CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 804.2 ชนะไปก่อนหนึ่งตา

  1. Home
  2. กระบี่จงมา Sword of Coming
  3. บทที่ 804.2 ชนะไปก่อนหนึ่งตา
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “ผิดปกติ? เมื่อครู่ทำไมไม่พูดเล่า ปากฝ่าบาทก็ไม่ได้ถูกเย็บปิดไว้เสียหน่อย”

หยวนโจ้วกล่าว “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นฮ่องเต้ คำพูดที่พูดออกไป น้ำที่สาดออกไป ล้วนเป็นพระราชโองการฉบับหนึ่ง หากเปลี่ยนใจขึ้นมาจริงๆ ยังจะถูกใต้เท้าอิ่นกวานดูแคลนเปล่าๆ อีกต่างหาก นั่นจะยิ่งขาดทุนกว่าเดิม”

ระหว่างที่เดินทางมา คนทั้งสองปรึกษากันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะกึ่งขายกึ่งแถมเรือเฟิงยวนลำนั้นไป ถือเสียว่าในท้องพระคลังไม่มีของเล่นชิ้นนี้อยู่

ราชวงศ์เสวียนมี่สานความสัมพันธ์กับภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายยังมีมิตรภาพส่วนตัว ล้วนถือว่าอยู่ในขอบเขตที่สมควรทั้งสิ้น

เพราะถึงอย่างไรน้ำใจส่วนนี้ สุดท้ายต้องมีครึ่งหนึ่งที่หล่นลงบนหัวของอวี้พ่านสุ่ย ดังนั้นจึงยุยงให้ฮ่องเต้มาด้วยกัน

ผลคือพอถึงท้ายที่สุด ฮ่องเต้หยวนโจ้วไม่เพียงแต่มอบเรือข้ามทวีปลำหนึ่งไปให้เปล่าๆ ดูเหมือนว่าราชวงศ์เสวียนมี่ยังต้องช่วยจ่ายค่าซ่อมแซมให้กับเฟิงยวนอีกก้อนหนึ่งด้วย

เป็นเหตุให้อวี้พ่านสุ่ยที่นั่งเรือออกจากเกาะนกแก้วมาแล้วก็ยังอึ้งตะลึงไม่หาย

เชื่อเงินเอาไว้ก่อน? ถ้าอย่างนั้นจะดีจะชั่วเจ้าก็ช่วยบอกให้ชัดเจนหน่อยสิว่าจะคืนเงินให้เมื่อไหร่ พวกเราไม่ถาม เจ้าก็ไม่คิดจะพูดเลยรึ? ใต้หล้านี้มีใครเขาเป็นหนี้แบบเจ้ากันบ้าง?

สุดท้ายยังมีหน้ามาพูดประโยคว่า ‘ปฏิเสธน้ำใจของคนอื่นถือเป็นการแสดงความไม่เคารพ รับน้ำใจของคนอื่นมาก็ให้ละอายใจ’?

อวี้พ่านสุ่ยเอาของถือเล่นในมือมาขยี้แก้มที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีกลิ่นของตัวเองอย่างแรง ในใจคิดถึงแม่นางน้อยที่ไปเป็นแขกในบ้านของตนปีนั้น เผยเฉียนมองดูแล้วเป็นคนซื่อมากเลยนะ แม่นางน้อยที่อยู่ในกฎในระเบียบ ช่างเป็นเด็กที่มีมารยาทยิ่งนัก หากไม่เป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าหน้าไม่อายแอบเล่นตุกติก วัตถุจื่อชื่อที่มีมูลค่าชิ้นนั้นก็เกือบไม่ได้มอบไปให้แล้ว วนไปวนมารอบหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่กระเป๋าได้สำเร็จแล้ว

เผยเฉียนที่ไม่ละโมบโลภมาก เหตุใดถึงมาเจอกับอาจารย์ที่เป็นคนเห็นแก่เงินเช่นนี้ได้นะ?

