กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 801.3 ผูกด้ายแดง
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สร้างอยู่บนภูเขาสูงของเกาะป๋ายลู่ มีชื่อว่าหอเมฆคล้อย
ท่าเรือที่อยู่ตรงตีนเขานอกจากจะมีกอต้นกกต้นอ้อแล้ว บริเวณใกล้เคียงยังมีนาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดอยู่อีกแถบใหญ่ นกกระยาง (ป๋ายลู่) โบยบิน นกกระจอกเกาะบนกิ่งต้นอ้อ เงียบสงบร่มรื่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผืนป่า
ชาวประมงจับปลาอยู่บนน้ำ ชาวนาอยู่ในนา สำหรับเรือข้ามฟากตระกูลเซียนทั้งหลายที่ขึ้นๆ ลงๆ พวกนั้น พวกเขาเห็นกันมาจนชินตาแล้ว ยอดเขาชิงอู้ที่อยู่ใกล้ท่าเรือป๋ายลู่ที่สุดก็อยู่ห่างไปแค่ร้อยลี้เท่านั้น คนธรรมดาล่างภูเขาพวกนี้ แต่ละรุ่นแต่ละยุคสมัยล้วนพักอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง จึงเห็นเทพเซียนบนภูเขามามากแล้วจริงๆ
ชุยตงซานต้มชารับรองแขกด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายเมฆผืนหนึ่งที่ทำให้คนเห็นลืมความธรรมดาสามัญไปอย่างสิ้นเชิง
เถียนหว่านนั่งลงแล้วก็รับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของชุยตงซาน เพียงแต่ไม่กล้าดื่ม เพราะถึงอย่างไรวันนี้นางเปิดเผยร่างจริงที่นี่ ก่อนหน้านั้นนางได้ใช้วิธีการทั้งหมดที่มีไปแล้ว แบ่งออกเป็นใช้จิตหยินออกจากร่างเดินทางไกล จิตหยางกายนอกกายหลบหนีไปไกล บวกกับเวทอำพรางตา คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนสองคนตรงหน้าขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งดูเหมือนอีกฝ่ายจะมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าร่างจริงของนางยังอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง นี่ทำให้เถียนหว่านรู้สึกจนใจมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี นางเป็นคนควบคุมด้ายแดง เล่นกับจิตใจคนอยู่ในแจกันสมบัติทวีปมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าคนคำนวณของตัวเองมิสู้ฟ้าลิขิต
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “นี่คือใบชาที่อาจารย์ของข้าเอากลับมาจากอำเภอเซียนโหยวของเมืองชิงหยวนเชียวนะ ล้ำค่าอย่างมาก มูลค่าควรเมือง เวลาปกติข้าตัดใจดื่มไม่ลงด้วยซ้ำ พี่หญิงเถียนหว่านลองชิมดู หากว่าอร่อยก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากไม่อร่อยกลับต้องจ่ายเงิน ดื่มชาแล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องเป็นงานเป็นการกัน”
เถียนหว่านหัวเราะหยัน “ไม่กลัวว่าข้าจะให้คนไปสืบสาวเบาะแสที่อำเภอเซียนโหยวหรอกรึ”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “คนฉลาดไม่พูดจาโง่เขลา พี่หญิงเถียนหว่านทำแบบนี้ไม่มีความจริงใจให้กันเลยนะ”
ความฉลาดของเถียนหว่านอยู่ที่ว่านางไม่เคยทำเรื่องอะไรที่เกินความจำเป็น นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนที่ทำให้นางสามารถแฝงตัวอยู่ในภูเขาตะวันเที่ยงของแจกันสมบัติทวีปได้
ศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อผู้นี้สามารถทำให้คนฉลาดหลายคนพากันรู้สึกว่านางก็แค่มีอุบายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
จู๋หวงเจ้าสำนักภูเขาตะวันเที่ยง เซี่ยหยวนชุ่ยบรรพจารย์เฒ่าขอบเขตหยกดิบ เถาแยนโปบรรพบุรุษตระกูลเถา เยี่ยนฉู่ผู้คุมกฎของสำนัก เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปเหล่านี้ต่างก็รู้สึกว่าสตรีอย่างเถียนหว่าน เก้าอี้ของนางที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยง อันที่จริงจะมีหรือไม่มีก็ได้
เจียงซ่างเจินไม่ได้มาดื่มชาด้วย เพียงแค่ยืนอยู่ตรงราวรั้วของหอชมทัศนียภาพเพียงลำพัง มองไกลๆ ไปยังพวกเด็กๆ ที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่ริมน้ำ เด็กกลุ่มนั้นล้อมวงกันเป็นวงกลม ใช้หญ้าชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกบ้านๆ ว่าแม่นางขี้อายมาชักเย่อกัน มีแม่นางน้อยที่ใบหน้าเล็กๆ เป็นสีแดงก่ำเอาชนะคนวัยเดียวกันได้ นางคลี่ยิ้มกว้าง ดูเหมือนว่าจะมีฟันผุอยู่ซี่หนึ่ง เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี ฟุบตัวบนราวรั้ว สีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “เดาได้ว่าวันนี้จะชนะเล่นดึงต้นหญ้า รอยยิ้มจึงปรากฎบนสองข้างแก้ม”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บอกเป็นนัยแก่เถียนหว่านว่าอย่าได้ไม่รู้กาลเทศะ “ชาคารวะไม่ยอมดื่ม หรือว่าพี่หญิงเถียนหว่านตัดสินใจแล้วว่าจะดื่มสุราลงทัณฑ์?”
เถียนหว่านจึงได้แต่ฝืนใจดื่มชาถ้วยนั้นลงไป ครู่หนึ่งต่อมาหน้าของนางก็พลันซีดขาว ต่อให้นางจะเตรียมใจมาไว้นานแล้ว จึงร่ายเวทลับผนึกขุนเขารวบรวมปราณวิญญาณมาไว้ที่ช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญทั้งหลาย เผื่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างการที่ต้องสละเนื้อหนังมังสาทิ้งไป ทว่าปราณวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ตามเส้นชีพจรในร่างกายเหล่านี้ก็มีเป็นแค่เส้นๆ กลุ่มๆ เท่านั้น เดิมทีสามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าเมื่อปราณวิญญาณพวกนี้เหมือนน้ำแข็งที่เกาะตัวก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน สุดท้ายปราณวิญญาณที่รวมตัวเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นก็เหมือนแพไม้ลอยน้ำที่เรียงกันเป็นแถว มารวมตัวกันอยู่บน ‘แม่น้ำลำคลอง’ ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ แล้วพุ่งปะทะชนกันอย่างรุนแรง ทำให้เถียนหว่านขมวดคิ้วน้อยๆ
เจียงซ่างเจินหันหน้ามา ยิ้มเอ่ย “บรรยากาศยังคงเดิม ชุดที่สวมใส่ยังคงเดิม เพียงแต่อารมณ์กลับต่างไปแล้ว นกกระยางลอบมองปลาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ”
ชุยตงซานด่าดังลั่น “บทกลอนระคายหูอะไรกัน เจ้าคิดว่าพี่หญิงเถียนจะฟังเข้าใจงั้นหรือ?!”
นาทีถัดมา เถียนหว่านหน้าเผือดสี เงยหน้าพรวด จ้องเด็กหนุ่มชุดขาวเขม็ง “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าวอดวายไปพร้อมกันหรอกหรือ?!”
