กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 802.1 ทำไมถึงถามหมัด
ทางฝั่งของเรือนพักบนเกาะนกแก้ว เมื่อร่างของคนชุดเขียวและสตรีชุดแดงพลันหายตัวไป นักพรตเนิ่นและหลิ่วชื่อเฉิงก็หันมาสบตากัน วิธีการนี้ของเฉินผิงอัน ไม่ธรรมดาเลย
หลี่ไหวกำลังแคะฟัน ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องที่ไม่เข้าใจก็อย่าไปคิดมาก
หลิ่วชื่อเฉิงกลับตกตะลึงไม่น้อย ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “นักพรตเนิ่น เฉินผิงอันสามารถสร้างฟ้าดินได้ตามใจชอบตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ส่วนภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นเพียงแค่การพูดง่ายๆ ไม่กี่คำของหลี่เป่าผิงนั้น หลิ่วชื่อเฉิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย
นักพรตเนิ่นคีบอาหารมาคำใหญ่ เคี้ยวเนื้อปลาคำโตจนแก้มสองข้างพองโป่ง พูดเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “ไม่ใช่เวทคาถาตระกูลเซียนที่มาจากขอบเขต แต่เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งของเจ้าเด็กนี่ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ว่ากระบี่บินประหลาดแบบไหนล้วนมีหมด เฉินผิงอันยังเป็นคนที่เป็นอิ่นกวาน สหายหลิ่วไม่จำเป็นต้องตกอกตกใจไป”
นักพรตเนิ่นยกตะเกียบขึ้นอีกครั้ง ขว้างออกไปข้างนอก ตะเกียบคู่หนึ่งพุ่งไปรวดเร็วราวกับกระบี่บิน เหมือนสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในลานบ้าน ครู่หนึ่งต่อมานักพรตเนิ่นก็ยื่นมือไปรับตะเกียบเอาไว้ ขมวดคิ้วน้อยๆ คีบเนื้อปลาหลีตุ๋นน้ำแดงที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อยในจาน เดิมทีนักพรตเนิ่นอยากจะหาปราการกีดขวางของฟ้าดินเล็กให้เจอ เพื่อจะได้เอ่ยประโยคนี้กับหลิ่วชื่อเฉิง เห็นแล้วหรือยัง นี่ก็คือรั้วปราณกระบี่ ข้าสามารถทำลายได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินเล็กนี้ของอิ่นกวานหนุ่มจะไม่ใช่แค่น่าพิศวงธรรมดา คล้ายกับว่าอ้อมผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปเลย? ไม่ใช่ว่านักพรตเนิ่นไม่อาจตามเจอเบาะแสได้จริงๆ แต่เป็นเพราะนั่นจะเท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย ในใจนักพรตเนิ่นตัดสินใจไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหน้าขอแค่เฉินผิงอันเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ก็จำเป็นต้องอยู่ให้ห่างเขาเข้าไว้ สมุดบัญชีผลกำไรหนึ่งส่วนอะไรนั่น ช่างแม่งมันเถอะ ให้ภูเขาลั่วพั่วติดค้างน้ำใจข้าผู้อาวุโสไปตลอดเลยก็แล้วกัน
หลิ่วชื่อเฉิงไม่รู้ว่านักพรตเนิ่นร่ายเวทบังคับกระบี่นี้มีความหมายลึกล้ำอยู่ที่ตรงใด จึงถามว่า “นักพรตเนิ่น นี่คือ?”