หยวนโจ้วกวาดตามองไปรอบด้าน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “ท่านปู่อวี้ ที่แท้ฟ้าดินด้านนอกก็มีข้าวของที่เป็นสีเหลืองน้อยขนาดนี้เชียวหรือ”

อยู่ที่บ้าน อยู่ในวัง ไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่ที่เขาจำความได้ พอคิดถึงที่นั่น ในสมองของฮ่องเต้เด็กหนุ่มก็จะมีแต่ข้าวของที่เป็นสีเหลืองอร่าม หลังคาสูง มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดก็เป็นสีเหลืองมลังเมลือง ชุดที่สวมอยู่บนร่าง เบาะที่นั่งอยู่ใต้ก้น ชามตะเกียบที่ใช้บนโต๊ะ เกี้ยวที่แกว่งส่ายไปมาอยู่ตรงกลางกำแพงสูงสองด้าน ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่สีเหลือง ราวกับว่าใต้หล้านี้มีสีนี้อยู่แค่สีเดียวเท่านั้น

ส่วนสีอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นในวังมีหอเก็บตำราที่เป็นสีดำ ด้านในเก็บตำราล้ำค่าหายากมากมายที่ชั่วชีวิตนี้เด็กหนุ่มไม่คิดจะไปแตะต้อง และคนนอกก็ยิ่งไม่อาจได้เห็นไปชั่วชีวิต

ส่วนสีสันที่อยู่บนตัวของพวกขุนนางทั้งหลาย ก็เหมือนกับน้ำในลำธารที่ไหลคดเคี้ยว มาๆ ไปๆ อยู่ในบ้านของเขาทุกวัน เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา และมักจะมีคนแก่ที่พูดจาด้วยนิสัยของเด็ก คนอายุน้อยพูดจาลึกซึ้งยากจะคาดเดา จากนั้นเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง ไม่เข้าใจก็จะแสร้งทำเป็นเข้าใจ เจอกับเรื่องใหญ่ที่รับมือไม่ถูกก็จะมองเจ้าอ้วนอวี้แวบหนึ่ง

สำหรับไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่ผู้นี้ ตอนที่เจ้าอ้วนอวี้ไม่อยู่ข้างกาย ขุนนางบุ๋นอายุมากที่เส้นผมขาวโพลนหลายคนต่างก็เคยใช้คำพูดมาบอกเป็นนัยแก่เด็กหนุ่มอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อันที่จริงหยวนโจ้วเข้าใจ แต่แค่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น ผู้เฒ่าบางคนหวังดีกับเขาจากใจจริง แต่บางคนกลับต้องการให้อวี้พ่านสุ่ยออกไปจากราชสำนัก ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งขุนนางมากมายก็จะขยับก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งตามเขาไปด้วย ทว่าหยวนโจ้วไม่ได้สนใจ อย่างมากก็แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน บ้างก็ตาแดงก่ำน้อยๆ ร่วมไปกับพวกผู้เฒ่าทั้งหลายเท่านั้น อันที่จริงยุ่งยากอย่างมาก สุดท้ายเขายังต้องเตือนพวกขันทีของฝ่ายซือหลี่เจียน (สำนักขันทีฝ่ายพิธีการ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับจารีตพิธีการในราชสำนัก ตรวจตราระเบียบวินัยและลงอาญาข้าราชการฝ่ายใน) หลายคนที่อยู่ข้างกายว่าวันหน้าที่ไปพูดคุยกับท่านปู่อวี้ อย่าลืมเล่าถึงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ร่วมแสดงเออออกับคนทั้งหลายของเขาไปด้วย

เล่นอะไรกัน มีประโยชน์อะไรกับเขาหรือ? อวี้พ่านสุ่ยไม่มีทางเป็นฮ่องเต้ และราชวงศ์เสวียนมี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจขาดที่พึ่งสำคัญอย่างตระกูลอวี้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่เป็นเด็กตัวเท่าก้นก็อย่าก่อเรื่องส่งเดชเลย

ต้นซิ่งโบราณในวังต้นนั้นมีอายุอยู่มาเจ็ดแปดร้อยปีแล้ว ว่ากันว่าอยู่มาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนของราชวงศ์ก่อนเสียอีก เป็นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นท่านหนึ่งที่ปลูกด้วยตัวเอง พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใต้ต้นไม้ก็จะมีใบไม้สีเหลืองทองปูเต็มพื้น ใบไม้ร่วงอยู่ทุกปี ทว่าก็มีใบเขียวผลิใบแตกใหม่อยู่ทุกปีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ทว่าสกุลอวี้แผ่นดินกลางที่หยั่งรากลึกกลับเขียวขจีอยู่ทั้งสี่ฤดูกาล ไม่เคยมีวันที่ใบไม้ร่วง

