเป็นใครไปได้?
ร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้ว เงินทองไหลมาเทมาราวกับสายน้ำไหล
เทพธิดาอายุน้อยหลายคนที่แต่งกายฉูดฉาดดุจบุปผาสยายกิ่งก้านได้ออกมาท่องเที่ยว ได้ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ แล้วก็ถือโอกาสได้ผูกมิตรกับคนหนุ่มมากความสามารถบนภูเขาไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
ซานจวินแคว้นเล็กท่านหนึ่งของหลิวเสียทวีปตรากตรำมาถึงที่นี่ก็เพื่อขอให้ฝูลู่อวี๋เซียนสลายยันต์กลางอากาศที่ประคองภูเขาลูกนั้นเอาไว้
นักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมาจากอารามจิงเหว่ย เจอกับครอบครัวชาวบ้านครอบครัวหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับศาลบุ๋น บอกว่าบรรพจารย์บ้านข้าถูกใจฐานกระดูกของลูกบ้านพวกเจ้า มีวาสนาของเซียน เหมาะแก่การฝึกตนหล่อเลี้ยงบำรุงลมปราณอยู่บนภูเขา
พ่อแม่ของเด็กชายมีหรือจะกล้ามอบบุตรชายคนเดียวของบ้านให้คนอื่น หลังจากยืนยันซ้ำหลายรอบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นักต้มตุ๋น ยังลากเอาเซียนซือจากกลางทางซึ่งมองแล้วนิสัยน่าจะไม่แย่มาถาม ไปหาอาจารย์ในโรงเรียน แล้วจึงไปยังที่ว่าการของอำเภอมาอีกรอบ ตรวจสอบเอกสารผ่านด่าน ทำเนียบจวนเซียนของอีกฝ่ายอย่างละเอียดถึงมั่นใจในเรื่องนี้ว่าน่าจะไม่ใช่คนชั่วที่มาหลอกลวงจริงๆ ได้รู้ว่าเป็นอารามจิงเหว่ยที่แค่ฟังชื่อก็ฟังดูมีพลังอำนาจอย่างมาก แล้วยังเป็นจวนเซียนลัทธิเต๋าที่มีอักษรจงในชื่ออีกด้วย?
เด็กชายที่มึนงงสับสนมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ด้านล่างรูจมูกคล้ายกับมีมังกรเขียวสองตัวห้อยอยู่
นักพรตที่มีฐานะเป็นเจ้าอาราม เขาก็คือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งแผ่นดินกลาง อารามจิงเหว่ยเองก็เป็นหนึ่งในหนึ่งภูเขาสามสำนัก
มีคนไปคัดลอกตัวอักษรบนป้ายจารึกซีผิงของศาลบุ๋น แล้วก็มีบางคนที่คิดว่าการคัดลอกคัมภีร์ยุ่งยาก จึงซื้อฉบับสำเนาคัดลอกมาจากร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงโดยตรง มีคนที่หัวไวกว่านั้น ถึงกับจ่ายเงินเชิญบัณฑิตคนหนึ่งให้มาคัดลอกตำรา ช่วยคัดลอกอักษรบนป้ายศิลาเพื่อหาเงินโดยเฉพาะ เมื่อเทียบกับฉบับสำเนาที่ซื้อมาแล้วมีความหมายมากกว่าหน่อย หากบัณฑิตที่ตกอับยากจนชั่วคราวพวกนี้ วันหน้าได้กลายเป็นอริยะปราชญ์แห่งศาลบุ๋น เป็นวิญญูชนแห่งสำนักศึกษา ไม่แน่ว่าอาจยังเอามาทำเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลได้ด้วย
ทางฝั่งของอำเภอพ่านสุ่ย มีผู้ฝึกลมปราณจำนวนไม่น้อยซื้อตำราไปหลายเล่ม ราคาถูกจนชวนให้คนโมโห ไม่มีพื้นที่ให้เอาเงินเทพเซียนมาใช้เลยด้วยซ้ำ จะเรียกว่าจ่ายเงินได้หรือ? ซื้อหนังสือ สัมผัสกลิ่นอายของตัวอักษรให้มากหน่อย กลับไปถึงบ้านเกิดจะได้เอาไปมอบให้คนอื่น ของขวัญเบาน้ำใจหนัก อีกอย่างสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตำราพวกนี้เคยมีอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชาท่านใดหรือผู้ฝึกตนบนยอดเขาท่านใดเคยลูบเคยสัมผัสมาก่อนหรือไม่?