นักพรตเนิ่นหัวเราะฮ่าๆ “ช่วยใต้เท้าอิ่นกวานปกป้องมรรคาสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ยังมีพวกเฒ่าหน้าด้านขอบเขตบินทะยานที่ไม่รู้จักกลัวตาย ใช้การมองขุนเขาสายน้ำมาลอบสำรวจที่แห่งนี้”
หลิ่วชื่อเฉิงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ทุกวันนี้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลบุ๋น โดยเฉพาะพวกคนที่ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการประชุม หนันกวงจ้าวกับจิงเฮาอยู่ในสภาพร่อแร่ปางตาย เฝิงเซวี่ยเทาถูกอาเหลียงลากไปยังใต้หล้าแห่งอื่น คนที่เหลืออยู่ล้วนหมดสิ้นซึ่งความกล้าแล้ว มีใครบ้างที่ไม่เก็บหางทำตัวสำรวมแต่โดยดี? สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า ‘นักพรตเนิ่น’ แห่งไพศาลหยุดมือแล้วจะยังมี ‘นักพรตเฒ่า’ อีกคนหนึ่งโผล่มาหรือไม่? จั่วโย่ว อาเหลียงล้วนลงมือกันหมดแล้ว ต่อจากนี้จะถึงคราวของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกฉีถิงจี้ ลู่จือที่เข้ามาร่วมวงความครึกครื้นหรือไม่?
ตั้งแต่ต้นจนจบจิงเซิงซีผิงที่ดูแลประตูใหญ่ของศาลบุ๋นไม่เคยลงมือเข้าแทรกแม้แต่ครั้งเดียว ปล่อยให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาเหล่านี้จัดการบุญคุณความแค้นกันเอาเอง
เป็นเหตุให้ท่าเรือสี่แห่งในเวลานี้มีลมฝนสิ่งกีดขวางบังตาหนา ผู้ฝึกตนใหญ่จำนวนไม่น้อยล้วนรู้สึกตัวกันอย่างเชื่องช้าว่า ศาลบุ๋นแห่งนั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
ข้างโต๊ะมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิงปรากฏตัวกลับมาที่เดิม
เฉินผิงอันทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เริ่มเก็บถ้วยชามตะเกียบ
หลี่เป่าผิงเหม่อลอยคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
หลี่ไหวเหลือบมองหลี่เป่าผิงด้วยความรู้สึกเคยชิน ถึงอย่างไรนางก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว มักจะมีคำถามให้ถามไม่จบไม่สิ้น มักจะคิดถึงปัญหาข้อยากอยู่เสมอ อย่างนางนี่ก็คงจะเป็นดั่งคำเรียกขานที่ว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตกระมัง?
แต่หลี่ไหวรู้สึกว่ายังคงเป็นหลี่เป่าผิงตอนเด็กที่น่ารักกว่าหน่อย มักจะไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงขาพลิก บนขาพันผ้าพันแผล เดินกะเผลกๆ มาโรงเรียน หลังจากเลิกเรียนกลับยังคงเป็นหลี่เป่าผิงที่เดินได้ไวที่สุด ใครจะกล้าเชื่อ?
หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกว่าเรื่องอย่างการแกล้งโง่นี้ เมื่ออยู่กับเฉินผิงอันคล้ายจะใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไร จึงถามหยั่งเชิงว่า “เฉินผิงอัน ฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้เหมาะจะเอามาเป็นท่าไม้ตายมากที่สุด ดังนั้นยามที่ใช้ต้องระวังแล้วระวังอีกเลยนะ อย่าได้แพร่งพรายข้อมูลออกไปง่ายๆ เด็ดขาด เจ้าวางใจเถอะ นอกจากศิษย์พี่แล้ว ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครแม้แต่ครึ่งคำ อีกอย่างรับรองว่าขอแค่ศิษย์พี่ไม่เป็นฝ่ายถาม ข้าก็ไม่มีทางเล่าให้เขาฟังเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หลิ่วชื่อเฉิงพูดแบบนี้ได้ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความจริงใจมากแล้ว