อวี้พ่านสุ่ยมีสีหน้าเมตตาปราณีอย่างที่หาได้ยาก ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม เอ่ยเสียงเบาว่า “คนที่เป็นเจ้าประมุขดูแลบ้านมักจะต้องลำบากอยู่เสมอ”

เด็กหนุ่มเอียงศีรษะหลบ บ่นอย่างไม่พอใจ “หัวของฮ่องเต้ก็กล้าลูบนะ”

อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะฮ่าๆ ตบใบหน้าของเด็กหนุ่มเบาๆ “ครั้งนี้ออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นเพื่อนเจ้า ท่านปู่อวี้อารมณ์ไม่เลว ดังนั้นในอนาคตใครจะมาเป็นฮ่องเต้ วันหน้าเจ้าก็เป็นคนเลือกเอง จะใช้แซ่อวี้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร”

หยวนโจ้วกระทืบเท้า “ได้ยินมาว่าอวี้เจวี้ยนฟู่กับอวี้ชิงชิง พี่หญิงสกุลอวี้ที่งดงามที่สุดสองคนนี้ต่างก็มีคนในดวงใจแล้ว แล้วข้าจะยังเลือกใครได้อีกหรือไงหา หา!?”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มตาหยี “แม่หนูชิงชิงนั่นชอบหลินจวินปี้ เรื่องนี้ข้ารู้ดี ส่วนเจวี้ยนฟู ได้ยินว่าตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ถามหมัดกับใต้เท้าอิ่นกวานไปสองรอบ หึหึ ฝ่าบาทเข้าใจหรือไม่เล่า?”

หยวนโจ้วใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “พี่หญิงเจวี้ยนฟู่ อ้อ ไม่ถูก ต้องเป็นพี่สะใภ้ ก็ไม่ถูกเหมือนกัน ต้องบอกว่าพี่สะใภ้เล็กสายตาดียิ่งนัก”

อวี้พ่านสุ่ยตบเจ้าลูกกระต่ายจนหัวหมุนตาลาย

……

ทางฝั่งของอำเภอพ่านสุ่ย

บัณฑิตหนุ่มที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความยากจนไปพบผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่กำลังพักรักษาตัว

ชิงกงไท่เป่า จิงเฮา ต่อให้ได้รับบาดเจ็บไม่เบามาจากฝีมือจั่วโย่ว แต่ก็ยังไม่ได้จากไป ราวกับกำลังรอจะทวงความยุติธรรมจากศาลบุ๋น

เจ้าคนที่ก่อนหน้านั้นขัดขวางจั่วโย่ว จากนั้นจึงหลบหนีแล้วค่อยมาขอโทษ คือผู้ฝึกตนคนแรกที่วิ่งกลับเรือนมาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล

เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ ช่วยเฝ้าบ้านให้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ไม่น่าอาย

พวกลูกสมุนบนภูเขาคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เหมือนนกที่บินแตกฮือ พูดจาไพเราะน่าฟังว่ามิกล้าถ่วงเวลาการพักรักษาตัวของบรรพจารย์จิง

เพียงแต่เบื้องหน้าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบผู้นั้นพลันพร่าลาย ล้มตึงแล้วลุกไม่ขึ้นอีก ก่อนจะหมดสติไปก็เห็นแค่ว่ามีชุดสีเขียวเดินสวนไหล่ผ่านตนไปอย่างเลือนรางเท่านั้น

เรือนพักแห่งนี้เงียบสงบ กอกล้วยสีเขียวมรกตลำต้นอวบอิ่มราวกับหยดน้ำ

จิงเฮาเดินออกมาจากห้อง มองบัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ในลานบ้าน ในเมื่อมองไม่ออกว่าตบะของอีกฝ่ายตื้นหรือลึก ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าต้องขอบเขตสูงมาก

แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นคล้ายคนว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงเขย่งปลายเท้าตวัดเตะใบกล้วยแถบหนึ่ง แล้วปล่อยให้มันดีดตัวเด้งกลับเบาๆ

