กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 803.1 พบเจอกับอาจารย์ผู้เฒ่า
ป่าไผ่เขียวขจีถี่แน่นเหมือนมุ้งม่านรถ มีกระท่อมปลูกอยู่สองสามแห่ง
สองฝ่ายที่คุมเชิงกันตรงหน้าประตูของกระท่อมหลังหนึ่ง คือลูกศิษย์ใหญ่ของเทพีแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์ต้าตวน หม่าฉวีเซียน
บุรุษที่เป็นแขกมาเยี่ยมเยือน เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดกว้าตัวยาว สวมรองเท้าผ้า ยืนอยู่กลางป่าไผ่
มีสตรีสองคนแยกกันเดินออกมาจากกระท่อมสองหลังที่ตั้งอยู่ตำแหน่งอื่น ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่อายุที่แท้จริงกลับไม่น้อยแล้ว พวกนางคือศิษย์น้องหญิงสองคนของหม่าฉวีเซียน คนหนึ่งมีชาติกำเนิดจากสกุลโต้วอวิ๋นฉวงตระกูลชนชั้นสูงระดับบนสุดของต้าตวน อีกคนหนึ่งมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งขุนเขาลำเนาไพร หันมาเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลางทาง เข้าร่วมกับกองทัพ สุดท้ายท่ามกลางศึกสงครามที่ดุเดือดครั้งหนึ่งถูกเผยเปยราชครูที่เป็นผู้บัญชาการณ์การรบถูกใจในคุณสมบัติด้านการฝึกวรยุทธจึงรับมาเป็นลูกศิษย์ ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเลื่อนขั้นไวมาก ประดุจผ่าลำไม้ไผ่
โต้วเฝิ่นเสียที่ทำทรงผมมวยวิญญาณงูเอนหลังพิงไผ่เขียวต้นหนึ่ง ท่วงท่าเกียจคร้าน สตรีมีเรือนร่างอวบอิ่ม เวลานี้นางหรี่ตายิ้มน้อยๆ มองประเมินบุรุษชุดเขียวที่มาด้วยเจตนาร้ายผู้นั้นอย่างพิจารณา
เมื่อครู่นี้ก่อนที่นางจะหยุดเดินได้ก้มตัวหยิบก้อนหินสองสามก้อนและใบไผ่สองสามใบมาจากบนพื้น เวลานี้ยืนพิงลำต้นไผ่เขียวต้นหนึ่ง ยกปลายเท้าจิ้มปักลงไปบนพื้นดินเบาๆ แล้วกรีดไปมา
เลี่ยวชิงอ่ายศิษย์น้องหญิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เนื่องจากเคยฝึกตนมาก่อน และได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตมานานแล้ว ดังนั้นต่อให้จะอายุครึ่งร้อยแล้วก็ยังมีรูปโฉมเป็นเด็กสาว เอวบางร่างน้อย ตรงเอวพกดาบเล่มยาว
คนร่วมสำนักสามคนนี้ หม่าฉวีเซียนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่เป็นขอบเขตยอดเขาขั้นสมบูรณ์แบบ
โต้วเฝิ่นเสียและเลี่ยวชิงอ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตคอขวดเดินทางไกล
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั้งสามคนต่างก็มีหวังได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบ
ดังนั้นในสายตาของคนนอก หากในอนาคตภายในหนึ่งสำนักมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบปรากฏตัวพร้อมกันห้าคน นั่นก็จะเป็นช่วงเวลาที่โชคชะตาบู๊ของราชวงศ์ต้าตวนรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เรียกได้ว่าไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีอีกในอนาคต
ลมเย็นโชยผ่านป่าไผ่ เส้นผมตรงจอนหูของคนชุดเขียวที่อยู่ห่างไปไกลขยับไหวเล็กน้อย ชายแขนเสื้อโบกสะบัดเบาๆ ดุจเมฆคล้อยริ้วน้ำกระเพื่อม
ราวกับว่าคนผู้นี้ได้เลื่อนไปอยู่ในขอบเขตลี้ลับมหัศจรรย์ที่ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง
ภาพที่เงียบสงบนี้ช่างสบายตาชวนมองเสียจริง ทำเอาโต้วเฝิ่นเสียมองด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ อิ่นกวานหนุ่มที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแต่ไม่เคยได้พบเจอหน้า มิน่าเล่าตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มถึงสามารถต่อสู้กับศิษย์น้องเล็กของตนบนหัวกำแพงเมืองติดต่อกันได้ถึงสามครั้ง
เลี่ยวชิงอ่ายกลับมีสีหน้าเย็นชาราวน้ำค้างแข็ง ไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อคนผู้นี้ เอาชนะศิษย์น้องเล็กไม่ได้ก็ฉวยโอกาสที่เฉาสือเข้าร่วมการประชุมมาหาเรื่องศิษย์พี่? นี่นับเป็นเรื่องอะไรได้?