นักพรตเนิ่นเริ่มวางมาดของผู้อาวุโสบนเส้นทางการฝึกตนด้วยการเอ่ยว่า “ถ้อยคำล้ำค่าดุจทองดุจหยกนี้ของสหายหลิ่ว คำพูดจริงใจมักระคายหูเสมอ เฉินผิงอันเจ้าต้องฟังเอาไว้ อย่าได้ไม่คิดสนใจ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลมพัดแรงจึงรู้ว่าหญ้าต้นใดที่แข็งแกร่ง ข้ารู้นิสัยใจคอของสหายหลิ่วเป็นอย่างดี”
นักพรตเนิ่นพลันถามว่า “วันหน้าคิดจะทำอย่างไร? หากจะไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกเราสามารถจับกลุ่มไปด้วยกันได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ต้องเดินก้าวหนึ่งดูไปก้าวหนึ่ง ไม่มีแผนการระยะยาวอะไร ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้ากับหลิ่วชื่อเฉิงเองก็ระวังตัวให้มาก”
ยกตัวอย่างเช่นจะไปเยือนอุตรกุรุทวีปก่อน แล้วค่อยไปเยือนใบถงทวีป ไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักรอบ จากนั้นค่อยไปนครบินทะยานของใต้หล้าห้าสี ไปยังใต้หล้ามืดสลัว ตำหนักสุ้ยฉู อารามเสวียนตูใหญ่ ป๋ายอวี้จิง ล้วนจะต้องไปเยือนทั้งหมด…สรุปก็คือล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเดินกันไปทีละก้าว
เปิดภาพห้าขุนเขา นึกเข้าใจไปว่าตัวเองรู้จักภูเขา แต่กลับยังสู้คนตัดฟืนไม่ได้
คนในภูเขาไม่ชื่อว่ามีปลาใหญ่เท่าไม้ คนในมหาสมุทรไม่เชื่อว่ามีไม้ใหญ่เท่าปลา อันที่จริงขอแค่เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อนก็จะเชื่อไปเอง
เฉินผิงอันเก็บโต๊ะเสร็จแล้วก็ยิ้มถามว่า “จะดื่มชาหรือไม่?”
ตอนที่อยู่ริมหน้าผาอวี้อิ๋งของสวนน้ำค้างวสันต์ เคยได้เรียนวิธีการต้มชามีเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเซียนมาจากสหายรักหลิ่วจื้อชิง
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า “อยากลองชิมดู”
นักพรตเนิ่นหยิบเหล้าออกมาเองหนึ่งกา “ข้าไม่เอาดีกว่า”
เฉินผิงอันหยิบอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อแล้วเริ่มต้มชา ใช้นิ้ววาดยันต์ลงบนโต๊ะ มังกรเพลิงยันต์สองตัวต้มน้ำจนน้ำชาเดือด
เรื่องตรงหน้า เรื่องข้างมือ เรื่องในใจ อันที่จริงล้วนรอให้เฉินผิงอันไปจัดการทีละเรื่อง เรื่องบางเรื่องยามที่ลงมือจัดการจะรวดเร็วอย่างมาก เป็นเรื่องของแค่ไม่กี่หมัดไม่กี่กระบี่เท่านั้น ปัญหาที่เคยใหญ่เทียมฟ้าก็เริ่มกลายเป็นว่าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เรื่องบางอย่างยังต้องคิดให้มากหน่อย เดินให้ช้าลงหน่อย
เฉินผิงอันส่งชาไปให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนคนละถ้วย จู่ๆ ก็ถามหลิ่วชื่อเฉิงว่า “สร้างเรือข้ามฟากบนภูเขาลำหนึ่ง ยากมากเลยใช่หรือไม่?”