ที่แท้ด้านหน้าสุดของ ‘เรือแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ’ เหล่านั้นก็มีเรือนกายที่เกิดจากการจำแลงจากดวงจิตดวงหนึ่งของเด็กหนุ่มชุดขาวตรงหน้าอยู่ด้วย ประดุจคนคุมหางเสือที่กำลังถ่อเรือไป สวมงอบสีเขียว สวมชุดกันฝนสีเขียว แล้วยังท่องบทกวีของชาวประมงเสียงดังด้วย
ชุยตงซานกลอกตามองบน
ในทะเลสาบหัวใจของเถียนหว่าน ไม่รู้ว่าคนคุมหางเสือไปหยิบเอาคันเบ็ดไม้ไผ่เขียวออกมาจากไหน เขาขว้างสายเบ็ดออกไป ยกคันเบ็ดขึ้น ถึงกับลากดึงเอา ‘ความคิด’ นี้ออกมาจากทะเลสาบหัวใจได้
เถียนหว่านรู้สึกเหมือนหัวใจถูกคว้าน ต้องยกมือกุมหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นมือไปคว้าจับ ‘ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ’ ตัวนั้นมาไว้ในมือ เพ่งสายตามองนิ่งแล้วก็จุ๊ปากส่ายหน้า “แค่ขู่ให้กลัวจริงๆ ด้วย”
ชุยตงซานขยี้ความคิดนั้นให้แหลกสลาย ครั้นจึงโยนกลับลงน้ำไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงควบคุมแพที่ประกอบจากลำต้นไม้ใหญ่ยักษ์ใต้ฝ่าเท้าให้มารวมตัวกันมากขึ้น ให้พวกมันล่องลอยจากไปไกล
นกกระยางลอบมองปลาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
ชุยตงซานกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาคุยเรื่องจริงจังกันเลยนะ?”
เถียนหว่านกำลังจะเปิดปากพูด
คนคุมหางเสือในทะเลสาบหัวใจก็กระตุกคันเบ็ดขึ้นอีกครั้ง เอามือคว้าจับปลามาได้อีกตัว หัวเราะร่าเอ่ยเสียงดังลั่น “ ‘หากศิษย์พี่อยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ’? พี่หญิงเถียนหว่านไม่มีคุณธรรมเลยจริงๆ”
เถียนหว่านจึงได้แต่รีบร่ายวิชาอภินิหาร ‘จิตสมาธิ’ ในทะเลสาบหัวใจ คลื่นน้ำโถมตัวเชี่ยวกราก น้ำแข็งเกาะตัวแผ่ไปพันลี้ แพแถบนั้นที่เดิมทีล่องลอยไปไกลแล้วพลันหยุดนิ่ง
เด็กหนุ่มคนคุมหางเสือประกบสองมือเข้าด้วยกัน อยู่ดีๆ ก็กระโดดเอาหัวโหม่งพื้น ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที พลิกตัวสลับหัวสลับเท้า สองมือกางออก เท้าสองข้างสัมผัสพื้น พื้นผิวน้ำแข็งก็มีประกายแสงหลากสีกระเพื่อมออกมาเป็นระลอก ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้นิ้วมือเคาะเบาๆ สองสามที จากนั้นร่างทั้งร่างก็ไถลกรูดออกไปด้านข้าง ไปเคาะตรงจุดอื่นอีกสองสามที แล้วก็เคาะทางโน้นทีทางนี้ทีอยู่อย่างนี้ ราวกับกำลังหาจุดเหมาะๆ ในการตกปลา เพื่อจะได้หย่อนเบ็ดลงช่องน้ำแข็งแล้วตกปลาตัวใหญ่มา
ดวงจิตดวงนี้ของชุยตงซานหันหน้ามาคลี่ยิ้ม ในที่สุดก็มาเสียที
ห่างออกไปไกลมีเกี้ยวที่แปะแผ่นทองติดบุปผาคันหนึ่ง คล้ายคลึงกับเกี้ยวว่านกง (เกี้ยวเจ้าสาว เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเกี้ยวแปดคนหาม) ในหมู่ชาวบ้าน หรูหราโอ่อ่าและฝีมือประณีติอย่างถึงที่สุด
ไม่มีคนยกเกี้ยว เกี้ยวดอกไม้ล่องลอยมาด้วยตัวเอง
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่เปิดสินเดิมก้นกรุของเจ้าแล้ว พี่หญิงเถียนมักจะปากยอมแพ้ใจไม่ยอมแพ้เสมอเลยนะ”
เขากวาดตามองไปรอบด้าน ถามเสียงดังกังวาน “หลี่ถวนจิ่งและคนรักอยู่ที่ใด?”