หม่าฉวีเซียนยิ้มถาม “เฉินผิงอัน เจ้ามาหาผิดคนหรือไม่ ข้าผู้แซ่หม่ามีชื่อเสียงใหญ่โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หากเจ้าอยากถามหมัดประลองฝีมือ ขัดเกลาวิถีวรยุทธ ที่อื่นไม่ใช่ว่ายังมียอดฝีมือผู้อาวุโสคนอื่นอยู่หรอกหรือ? ดูเหมือนว่าไม่น่าจะถึงคราวข้าได้เลยนะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้มาหาผิดคน มาหาเจ้านี่แหละ เว้นเสียจากว่าเจ้าไม่ใช่หม่าฉวีเซียน”
ตอนนี้บริเวณโดยรอบของศาลบุ๋นมีปรมาจารย์ใหญ่บนยอดเขาวิถีวรยุทธมารวมตัวกันในมุมลับ รวมแล้วมีประมาณสองมือนับ
จางเถียวเสียแห่งแผ่นดินกลาง ซ่งจ่างจิ้งแห่งแจกันสมบัติทวีป หวังฟู่ซู่แห่งอุตรกุรุทวีป อู๋ซูแห่งใบถงทวีป เพ่ยอาเซียงแห่งธวัลทวีป…ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่วิชาหมัดสูงส่งของในหนึ่งทวีป
แม้ว่าหม่าฉวีเซียนจะมีความทะเยอทะยานหยิ่งจองหอง แต่กลับไม่ได้ตาสูงมองไม่เห็นหัวใครจนคิดว่าทุกวันนี้ตนสามารถทัดเทียมกับผู้อาวุโสเหล่านี้ได้แล้ว
ก่อนหน้านั้นที่มีการคัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้าออกมา อิ่นกวานตรงหน้าผู้นี้อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด อาศัยสองสถานะสำคัญอย่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าและผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดมายึดครองตำแหน่งหนึ่งไป
เพียงแต่ว่าหม่าฉวีเซียนรู้มาจากทางอาจารย์และศิษย์น้องเล็กว่า อันที่จริงเฉินผิงอันได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบที่ใบถงทวีปแล้ว
ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันมาหาถึงที่ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยังถามหมัดกับตน เท่ากับว่าใช้ขอบเขตสิบถามหมัดต่อขอบเขตเก้า ย่อมไม่สมเหตุสมผลอย่างแน่นอน ชนะไปแล้วก็ไม่ได้มีเกียรติอะไร
แน่นอนว่าหากเฉินผิงอันยืนกรานจะถามหมัดจริงๆ หม่าฉวีเซียนก็ไม่ถือสาที่จะต้องรับหมัด
หม่าฉวีเซียนคือผู้ฝึกยุทธของต้าตวน ยิ่งเป็นแม่ทัพบู๊ในสนามรบที่เริ่มต้นมาจากพลทหารตัวเล็กๆ ทุกวันนี้ยังบัญชาการณ์กองทัพฝีมือดีของชายแดนจำนวนสองแสนนายอีกกองหนึ่ง
ดังนั้นหม่าฉวีเซียนจึงคร้านจะคิดมาก เพียงยิ้มถามว่า “จะถามหมัดกันอย่างไร?”
