กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 804.3 ชนะไปก่อนหนึ่งตา
เห็นว่าผู้อาวุโสหมุนตัวเตรียมจะจากไป จิงเฮาก็รีบร้อนค้อมเอวกุมหมัด “ขอถามว่าสหายรักบนภูเขาของเซียนจวินชื่อแซ่อะไร มีฉายาหรือไม่? หลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตผู้เยาว์เจอเจินเหรินผู้นี้แล้วแต่กลับไม่รู้จัก”
เฉินจั๋วหลิวก้าวยาวๆ จากไป ยิ้มเอ่ย “พี่น้องคนดีคนนั้นของข้าอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายสวมชุดสีเขียว ฉายาคือราชามังกรน้อยแห่งภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าเจ้าเจอเขาย่อมรู้ว่าเป็นเขาในปราดเดียว”
จิงเฮาก้มหน้าต่ำอยู่ตลอดเวลา เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “น้อมรับคำสั่งเซียนจวิน!”
รอกระทั่งบัณฑิตชุดเขียวหายตัวไปแล้ว จิงเฮาก็ยังคงค้อมเอวต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นช้าๆ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่ ‘เส้นชีพจรคือกิ่งทองใบไม้หยก เรือนกายแทบจะไร้ตำหนิ’ ถึงกับเหงื่อหลั่งเต็มศีรษะอย่างที่ห้ามตัวเองไม่ได้
เพียงแต่ว่าในใจจิงเฮาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ไม่รู้ว่า ‘ราชามังกรน้อย’ ผู้นั้นคือผู้อาวุโสบนยอดเขาคนใดกันแน่?
……
คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากเรือนที่พักบนเกาะนกแก้ว ไปที่ท่าเรือ หลี่เป่าผิงเตรียมจะนั่งเรือโดยสารไปยังศาลบุ๋นเพื่อไปคัดศิลาจารึกคัมภีร์ซีผิง
แค่หลี่ไหวได้ยินก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากปฏิเสธ จึงคิดว่าจะซื้อสำเนาที่พวกบัณฑิตคัดลอกไว้แล้วมาสักสองสามเล่ม เอาแค่ให้ผ่านด่านไปได้ก่อน รับรองว่าวันหน้าจะเปิดอ่านบ่อยๆ แน่นอน
ก่อนจะออกไปจากเรือน หลิ่วชื่อเฉิงหยิบจดหมายเมฆหลากสีแผ่นหนึ่งที่มีเฉพาะในนครจักรพรรดิขาวออกมา ด้านบนเขียนเป็นจดหมายเชื้อเชิญ แล้ววางไว้บนโต๊ะ
แน่นอนว่าเชิญแม่นาง ‘แปดตำลึง’ ที่ยังไม่ทราบชื่อทราบแซ่ก่อนหน้านี้ให้ไปเป็นแขกชมทัศนียภาพที่หอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาว พี่หลิ่วของนางจะต้องปัดกวาดเตียงรอต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน
ตอนนั้นหลี่ไหวฟุบตัวนอนบนโต๊ะอยู่ด้านข้าง ถึงกับส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะปลุกความกล้าพูดโน้มน้าวผู้อาวุโสหลิ่วคนนั้นว่า ถ้อยคำที่ใช้ในจดหมายอย่าได้ตรงไปตรงมาแบบนี้ ดูแล้วไม่สุภาพ ไม่คลุมเครือชวนขบคิดมากพอ
ตอนที่รอเรือข้ามฟากอยู่ริมชายฝั่ง หลิ่วชื่อเฉิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หายตัวไป “มาก็รีบร้อน จากไปก็รีบร้อน คนมีธุระยุ่งนี่นะ”
นักพรตเนิ่นหลุดหัวเราะพรืด “อายุน้อยๆ ก็มีชะตาที่ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจยุ่งวุ่นวาย ไม่รู้เลยว่าวันๆ มัวแต่ง่วนทำอะไรส่งเดชนักหนา”
หลี่ไหวบ่น “พูดถึงพี่น้องของข้าต่อหน้าต่อตาข้าเช่นนี้ ไม่ไว้หน้ากันเลยใช่ไหม เหล่าเนิ่น หากเจ้ายังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปในยุทธภพ เดี๋ยวก็จะไม่ได้กินอยู่อย่างสำราญอีกหรอก”
นักพรตเนิ่นรีบก้มหัวค้อมเอวยิ้มเอ่ยเสียงเบา ทำทุกอย่างนี้ในรวดเดียวดุจเมฆคล้อยน้ำไหล “คุณชาย นี่ไม่ใช่ว่าข้าก็เปลี่ยนวิธีการมาชื่นชมว่าเฉินผิงอันมีความรับผิดชอบ เป็นคำพูดที่แฝงความนัยหรอกหรือ”