ผ้าม่านของเกี้ยวเลิกออกมุมหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งซีกของเถียนหว่าน ในมือนางกุมป้ายสุราคารวะที่ทำจากหยกมันแพะสีขาวชิ้นหนึ่งเอาไว้ “อยู่ที่นี่ ข้าช่วงชิงฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีมาจนหมดสิ้น เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้หรือ?”
ในเกี้ยวเหมือนห้องส่วนตัวของสตรีเชื้อพระวงศ์ที่หรูหราแห่งหนึ่ง มีชั้นวางเสื้อผ้าไม้หนันมู่ประดับด้ายทอง มีฉากบังลมตัวอักษรฝูไม้ป่าย บนโต๊ะปูภาพไม้ไผ่แดงที่มีลายมือของซูจื่อ และยังมีเทียบอักษรอีกชิ้นหนึ่ง คือ ‘บทท่องกระบี่’ ของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง รวมไปถึงตราประทับชิ้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร พวกมันลอยอยู่กลางอากาศในห้องโดยสารของเกี้ยว ตรงก้นของตราประทับแกะสลักตัวอักษรสี่ตัว บนเส้นทางข้าไม่เดียวดาย
เด็กหนุ่มคุมหางเสือที่จำแลงมาจากดวงจิตชักเท้าวิ่งตะบึงไปรอบเกี้ยว โหวกเหวกเสียงดังว่าอย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า
นอกทะเลสาบหัวใจ ชุยตงซานเอ่ยด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริดว่า “โจวอันดับหนึ่ง จะทำอย่างไรดี พี่หญิงเถียนหว่านบอกว่าพวกเราต้องเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งไม่ได้แน่นอน!”
มือที่ถือจอกชาของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงข้ามกับเถียนหว่านสั่นระริก
เถียนหว่านทนมองฝีมือการแสดงชั้นต่ำของเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ไหวจริงๆ สนุกนักหรือ?
เจียงซ่างเจินหันตัวกลับมา เอนพลังพิงราวรั้ว ยิ้มถามว่า “เถียนหว่าน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสามารถด้านการสู้รบของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราสามารถคำนวณด้วยวิธีบวกเพิ่มบนหน้ากระดาษได้แล้ว? ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดหลายคนมารวมตัวกันก็คือขอบเขตหยกดิบหนึ่งคน? ขอบเขตหยกดิบหลายคนก็คือเซียนเหรินคนหนึ่ง? สุดท้ายขอบเขตบินทะยานนี่ก็ถือว่าเป็นขอบเขตบินทะยานได้ด้วยหรือ? ข้าอ่านตำรามาน้อย ความรู้น้อย เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย!”
สำหรับท่าไม้ตายของเถียนหว่าน ชุยตงซานเคยคาดการณ์มาก่อนนานแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานครึ่งตัว โจวอันดับหนึ่งแค่คนเดียวก็เพียงพอ เพียงแต่ว่าคิดจะจับปลาตัวใหญ่อย่างเถียนหว่านผู้นี้เอาไว้ให้แน่น ยังจำเป็นต้องให้เขาคอยช่วยด้วย
ชุยตงซานวางถ้วยชาลง เอ่ยว่า “ไม่พูดจาไร้สาระแล้ว มาพูดเรื่องค้าขายกัน”
เถียนหว่านกำลังจะเอ่ยถาม
ชุยตงซานก็หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้สิ”
เถียนหว่านทำท่าจะพูดอีก
เจียงซ่างเจินก็หยิบพัดพับด้ามหนึ่งออกมา โบกเอาลมเย็นๆ เข้าตัวเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ในฐานะที่น้องชุยคือลูกศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาพวกเรา คำพูดของเขาย่อมเชื่อถือได้”
เจียงซ่างเจินเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เชื่อถือไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้เล่า?”