“ให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หากแพ้ก็ขอโทษยอมรับผิดแต่โดยดี จากนั้นค่อยมอบของสิ่งหนึ่งคืนมา”
เฉินผิงอันกล่าว “แพ้หมัดไม่แพ้คน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบเขตถดถอย ชีวิตนี้ไร้ความหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบ วันหน้าข้าค่อยถามหมัดกับเผยเปย เอาของชิ้นนั้นกลับคืนมา”
หม่าฉวีเซียนฟังด้วยความมึนงง นี่มันอะไรกับอะไรกัน? ขอโทษอะไร ยอมรับผิดกับใคร? คืนของอะไรให้? เขากับเฉินผิงอันไม่เคยคบค้าสมาคมกันเสียหน่อย
โต้วเฝิ่นเสียพลันคลี่ยิ้ม กำก้อนหินในมือแน่น ชูหลังมือขึ้นสูงเอามาอุดริมฝีปากตัวเอง รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้บีบบังคับผู้อื่นได้น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เลี่ยวชิงอ่ายเอ่ยเสียงเย็น “เฉินผิงอัน นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะทำตัวพาลพาโลตามแต่ใจได้!”
เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ผายมือข้างหนึ่งให้กับหม่าฉวีเซียน บอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าสามารถออกหมัดก่อนได้เลย
บุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจน วันนี้มาเยี่ยมเยือนเพียงแค่มาถามหมัดกับหม่าฉวีเซียนคนเดียวเท่านั้น ต้องการใช้หลักการเหตุผลที่หม่าฉวีเซียนถนัด ใช้หมัดและเท้าของผู้ฝึกยุทธ เอาวิธีที่คนผู้นั้นใช้มาเล่นงานคนผู้นั้นกลับคืน
ราชวงศ์ต้าตวนอะไร แน่นอนว่าต้องไม่เกี่ยวข้องกับคู่อาจารย์และศิษย์เผยเปยเฉาสือ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธหญิงสองคนอย่างโต้วเลี่ยวนี่ด้วย แต่หากมีคนยืนกรานจะเข้ามาร่วมวง เฉินผิงอันก็จะอธิบายเหตุผลให้ฟังไปพร้อมกันเลย
เลี่ยวชิงอ่ายพลันหันไปมองจุดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ ถึงกับมีผู้ฝึกตนบนภูเขากล้ามองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือจากไกลๆ มายังที่แห่งนี้
ขณะเดียวกันโต้วเฝิ่นเสียก็หัวเราะคิกคัก ใช้ปลายดีดนิ้วใบไผ่ใบหนึ่ง ใบไผ่เปล่งวูบหายไปเหมือนกระบี่บินเล็กจิ๋วที่ลากเส้นตรงเส้นหนึ่งออกไป สุดท้ายใบไผ่สีเขียวมรกตไปหยุดลอยอยู่ตรงจุดหนึ่งคล้ายผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่
ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่ร่ายวิชาอภินิหารอยู่ในจวนเซียนบนภูเขาอ๋าวโถวจึงได้แต่หุบฝ่ามือเก็บวิชาอภินิหารนั้นมา เซียนเหรินที่อยู่ในจวนส่ายหน้า ยิ้มจืดเจื่อน เขาคือผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่งของราชวงศ์ต้าตวน ตามเหตุตามผลแล้วควรต้องปกป้องพวกลูกศิษย์ของราชครูเผยเปยให้มากหน่อย ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธสามคนที่อยู่ในกระท่อมกลางป่าไผ่อาจยังไม่รู้รากฐานของฝ่ายที่มาถามหมัดดีนัก แต่เซียนเหรินต้าตวนได้ชมคลื่นมรสุมบนเกาะยวนยางมาตั้งแต่ต้นจนจบ รู้ถึงความร้ายกาจของเซียนกระบี่ชุดเขียวเป็นอย่างดี
และสาเหตุที่ทำให้เซียนเหรินได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนยังมีอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือเซียนกระบี่ชุดเขียวอยู่ในป่าไผ่ บุคลิกและมาดของเขาช่างคุ้นตายิ่งนัก ถึงกับมีความคล้ายคลึงกับร่างเมฆาวารีของเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่วเจินอยู่หลายส่วน