หลิ่วชื่อเฉิงพยักหน้า “สร้างเรือไม่ยาก แค่ต้องไปหาผู้ฝึกลมปราณของสำนักโม่และสำนักการช่าง ขอแค่ไม่ใช่พวกนักต้มตุ๋นก็ล้วนสามารถประกอบเรือลำหนึ่งขึ้นมาได้ สิ่งที่ยากก็คือการหาเงินให้ได้อย่างแท้จริง ในเรื่องนี้มีความรู้ที่ไม่ตื้นเขินซ่อนอยู่ และน้ำก็ลึกยิ่งกว่า ส่วนเรือข้ามทวีป ธรณีประตูนั้นสูงกว่ามาก ภูเขาตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลที่อาศัยสิ่งนี้หากิน นับไปนับมา คนที่สามารถสร้างเรือประเภทนี้ได้ อันที่จริงก็มีอยู่แค่สิบกว่าตระกูลเท่านั้น น้อยจนนับนิ้วได้ ทำไม ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าต้องการเรือข้ามฟากเป็นของตัวเองงั้นหรือ? เฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าข้าสาดน้ำเย็นใส่เจ้าหรอกนะ แนะนำเจ้าว่าอย่ามาเดินลุยน้ำขุ่นบ่อนี้เลยจะดีกว่า กินเงินเทพเซียนมากเกินไป แค่จ่ายเงินซื้อมาจากคนอื่นก็พอแล้ว ข้าสามารถช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ได้ ประหยัดแรงกายประหยัดแรงใจแล้วยังประหยัดเงิน”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “เหมือนอย่างการเคาะประตูวันนี้น่ะหรือ? ประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้ ขอบคุณ แต่ไม่ต้องการ”
เฉินผิงอันต้องการช่วยภูเขาลั่วพั่วหาเส้นทางการเงินใหม่ๆ เพิ่มอีกสักสองสามเส้นจริง หากสร้างสำนักเบื้องล่างขึ้นในทวีปอื่น บนภูเขามีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งก็จะกลายเป็นภารกิจเร่งด่วน
หลิ่วชื่อเฉิงบ่น “ดูแคลนข้าแล้วใช่ไหม? ลืมไปแล้วหรือว่าข้าที่อยู่ในนครจักรพรรดิขาวยังมีสถานะเจ้าของหออีกนะ? ก่อนที่จะตกยากอยู่ในแจกันสมบัติทวีป เคยไปมาหาสู่ทำการค้ากับคนบนภูเขาเยอะมาก ต้อนรับขับสู้ ล้วนเป็นข้าที่ลงมือทำด้วยตัวเอง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เห็นว่าเฉินผิงอันยังคงไม่สะทกสะท้าน หลิ่วชื่อเฉิงก็พลันลำพองใจขึ้นมา ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน จะแอบเล่าความลับบนยอดเขาเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เมื่อหลายปีก่อนฮว่อหลงเจินเหรินขายกระเบื้องแก้วใสที่ไม่รู้ว่าไปกวาดมาจากไหนให้ข้าหลายชิ้น ระดับขั้นดีเยี่ยม มากพอจะอยู่ในอันดับของสมบัติล้ำค่าระดับหนึ่งของหอแก้วใส มีมากถึงหนึ่งร้อยแผ่น กระเบื้องแก้วใสมรกตร้อยแผ่นเชียวนะ! แต่ฮว่อหลงเจินเหรินกลับเรียกเงินแค่หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช ทุกวันนี้หอแก้วใสของข้าได้รับโชควาสนานี้ไป ในที่สุดก็ได้หลอมเป็นอาวุธเซียนที่ไร้ตำหนิชิ้นหนึ่งแล้ว ทุกครั้งที่เจอกับแสงเรื่อเรืองหลังฝนตก บนฟ้าก็จะมีประกายแสงเจ็ดสีส่องมลังเมลือง งดงามจนมิอาจบรรยายได้ วันหน้าหากมีการคัดเลือกสิบทัศนียภาพของไพศาล หอแก้วใสที่เคยไม่ติดอันดับมาหลายครั้งจะต้องได้ตำแหน่งหนึ่งมาครองอย่างแน่นอน เทพเซียนผู้เฒ่าอย่างฮว่อหลงเจินเหรินยังมาทำการค้ากับข้า แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนของสำนักอื่น?”