ไม่รอให้เถียนหว่านเปิดปาก
ชุยตงซานก็พูดอีกว่า “เจ้าไม่เหลือพื้นที่อะไรแล้ว หากอยากรอดชีวิตก็ตอบตกลงเรื่องหนึ่ง”
เจียงซ่างเจินประกบพัดพับเข้าด้วยกัน ชี้ไปที่ข้อมือของตัวเอง เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าชอบสานสัมพันธ์ชีวิตคู่ จับคู่ให้คนส่งเดชนักหรอกหรือ? ดีมาก หลอมเชือกแดงเส้นนี้ซะ จับคู่กับข้า ข้าผู้แซ่โจวจะรับผิดชอบเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็จะรับเอาไว้”
เถียนหว่านที่ไม่มีโอกาสได้พูดหน้าเขียวคล้ำ “ความฝันเพ้อเจ้อของคนปัญญาอ่อน!”
การกระทำนี้เป็นการตีงูตรงจุดตาย คว้าจับเอาชะตาชีวิตบนมหามรรคาของนางไว้อย่างแท้จริง
สิ่งที่เถียนหว่านกริ่งเกรงมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นเจียงซ่างเจินที่มองดูเหมือนจะมีเสน่ห์อ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วกลับไร้ปราณีมากที่สุด
หากเปลี่ยนมาเป็นบุรุษธรรมดาทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นพวกคนลุ่มหลงในรักอย่างเว่ยจิ้น หลิวป้าเฉียว ต่อให้ผูกด้ายแดงแล้ว นางก็ยังมีความมั่นใจว่าจะสลัดหลุด ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ผลประโยชน์มาหลายส่วนด้วย
แต่หากไปพัวพันกับเจียงซ่างเจิน จุดจบของนางย่อมไม่มีทางดีได้แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวพันกับรากฐานของมหามรรคา ซึ่งก็หมายความว่าไม่ว่าสองฝ่ายจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน สำหรับเถียนหว่านแล้วไม่ว่านางจะหนีไปที่ไหน ต่อให้ไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น ทุกเวลานาทีก็ยังถูกกักขังอยู่ในกรงขังของคำว่ารักอยู่ดี จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือยิ่งเวลายืดออกไปนานเท่าไร นางก็มีแต่จะยิ่งถลำลึกมากเท่านั้น
ก็เหมือนต้นหยางต้นหลิวริมน้ำถูกโซ่เหล็กเส้นหนึ่งผูกเข้ากับเสาหินกลางน้ำ ยามที่ถูกกระแสน้ำถาโถมเข้าใส่ ฝ่ายที่ต้องทรมานต้องไม่มีทางเป็นเสาหินแน่นอน
ไม่เพียงแต่จิตแห่งมรรคาของเจียงซ่างเจินจะแข็งแกร่งดุจหินผา หากยังมีกระแสน้ำรุนแรงซัดโถมเข้าใส่ก็มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่ทั้งต้องเสียเปรียบ ทั้งต้องทนทุกข์
เจียงซ่างเจินโอดครวญ “ข้าหน้าตาไม่เลว พอจะมีสมบัติติดตัวอยู่บ้าง ทุกวันนี้ก็ยังโสด ไม่มีคู่รักบนภูเขาที่เอ่ยคำสาบานว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย เหตุใดถึงไม่คู่ควรกับพี่หญิงเถียนหว่านเล่า?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าโจวอันดับหนึ่งคิดจะหวนกลับเป็นขอบเขตบินทะยานก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ใช่ไหมล่ะ?”
เจียงซ่างเจินยกสองมือกุมกันเป็นหมัดแล้วชูขึ้นสูง เขย่าแรงๆ “ยอมรับทั้งใจทั้งปาก!”