แต่ในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าพวกหม่าฉวีเซียนสามคนจะเพิ่งเคยเจอเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้เลย
หนึ่งเพราะเฉินผิงอันตอนเป็นเด็กหนุ่มได้เจอกับเฉาสือที่ไปสร้างกระท่อมฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยมีเรื่องราวที่รบสามศึกแพ้สามศึก นอกจากนี้ภายหลังเฉินผิงอันได้รับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขามาคนหนึ่ง คือหญิงสาวที่มีชื่อว่าเผยเฉียน ระหว่างที่นางท่องเที่ยวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางตามลำพังเคยได้ไปเยือนราชวงศ์ต้าตวน ไปหาเฉาสือแล้วบอกชื่อแซ่ของตัวเอง ถามหมัดสี่ครั้ง ผลแพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น แต่เผยเปยกลับชื่นชมผู้ฝึกยุทธหญิงต่างถิ่นที่มีแซ่เดียวกันนี้อย่างมาก ในช่วงเวลาที่เผยเฉียนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในจวนราชครู แม้แต่ยาที่เผยเฉียนใช้ทุกวันก็ยังเป็นเผยเปยที่จัดตำรับยาให้ด้วยตัวเอง
โต้วเฝิ่นเสียคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย ถามว่า “คุณชายเฉิน ขอปรึกษากับเจ้าหน่อยได้หรือไม่ ก่อนที่เจ้าจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับหม่าฉวีเซียน ขอให้ข้าได้ถามหมัดเจ้าสักหนึ่งกระบวนท่า ไม่ถือว่าเป็นการถามหมัดที่จริงจังอะไร”
หม่าฉวีเซียนตวาดดุ “ศิษย์น้องโต้ว อย่าเหลวไหล!”
โต้วเฝิ่นเสียกลับขยับเท้าเดินห่างออกไปด้านข้างหลายก้าว แล้วขว้างก้อนหินสามก้อนที่อยู่ในมือออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตามไปด้วยใบไผ่หลายใบที่พุ่งตรงเข้าหาคนชุดเขียวรวดเร็วราวกระบี่บิน
จากนั้นนางจึงยื่นมือไปกดลงบนต้นไผ่เขียวที่อยู่ด้านข้าง ใบไผ่ส่งเสียงซู่ๆ แล้วพากันร่วงพรูลงมา ใบไม้เขียวมรกตกองใหญ่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศ กลายมาเป็นสีเขียวขจีเปล่งปลั่งกองใหญ่ ราวกับกระบี่บินหลายร้อยเล่มที่ถูกเรียกออกมา
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อข้างซ้าย สลายก้อนหินและใบไผ่ที่พุ่งมาปะทะใบหน้าเหล่านั้นทิ้งไป จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้น ประกบสองนิ้วติดกัน ชี้ไปเบาๆ หนึ่งที ปราณกระบี่ก็มารวมตัวกันอยู่ที่หว่างคิ้วของโต้วเฝิ่นเสีย คล้ายกลับว่ามีเมล็ดงาที่เปี่ยมไปด้วยปราณกระบี่เอ่อล้นมารวมตัวกันดันหว่างคิ้วของนางเอาไว้เบาๆ เหมือนแขกที่เพียงแค่มายืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้เคาะประตู ใบหน้าทั้งดวงของโต้วเฝิ่นเสียที่ซีดขาวมีริ้วกระเพื่อมออกมาเบาๆ มวยผมทรงวิญญาณงูบนศีรษะก็คลายตัวออก
นางไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก ใบไผ่ที่สูญเสียการประคับประคองจากปณิธานและลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธระเบิดกระจายออกจากกัน จำนวนไม่น้อยหล่นลงบนเส้นผมและหัวไหล่ของนาง นางกระทืบเท้าหนึ่งที เผยให้เห็นท่าทางของเด็กสาวที่อับอายจนพานเป็นความโกรธ บ่นอย่างไม่พอใจว่า “ต่ำกว่าสองขอบเขตจริงดังคาด ไม่อาจสู้ได้เลย”
โต้วเฝิ่นเสียปัดมือ ตรงจุดที่ก่อนหน้านี้ถูกเฉินผิงอันใช้ชายแขนเสื้อสะบัดตบให้ก้อนหินและใบไผ่แตกกระจายมีแสงสีทองเป็นจุดๆ ที่ถูกนางตบให้สลายหายไป