มีบทเรียนจากการถามหมัดของจั่วโย่วก่อนหน้านี้ จิงเฮาจึงไม่ได้รีบร้อนโกรธเคือง ยิ้มถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “สหายมาเยือนถึงบ้าน ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับแต่ไกล”

เฉินจั๋วหลิวมองชิงกงไท่เป๋าที่เวทคาถาเลื่องชื่อไปทั้งหลิวเสียทวีปผู้นี้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ภูเขาชิงกงของพวกเจ้ารุ่นใหม่สู้รุ่นเก่าไม่ได้ทุกที ยิ่งอยู่นานยิ่งถอยหลังกลับ”

จิงเฮายิ้มบางๆ “หรือว่าสหายรู้จักกับบรรพจารย์ของภูเขาชิงกงพวกเรา?”

เฉินจั๋วหลิวคร้านจะอ้อมค้อมกับเจ้าคนผู้นี้ ถามว่า “อาจารย์ของเจ้า ในห้องนางได้แขวนภาพเหมือนของข้าไว้หรือไม่?”

ชิงกงไท่เป่าผู้นี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โค้งตัวคารวะ ถึงกับพูดเสียงสั่น ไม่รู้ว่าตื้นเต้นหรือว่าหวาดเกรงกันแน่ “ผู้เยาว์จิงเฮา คารวะเฉินเซียนจวิน”

ถูกขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเรียกด้วยความเคารพว่าเซียนจวินได้ แน่นอนว่ามีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่เท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง

ผู้ฝึกกระบี่

คนพิฆาตมังกร

อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว

ความลับของสำนักเรื่องนี้ พวกศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนของจิงเฮาก็ยังไม่รู้ เป็นเพราะก่อนจะจากไป อาจารย์ได้บอกเรื่องนี้แก่เขา ตอนนั้นนางสีหน้าซับซ้อน บอกความจริงที่ชวนตะลึงพรึงเพริดนี้แก่จิงเฮา บอกว่าภูเขาชิงกงใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้เป็นวัตถุของคนอื่น นางเพียงแค่ยืมเขามาชั่วคราว ไม่ถือเป็นสำนักของตัวเอง บุรุษผู้นั้นรับลูกศิษย์ไว้สองสามคน คนหนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือเจิ้งไหวเซียนแห่งนครจักรพรรดิขาว วันหน้าหากภูเขาชิงกงเจอกับปัญหายากลำบาก เจ้าก็เอาภาพนี้ลงจากภูเขาไปหาเขา หากไม่เจอเขาก็ไปหาเจิ้งไหวเซียน

จิงเฮาคือบุตรชายโทนของคู่รักคู่หนึ่งในศาลบรรพจารย์ ปีนั้นตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อยได้ถูกพ่อแม่ที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่ดีนักขอร้องอ้อนวอน ถึงจะขอสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาจากอาจารย์ที่เป็นเจ้าขุนเขาคนก่อนได้

ภายหลังมีสถานะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน อีกทั้งเขาอายุยังน้อยจึงเคยไปที่พักของอาจารย์อยู่หลายครั้ง รู้ว่าที่นั่นแขวนภาพเหมือนของบุรุษคนหนึ่งเอาไว้ และยังมีบทกลอนอีกบทหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ทำเป็นกระดาษวาดภาพคุณภาพแย่เกินไป ตัวอักษรจึงเลือนรางเพราะชื้นน้ำ เนื้อหาจึงขาดหายไปมาก

คนชุดเขียวคลี่ยิ้มนอกเมฆขาว…เหมยป่าผอมบางจนเงาเหมือนไร้…

ตอนที่จิงเฮาเป็นเด็กหนุ่มเคยสอบถามเรื่องนี้กับศิษย์พี่หญิงอายุมากคนหนึ่ง ศิษย์พี่หญิงเดาความหมายคร่าวๆ ว่า พูดถึงปีนั้นว่ามีคนผู้หนึ่งลงจากเขาเดินทางไกล ทิ้งสาวงามให้อยู่เดียวดายกลางภูเขา จนนางผ่ายผอมซูบโทรม