มองดูเหมือนเถียนหว่านตรวจสอบสมุดครองคู่อย่างส่งเดช ผูกด้ายแดงมั่วซั่ว ทำลายโชคชะตาบนวิถีกระบี่ของหนึ่งทวีป แต่หากนางผูกด้ายแดงเข้ากับเจียงซ่างเจิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะเป็นคู่รักยิ่งกว่าคู่รักบนภูเขาเสียอีก ค่อนข้างคล้ายคลึงกับพันธะสัญญาระหว่างเฉินผิงอันกับจื้อกุย หากเขาไม่คลายพันธะสัญญา ทุกวันนี้ก็สามารถแบ่งโชคชะตาน้ำไปได้ แค่ต้องนั่งเสวยสุขอย่างเดียวเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีมหามรรคาของเฉินผิงอันก็ใกล้ชิดกับสายน้ำอยู่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้รับต้องมากมหาศาล มีแต่จะเหนื่อยเพียงครึ่งทว่าได้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว ดังนั้นเถียนหว่านจึงรู้สึกมาโดยตลอดว่าคนหนุ่มผู้นั้นสมองไม่ปกติ
แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นแบบนี้จึงจะถูกต้องแล้ว มีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้นที่ถึงจะมีลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้ ภูเขาลั่วพั่วถึงได้มีผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่เป็นเช่นนี้
เถียนหว่านถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าสามารถเอาข้อมูลทั้งหมด ความลับทั้งหมดของภูเขาตะวันเที่ยงมาแลกเปลี่ยนกับอิสระของตัวเอง คือแผนการที่มีต่อหลิวเสี้ยนหยาง แล้วข้าจะเอาถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่ไม่มีบันทึกไว้ออกมาชดเชยให้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้า”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ถ้ำสวรรค์ที่ไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง? ไม่อยู่ในอันดับของถ้ำสวรรค์เล็กเจ็ดสิบสองแห่ง เจ้าก็ยังมีหน้าเอาออกมาด้วยหรือ?”
สีหน้าของเถียนหว่านมืดทะมึน “แม้ว่าถ้ำสวรรค์แห่งนี้จะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ก็สามารถประคับประคองตบะของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้ ในนั้นมีจวนเซียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีลำธารโอสถแห่งหนึ่ง น้ำในลำธารหนักมาก หนักและชื้นดุจหยก เหมาะให้เอามาหลอมโอสถที่สุด ภูเขาสนชาดแห่งหนึ่ง ฝูหลิง หลิงจือ โสมคน ต้นไม้เซียนมากมาย วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ข้ารู้ว่าภูเขาลั่วพั่วต้องการเงิน ต้องการเงินเทพเซียนเยอะมาก”
เจียงซ่างเจินพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง “เงิน?”
ชุยตงซานขมวดคิ้ว ทำท่าคิดหนัก “พวกเราสองพี่น้องขาดแคลนหรือ?”
เถียนหว่านถูกตัวตลกคู่นี้ทำให้สะอิดสะเอียนแทบตายอยู่แล้ว
ชุยตงซานหรี่ตาลง “เลิกพูดเรื่องพวกนี้ เจ้าเอาถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยนั่นมา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยังยินดีพิจารณา”
เถียนหว่านส่ายหน้า “ไม่ได้อยู่ที่ข้า”
ถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยคือหนึ่งในซากปรักที่สำคัญที่สุดของสู่โบราณ เล่าลือกันว่าเคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลหลายท่านลอกคราบ (ฉานทุ่ย) บินทะยานอยู่ที่นี่ เซียนจากไปยามทิวา จิตแห่งเซียนหลุดพ้น ทิ้งคราบร่างเอาไว้เหมือนจักจั่นลอกคราบ
ชุยตงซานทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องให้คุยกันแล้ว”
เถียนหว่านนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะถามว่า “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ชุยตงซานยกสองแขนกอดอก “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่าต้องการให้เจ้ามอบเวทกระบี่และโชคชะตากลับคืนให้กับแจกันสมบัติทวีป ทุกอย่างเอามาจากที่ไหนก็คืนกลับไปที่นั่น”
เถียนหว่านหัวเราะหยัน “คืนให้กับแจกันสมบัติทวีป? มอบให้ภูเขาลั่วพั่วมากกว่ากระมัง?”
ชุยตงซานส่ายหน้า สายตาเวทนา “กบในบ่อพูดเรื่องฟ้าคุยเรื่องมหาสมุทร แมลงฤดูร้อนพูดถึงน้ำแข็งคุยเรื่องน้ำค้างแข็ง โชคชะตาหรือ? จิตใจต่างหาก”
——