สีหน้าของเฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นปั้นยาก
หลิ่วชื่อเฉิงยังคงเอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเองนะ ศิษย์พี่ของข้าไม่เคยเหยียบเข้าไปในหอแก้วใสมาสองพันปีแล้ว แต่คราวนี้ก่อนที่ศิษย์พี่จะไปเยือนฝูเหยาทวีปได้ไปชมทัศนียภาพที่ชั้นบนสุดของหอแก้วใสโดยเฉพาะเลยล่ะ”
เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ช่างเถิด เรื่องของเรือข้ามทวีปอย่ารบกวนเจ้าจะดีกว่า ข้าจะหาเส้นทางเอาเอง”
จำได้ว่าปีนั้นลดราคาไปให้ ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกรจึงขายกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่นที่ได้มาด้วยความยากลำบากให้กับฮว่อหลงเจินเหรินไปด้วยราคาหกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช
ดีนักนะ พอเจินเหรินผู้เฒ่าเอาไปขายต่อก็ได้เงินฝนธัญพืชหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญเข้ากระเป๋า ประเด็นสำคัญคือเจินเหรินผู้เฒ่ายังเก็บกระเบื้องแก้วใสไว้เองยี่สิบแผ่นด้วย?
นักพรตเนิ่นเอ่ยชื่นชม “ได้กำไรมากมายขนาดนี้มาจากฮว่อหลงเจินเหริน สหายหลิ่วสมกับเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการค้าที่หายากดุจขนหงส์เขากิเลนโดยแท้ ข้าว่าน้องหลิ่วสามารถไปเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภให้กับภูเขาลั่วพั่วได้เลยนะ เฉินผิงอันก็คงไม่ถึงขั้นต้องลำบากตรากตรำขอร้องคนไปทั่วเพื่อเรือข้ามฟากผุๆ ลำหนึ่ง จนข้าที่เป็นคนนอกเห็นแล้วยังอดเวทนาไม่ได้เช่นนี้หรอก”
หลิ่วชื่อเฉิงเหลือบมองเฉินผิงอัน ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือเต็มที่ หากตนได้เป็นนักบัญชีที่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ดีเหมือนกัน ต่อให้จะเป็นการเอาคนมีความสามารถไปทำงานเล็กน้อยก็ช่างเถิด
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ไม่ต่อคำ
หลี่ไหวถามชวนคุยว่า “การประชุมของศาลบุ๋นครั้งนี้มีคนใหญ่โตมามากมายขนาดนี้ เฉินผิงอันเจ้ามีวาสนากับพวกผู้ใหญ่ดีขนาดนั้น อีกทั้งยังทำการค้าอย่างยุติธรรม เผยเฉียนเล่าให้ฟังว่าคนที่ทำการค้ากับเจ้าล้วนได้กำไรทั้งหมด เจ้ายังจะขาดเรือข้ามทวีปลำหนึ่งอีกหรือ? ข้าว่าไม่ขาดหรอก”
เฉินผิงอันยิ้มรับ
มองเฉินผิงอันที่ชอบดื่มเหล้า แล้วก็ชงชาเป็น
อยู่ดีๆ หลิ่วชื่อเฉิงก็ให้รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก
เขารู้จักเฉินผิงอันมานานมากแล้ว
ราวกับว่าเพียงชั่วพริบตาคนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้ว
มีแขกมาเยี่ยมเยือน คือผู้เฒ่าลักษณะคล้ายเศรษฐีคนหนึ่ง อวี้พ่านสุ่ย ข้างกายมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าแพรติดตามมาด้วย ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เสวียนมี่ หยวนโจ้ว
อันที่จริงคนสองกลุ่มที่ทยอยกันมาถึงล้วนถือว่าเป็นเพียงแขกของเรือนหลังนี้
เฉินผิงอันรีบไปที่หน้าประตู พอเปิดประตูออกก็ประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์อวี้ เดิมทีควรเป็นผู้เยาว์ที่ไปเยี่ยมเยือนท่านที่บ้าน”
หลี่เป่าผิงยิ้มเอ่ยเรียกว่าท่านปู่อวี้