สายของจิงเฮานี้ หากย้อนขึ้นไปสองรุ่นก็คือรุ่นอาจารย์ปู่ของจิงเฮา อันที่จริงคือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่เดินกร่างไปทั่วหล้า ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขามานานพันปี แต่กลับไม่เคยหาที่พักพิงที่เหมาะสมเจอสักแห่ง ได้ยินมาว่าภายหลังอาจารย์มีโชควาสนาลึกล้ำ จึงได้ช่วยอาจารย์ปู่หาภูเขาชิงกงแห่งนี้พบ จากนั้นก็เริ่มเปิดภูเขาตั้งพรรค สะสมคุณความชอบไว้กับทางศาลบุ๋นจึงได้เลื่อนขั้นเป็นสำนัก แตกกิ่งก้านสาขา สุดท้ายกลายเป็นจวนเซียนลำดับสูงสุดบนยอดเขาของหลิวเสียทวีป ทุกวันนี้ก็ยิ่งนั่งครองเก้าอี้อันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง

สามพันกว่าปีที่ผ่านมาภูเขาชิงกงราบรื่นมาโดยตลอด ดังนั้นจิงเฮาจึงไม่เคยมีโอกาสหยิบภาพลงจากภูเขา

สถานที่ฝึกตนของอาจารย์ได้ถูกจิงเฮาแยกไว้เป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนักนานแล้ว นอกจากจะส่งผู้ฝึกตนหญิงที่มือเท้าคล่องแคล่วคนหนึ่งให้ไปคอยเก็บกวาดที่นั่นอยู่เป็นระยะ แม้แต่ตัวจิงเฮาเองก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

เฉินจั๋วหลิวหัวเราะหยัน “หรือวันนี้ข้ามาเพื่อตามหาญาติกันเล่า? หวังจะขอเสียงโขกศีรษะสองสามทีมาจากผู้เยาว์ที่เป็นเศษสวะคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?”

จิงเฮาสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ถึงกับลงไปนั่งคุกเข่าหมอบกราบ หน้าผากสัมผัสพื้นเบาๆ สามที “ผู้เยาว์จะยกภูเขาชิงกงให้กับเฉินเซียนจวินนับแต่บัดนี้”

อาจารย์ของจิงเฮารวมไปถึงบอาจารย์ปู่ที่ในประวัติศาสตร์เคยเลื่อนขั้นอยู่ในอันดับสิบคนของไพศาล ต่างก็เป็นขอบเขตบินทะยาน โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ชื่อเสียงจึงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างแท้จริง

นี่ก็คือการสืบทอดบนภูเขาที่แท้จริงแล้ว

รอกระทั่งจิงเฮารับช่วงต่อดูแลภูเขาชิงกงก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกัน สามารถฝึกตนจนกลายมาเป็นขอบเขตบินทะยานได้อย่างราบรื่น

แต่เจ้าสำนักคนปัจจุบันของภูเขาชิงกงหรือควรจะพูดว่าอดีตเจ้าขุนเขาคนก่อนกลับเป็นรองอยู่ไม่น้อย ชั่วชีวิตนี้เป็นได้แค่เซียนเหรินเท่านั้น คนผู้นี้ทุกวันนี้ได้รับคำสั่งจากจิงเฮาจึงต้องปิดด่านทบทวนตัวเอง รอให้ครั้งนี้จิงเฮากลับคืนไปยังภูเขาชิงกงก็จะออกคำสั่งถัดไปให้แก่ลูกศิษย์ที่ปากพล่อยไร้หูรูดผู้นี้ เจ้าคนที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จดีแต่จะก่อปัญหาผู้นี้ ถึงกลับกล้าสาดน้ำสกปรกใส่ร่างของอาจารย์เช่นตนเชียวรึ?

พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นี้ ขอบเขตสูงสุดก็มีแค่หยกดิบ ผลสำเร็จบนมหามรรคาในอนาคตไม่แน่เสมอไปว่าจะสูงไปกว่าคนผู้นี้

ดังนั้นบัณฑิตชุดเขียวที่ทั้งไม่ได้สะพายกระบี่และไม่ได้พกกระบี่ตรงหน้าบอกว่าภูเขาชิงกงของพวกเขาคนรุ่นใหม่สู้คนรุ่นเก่าไม่ได้ทุกที จึงไม่ใช่คำพูดเหลวไหลแม้แต่น้อย