เดินทางมาศาลบุ๋นครั้งนี้ ทุกคนล้วนไม่ได้มาเสียเที่ยว โดยเฉพาะผู้ฝึกตนหญิงที่อายุน้อยทั้งหลายที่ยิ่งตื่นเต้นดีใจราวกับว่าได้ฝ่าทะลุขอบเขตทุกวัน
หลิ่วชีผู้นั้นช่างสง่างามไร้ใดเปรียบเสียจริง ตรงเอวเหน็บกิ่งหลิวหนึ่งกิ่ง คือเจ๋อเซียนที่สุดในโลกมนุษย์
ฟู่จิ้นจักรพรรดิขาวน้อยท่านนี้ก็ยิ่งสมคำเล่าลือ ไม่ทำให้สตรีผิดหวัง ได้พบเจอแล้วก็ยิ่งเทใจให้
ส่วนเฉาสือ ยามที่ยิ้มขึ้นมาก็ช่างทำให้คนหลงใหลยิ่งนัก
สวี่ป๋ายที่อายุน้อยๆ ก็มีกลิ่นอายเซียนลอยพลิ้ว ไม่ผิดต่อฉายาสวี่เซียนเลยสักนิด
เพราะสวี่ป๋ายเป็นฝ่ายรับคำท้าอยู่ที่ภูเขาอ๋าวโถว ดังนั้นจึงเป็นคนที่พบเจอได้ง่ายที่สุด เฉาสือกับสหายก็เคยมาปรากฎตัวที่ภูเขาอ๋าวโถว ฟู่จิ้นเคยเล่นหมากล้อมกับอวี้ชิงชิงหนึ่งตา แน่นอนว่าเป็นการยอมต่อให้ ในฐานะคนที่ฝีมือสูงกว่าอย่างสมชื่อจริงแท้ ฟู่จิ้นยอมให้อวี้ชิงชิงสองเม็ด มาดนั้นช่างไม่ธรรมดา ประดุจเทพเซียนที่นั่งปักหลักอย่างมั่นคง มีท่วงทำนองว่า ‘นอกจากอาจารย์แล้ว ข้าก็ไร้ศัตรูทัดทาน’ หลิ่วชีเคยโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะยวนยางยามค่ำคืน ดังนั้นพวกคนที่โชคดีหน่อย อีกทั้งยังยอมเหน็ดเหนื่อยเทียวไปเทียวมาหลายสถานที่ ได้เจอกับสองสามคน หรือแม้กระทั่งพบเจอทั้งสี่คนก็รู้สึกว่ามีบุญตามากแล้ว สามารถทำให้สตรีทั้งหลายกิน ‘รสชาติเลิศล้ำ’ ได้อย่างเต็มอิ่ม
เทพธิดาบางคนเริ่มคิดจินตนาการแล้วว่าหากใต้หล้ามีสำนักแห่งหนึ่งที่รวบรวมชายงามอย่างหลิ่วชี ฟู่จิ้น เฉาสือเอาไว้ได้ จากนั้นก็เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ พวกนางจะไม่เป็นบ้าเลยหรอกหรือ? เรื่องการฝึกตนบนภูเขาล้วนสามารถวางไว้ก่อนได้
คนหนุ่มคนหนึ่งมาตกปลากับสหายที่เกาะยวนยาง เก็บคันเบ็ดแล้วก็เตรียมจะกลับ
เขาคือบัณฑิตที่คอยช่วยคนคัดลอกศิลาซีผิงโดยเฉพาะ อันที่จริงไม่ได้มีสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่เขียนตัวอักษรบรรจงแบบเล็กได้งดงาม อาศัยสิ่งนี้หาเงินมาหลายปีแล้ว สะสมจากน้อยกลายเป็นมาก จึงสามารถเช่าร้านแห่งหนึ่งที่อำเภอพ่านสุ่ยแล้วเริ่มขายหนังสือได้แล้ว
ไม่เหมือนกับคนต่างถิ่นคนอื่น เขาไม่ได้มาตกปลาที่นี่เพราะชื่นชมเลื่อมใสในตัวปรมาจารย์บนยอดเขาอย่างพวกจางเถียวเสีย แต่ปกติเขาก็ชอบมาตกปลาที่นี่เพียงลำพังอยู่แล้ว
เวลาปกติไม่ค่อยชอบพูดคุย บางครั้งที่ยิ้มยังดูเขินอายอยู่มาก มองดูแล้วมีความจริงใจ ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่ต่อรอราคากับพวกลูกหลานตระกูลคนมีเงินที่เดินทางมาศึกษาต่อทั้งหลาย
คนหนุ่มผู้นี้ชื่อเดิมคือหลิวไฉ คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
——