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ โต้วเฝิ่นเสียผู้นี้จงใจเผยสถานะคนถือดาบออกมาให้เห็น ความรู้วิชาบู๊ของสายนี้ เดิมทีก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่กลับสามารถอาศัยเวทลับมาสยบกำราบผู้ฝึกยุทธได้โดยธรรมชาติ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันพบเจอนางก็เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่เจอกับผู้ฝึกกระบี่ รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด โอกาสชนะน้อยนิดอย่างมาก เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธสายของคนถือดาบ ดูเหมือนจะแค่เคยได้ยินมาว่าที่ใต้หล้ามืดสลัวมีอยู่ไม่น้อย ทว่าใต้หล้าไพศาลกลับหาร่องรอยได้ยากยิ่ง
น่าเสียดายที่แม้แต่ชุยตงซานก็ยังรู้เรื่องเวทถือดาบนี้ไม่ละเอียดมากนัก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้แค่เรียนรู้มาอย่างผิวเผิน ได้แต่เอามาข่มขู่ให้คนกลัวเท่านั้น เจอกับการเข่นฆ่าที่เป็นตายมีเส้นแบ่งเพียงเสี้ยวเดียว ย่อมไม่มีโอกาสได้เอามาใช้อย่างแน่นอน
โต้วเฝิ่นเสียคลี่ยิ้มหวานหยด ยังคงมองประเมินคนชุดเขียวที่ท่วงท่าสุขุมเยือกเย็นอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่แอบรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเตือนหม่าฉวีเซียนว่า “ศิษย์พี่ ข้าเดาถูกแล้ว นอกจากเฉินผิงอันจะเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วยังเป็นคนถือดาบที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำด้วย ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับข้า การถามหมัดต่อจากนี้ศิษย์พี่ต้องระวังตัวให้มาก ไม่ว่าอย่างไรระวังตัวเอาไว้ก็ไม่มีอะไรที่เกินไป”
หม่าฉวีเซียนกลับไม่ค่อยรับน้ำใจนัก ก็แค่การถามหมัดครั้งหนึ่งเท่านั้น เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง โต้วเฝิ่นเสียวางแผนเล่นงานอีกฝ่ายเช่นนี้ หากตนแพ้ก็ยิ่งน่าขายหน้า ไม่ใช่ว่าแค่ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้เท่านั้น เขาจึงตอบกลับศิษย์น้องหญิงไปว่า “ศิษย์น้องหญิงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจถึงเพียงนี้”
โต้วเฝิ่นเสียสีหน้าเป็นธรรมชาติ คล้ายว่าสนใจแต่จะมองสบตาส่งกระแสจิตให้อิ่นกวานหนุ่มเพียงอย่างเดียว ทว่าน้ำเสียงที่พูดคุยกับศิษย์พี่กลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล “แค่มองอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ท่านกำลังจะถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดถามหมัดอยู่รอมร่อแล้ว ยังจะต้องการหน้าตาไปอีกทำไม ท่านเป็นบุรุษตัวโตๆ แต่กลับเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด! หากเปลี่ยนข้าเป็นท่านจะช่วยกันรุมเขาทั้งสามคนเลย!”
เฉินผิงอันหัวเราะ
พอจะเดาความคิดของโต้วเฝิ่นเสียออกคร่าวๆ เพียงแค่ไม่เปิดโปงต่อหน้าเท่านั้น
หม่าฉวีเซียนเริ่มเดินหน้าไปช้าๆ อีกฝ่ายมาหาถึงที่แล้ว ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าขั้นสมบูรณ์แบบที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็เป็นขอบเขตยอดเขาได้แล้ว และยังเป็นลูกศิษย์ใหญ่ในนามของอาจารย์ ก็ไม่มีเหตุผลที่ตนจะไม่รับหมัด
——