หลี่ไหวลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์อวี้ตามเฉินผิงอัน อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคือเทพเซียนจากที่ใด ยอดฝีมือแซ่อวี้ที่รู้จักก็มีแค่คนที่ชื่ออวี้พ่านสุ่ยคนเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่ด้วย ฝีมือร้ายกาจอย่างยิ่ง สำลีซ่อนเข็ม พยัคฆ์หน้ายิ้ม ส่วนรูปโฉม ได้ยินมาว่าคือบัณฑิตผู้เฒ่าที่สุภาพอ่อนโยน เรือนกายผอมเพรียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเป็นหนุ่มยังเป็น ‘เทพเหม่ยเฟิง’ (ผู้มีท่วงทำนองแห่งเทพสง่าและงดงาม) ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ร่างอ้วนฉุตรงหน้าผู้นี้เลย
อวี้พ่านสุ่ยผงกศีรษะตอบรับไปทีละคน ยิ้มจนตาหยีมองไม่เห็นลูกตา สุดท้ายมองไปที่เฉินผิงอัน พยักหน้าให้ คล้ายผู้อาวุโสผู้เมตตากรุณาได้พบกับเด็กมีความสามารถในตระกูลที่ออกเดินทางไกลเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน ทั้งชื่นชมที่ชายหนุ่มได้ดิบได้ดี ทั้งตำหนิที่ชายหนุ่มวางตัวห่างเหิน เขาเอ่ยว่า “จะเกรงใจข้าไปไย ทำตัวห่างเหินกันเช่นนี้ ใจข้าแหลกสลายหมดแล้ว”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่กลับมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมราวกับเป็นคนครอบครัวเดียวกันใช้แซ่เดียวกันไปแล้ว
หลังจากคนทั้งสองกลุ่มนั่งลง อวี้พ่านสุ่ยก็หัวเราะร่าถามว่า “เล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่? ไม่สู้พวกเราเล่นไปคุยกันไปดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “วิถีแห่งหมากล้อม ผู้เยาว์ไม่เชี่ยวชาญเลย”
อวี้พ่านสุ่ยเสียดายยิ่งนัก แต่ก็ไม่บังคับฝืนใจ
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง เกิดความรู้สึกว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ตนมาเจอในเวลานี้คืออิ่นกวานหนุ่มตัวปลอม
เหตุใดถึงได้เป็นวิญญูชนผู้อบอุ่นสุภาพ นอมน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ได้ล่ะ?
นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าอ้วนอวี้ด้วยความเคารพอ่อนน้อม เรียกตัวเองว่าผู้เยาว์
เล่นหมากล้อม? เรียกกระบี่บินออกมาสวบๆๆ ให้มาหยุดลอยอยู่เหนือศีรษะของคนที่เล่นหมากล้อมได้ห่วยแตกอย่างเจ้าอ้วนอวี้ผู้นี้ สอนให้เขาเล่นหมากล้อมเองเลย ต้องการให้เจ้าอ้วนอวี้วางเม็ดหมากตรงไหน เขาก็ต้องวางตรงนั้น
คนนอกอาจไม่รู้ แต่เขาจะไม่รู้ได้หรือ? ทุกครั้งที่ตาเฒ่าอวี้เอาชนะหมากล้อมมาได้ ล้วนอาศัยการช่วยกันโกงของสาวใช้ที่เป็น ‘จิ้งจอกไม้’ (หรือมู่เหย่หู ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของการเล่นหมากล้อม เพราะแม้หมากล้อมจะทำมาจากไม้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้มากมาย ทำให้คนหลงใหล ประหนึ่งภูตจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์ฉลาดเฉลียว) ผู้นั้นต่างหาก
อวี้พ่านสุ่ยชี้ไปยังหยวนโจ้วที่อยู่ข้างกาย ยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้หลักๆ แล้วเป็นเพราะฝ่าบาทต้องการมาพบเจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดเขย่าเบาๆ “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท”
——