ส่วนอาจารย์ของจิงเฮา เวลาพันปีสุดท้ายในชีวิตการฝึกตนของนางค่อนข้างน่าสงสาร ไร้ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต ทั้งยังต้องบาดเจ็บสาหัสจากบุญคุณความแค้นบนภูเขา จำต้องหันไปเดินทางแยกนอกรีต ฝึกตนแต่กลับไม่สามารถสังหารสามอสุภะได้อย่างสิ้นเชิง ยืนหยัดไปถึงขอบเขตหยางบริสุทธิ์ ได้แต่หลบพ้นหายนะที่ต้องสละร่างตายไปมาได้อย่างหวุดหวิด ความคิดและวิญญาณบริสุทธิ์ผลุบเข้าออกในโลกแห่งความมืด เรือนกายผสานรวมกับเซียนดินบรรพกาล สุดท้ายไม่อาจทนรับแรงกระแทกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาปีแล้วปีเล่าได้ เรือนร่างถึงต้องสลายหายไปจากฟ้าดิน

นางถ่ายทอดเวทขว้างกระบี่วิชาหนึ่งให้กับภูเขาชิงกง เป็นวิชาที่สร้างขึ้นเพื่อผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ แต่ตั้งกฎไว้ว่าลูกศิษย์ของภูเขาชิงกงในรุ่นหลัง หนึ่งรุ่นสามารถศึกษาเวทกระบี่นี้ได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น

เล็กเท่าดอกไม้ต้นหญ้าใบไม้ ใหญ่เท่าแม่น้ำลำคลองขุนเขา ล้วนสามารถ ‘ขว้างเหมือนกระบี่บิน’ ได้

อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ โต้วเฝิ่นเสียขว้างก้อนหินและใบไม้ออกมา ก็คือการใช้เวทขว้างกระบี่วิชานี้

แน่นอนว่าแรกเริ่มสุดก็เป็นเฉินจั๋วหลิวที่เป็นคนถ่ายทอดวิชานี้ เล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์มานานหลายพันปี อันที่จริงคนพิฆาตมังกรผู้นี้ไม่เพียงแต่มีสถานะอย่างเจี่ยเฉิง ป๋ายหมางเท่านั้น

จิงเฮายืดตัวขึ้นตรงแล้วก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตลอดเวลา

เฉินจั๋วหลิวจุ๊ปาก “มิน่าเล่าหญิงโง่ผู้นั้นถึงได้เลือกให้เจ้าเป็นเจ้าขุนเขา หน้าตาไม่เท่าไร แต่กลับเฉลียวฉลาด ลุกขึ้นมาเถอะ คุกเข่าอยู่บนพื้นนานแล้ว ไม่เจ็บหัวเข่าหรือไร?”

จิงเฮาถึงได้ลุกขึ้นยืน

เขาที่อยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ไม่อาจไม่อ่อมน้อมเช่นนี้

จั่วโย่วถามกระบี่ ต่อให้เวทกระบี่จะสูงแค่ไหน ก็ถามกระบี่ต่อเขาจิงเฮาคนเดียว

ทว่าผู้อาวุโสที่ปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าผู้นี้กลับสามารถทำให้ภูเขาชิงกงและผู้ฝึกตนหลายร้อยคนบนภูเขาฟ้าพลิกแผ่นคว่ำเพียงแค่เขาพลิกฝ่ามือได้จริงๆ

เฉินจั๋วหลิวเปลี่ยนใจกะทันหัน เอ่ยสั่งความว่า “เจ้าเก็บภูเขาชิงกงไว้ก็แล้วกัน แต่วันหน้าอาจมีเพื่อนคนหนึ่งของข้าไปเป็นแขกที่นั่น จำไว้ว่าให้รับรองเขาให้ดี หากเสียมารยาท ข้าจะมาเอาผิดกับเจ้า ใช่แล้ว ลูกศิษย์ที่ถูกสั่งให้ปิดด่านคนนั้นของเจ้า ข้าว่าพอใช้ได้ ให้เขาเป็นเจ้าขุนเขาของเขาต่อไปก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ยินดีก็ช่างเถิด”

“ยินดี ผู้เยาว์มีลูกศิษย์ที่โชคดีเข้าตาของเซียนจวินได้ ถือเป็นโชควาสนาของเขา และยิ่งเป็นเกียรติของจิงเฮา”

——

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "บทที่ 804.2 ชนะไปก่อนหนึ่งตา"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์