กู้ชิงซงทะยานลมมาถึงอย่างรวดเร็ว ร่างกระแทกลงพื้นดังตึง ลมพายุพัดกระโชกแรง พวกผู้ฝึกลมปราณที่รอคอยเรือข้ามฟากอยู่ที่ท่าเรือมีไม่น้อยที่ล้มลงไปกองระเนระนาด
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน แต่ละคนกลับแสร้งทำเป็นว่าเดินเล่นริมน้ำไปอย่างผ่อนคลาย รีบขยับเท้าเดินห่างไป หลบอีกฝ่ายไปให้ไกล
คนพายเรือเฒ่ากวาดตามองไปรอบหนึ่งก็ยังคงรู้สึกว่ามีเพียงนักพรตเนิ่นแห่งไพศาลเท่านั้นที่พอจะมีคุณสมบัติพูดคุยกับตนได้สองสามประโยค ส่วนหลิ่วเต้าฉุนของนครจักรพรรดิขาวนั่น แต่งกายฉูดฉาดแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมไม่แต่งตัวเป็นสตรีแต่งให้เจิ้งจวีจงไปเสียเลยเล่า?
กู้ชิงซงถามอย่างรีบร้อน “นักพรตเนิ่น เจ้าเด็กนั่นล่ะ? ใต้ฝ่าเท้าทาน้ำมันเผ่นหนีไปไหนแล้ว?”
พอนักพรตเนิ่นได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งไปทั้งร่าง พูดกับคนบนเส้นทางเดียวกันด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “สหายกู้ เจ้าหมายถึงเจ้าเด็กนั่นน่ะหรือ ไม่ทันระวังก็หายหัวไปแล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน มาหาเขามีธุระอะไรหรือ? หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ข้าสามารถนำความไปบอกต่อได้”
กู้ชิงซงสบถด่าดังขรม เจ้าเด็กตัวดี ถึงกับหลบหน้าตนเลยหรือนี่?
หลี่เป่าผิงมองผู้เฒ่าที่ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าฟัง
กู้ชิงซงสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง เขาจึงถลึงตาใส่ แต่ก็ยังอดทนข่มกลั้นเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง หน้าตาก็มองแล้วสบายตาอยู่จริงๆ แม่นางที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาเช่นนี้ หาได้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นคนพายเรือเฒ่าจึงแสดงฝีมือออกมาไม่ถึงหนึ่งส่วน ด้วยการพูดว่า “มองอะไร?!”
เพียงแต่ว่าพอคำพูดหลุดออกจากปากไป กู้ชงซิงเองก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เป็นแค่ความรู้สึกที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง และชั่วชีวิตนี้กู้ชิงซงที่ท่องไปทั่วใต้หล้า ยามทะเลาะกับใครก็ไม่เคยอาศัยขอบเขตมาก่อน อาศัยแค่ความรู้สึกเท่านั้น
คนพายเรือเฒ่ารู้สึกว่าดูเหมือนตนจะพลาดเรื่องที่สำคัญอะไรไป แต่คิดอย่างไรก็ดันคิดไม่ออก เหมือนอยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่กลับต้องกลับไปมือเปล่าเหมือนงมจันทร์ในน้ำอย่างไรอย่างนั้น
หลิ่วชื่อเฉิงสะดุ้งเยือกอย่างอดไม่อยู่ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพราะพอคิดอีกทีเขาก็ไม่กล้าเอ่ยเตือนอะไร จึงเอาอย่างน้องหลงป๋อที่สหายตายผินเต๋าไม่ตาย
มารดามันเถอะ รอให้ข้าผู้อาวุโสกลับไปที่อำเภอพ่านสุ่ยเมื่อไหร่ จะต้องขอความรู้เรื่องวิชาหลบเลี่ยงน้ำจากน้องหลงป๋อให้ดีๆ ให้จงได้
หลี่เป่าผิงขยับเส้นสายตาออกไป เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าพี่ชาย
ที่แท้ก็มีบัณฑิตลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินมาหา
หลี่ซีเซิ่ง
กู้ชิงซง หรือควรเรียกว่าเซียนฉา อึ้งงันไร้คำพูดไปในบัดดล
เรื่องบางอย่างเขาก็พอจะมีการคาดเดาอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่กล้าคิดมากก็เท่านั้น
หากเดาถูก ถ้าอย่างนั้นบัณฑิตที่ก่อนหน้านี้เคยเดินเคียงบ่าไปกับโจวหลี่ผู้ดูแลตำราของสำนักชิงเสวียน ก็คือศิษย์พี่ครึ่งตัวของ…อาจารย์ตน?
เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงรับศิษย์น้องสองคนอย่างอวี๋โต้ว ลู่เฉิน ทั้งยังถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แทนอาจารย์
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ ถามว่า “เซียนฉา เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
กู้ชิงซงอึ้งงันไร้คำพูด
หลี่เป่าผิงเอ่ย “พี่ชาย ผู้อาวุโสก็นิสัยเป็นแบบนี้เอง ไม่มีอะไรหรอก”
หลี่ซีเซิ่งหันหน้ามาผงกศีรษะยิ้มให้เป่าผิงน้อย
ส่วนรอยยิ้มบางๆ ที่มอบให้กู้ชิงซงเมื่อครู่นี้ กับรอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบให้กับหลี่เป่าผิง แน่นอนว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลี่ไหวประสานมือคารวะอย่างจริงจัง “คารวะอาจารย์หลี่”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “หลี่ไหว ขอแค่ไม่มีความคิดเกิดขึ้นทุกเวลา ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
หลี่ไหวฟังด้วยความมึนงง แต่ก็ยังพยักหน้ารับ ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แค่ทำตามไปก็พอแล้ว เป็นพี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิง แล้วยังเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่มีทางทำร้ายตนแน่
ในตำรานอกตำรา หลักการเหตุผลนับพันนับหมื่นของใต้หล้านี้ อันที่จริงแค่คว้าจับเอาไว้ให้แน่นสักข้อสองข้อ เมื่อเทียบกับสมองจดจำหลักการเหตุผลไว้จนเต็ม ปากรู้หลักการเหตุผลแล้ว ยังมีประโยชน์มากกว่า
หลี่ซีเซิ่งใช้เสียงในใจเอ่ยกับเซียนฉา “ก่อนหน้านี้ถอนความคิดบางอย่างของเจ้าออกไปก็เพราะว่ามีเหตุผล ความจริงเป็นอย่างไร พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็คงไม่เอาลูกไม้เดิมมาใช้ซ้ำแล้ว เพียงแต่ว่าวันหน้าเมื่อเจอกับน้องสาวของข้าคนนี้ คงต้องรบกวนให้เจ้าเดินอ้อมไปทางอื่นแล้ว”
กู้ชิงซงยืดเอวตรง เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ไม่รบกวนเลย! จะรบกวนได้อย่างไร!”
คนพายเรือเฒ่าไม่ได้หวาดกลัวสถานะของคนผู้นี้ แต่เป็นเพราะเคารพยำเกรงคนผู้นี้จากใจจริง
ท่องไปทั่วใต้หล้า คิดอยากจะให้คนกลัว แค่หมัดแข็งก็พอแล้ว
แต่หากอยากจะให้คนเคารพนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนของหลายใต้หล้ายินดีเคารพนับถือ เพียงแค่อาศัยมรรคกถาที่สูงกลับยังไม่เพียงพอ
นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมคนพายเรือเฒ่าถึงยินดีมองหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยอุตรกุรุทวีปสูงกว่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เพียงผู้เดียว
ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นอาจารย์ลุงรอง อวี๋โต้วที่มีฉายาว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงมายืนอยู่ที่นี่ กู้ชิงซงถามใจตัวเองแล้วก็ไม่รู้สึกหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
ถึงขั้นที่ว่ากู้ชิงซงได้ร่างคำพูดเตรียมมาไว้นานแล้ว เมื่อใดที่ได้ไปเยือนป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว เมื่อเจอกับอวี๋โต้ว ประโยคแรกที่จะถามต่อหน้าก็คือ ปีนั้นอาจารย์ลุงรองไปถึงศาลาจัวฟ่างแล้ว ทำไมถึงไม่ถือโอกาสไปเล่นงานเฉินชิงตูเสียเลยเล่า เป็นเพราะเคารพนับถือผู้อาวุโสผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นมากเกินไป หรือเป็นเพราะสู้ไม่ไหวกันแน่?
คนพายเรือเฒ่าก้มหัวคารวะ
บัณฑิตประสานมือคารวะกลับคืน
กู้ชิงซงเอ่ยขอตัวลาจากไป แต่กลับไม่ได้ทะยานลมไปจากท่าเรือ เขาขว้างใบไม้ใบหนึ่งไปกลางน้ำ ใบไม้จำแลงกลายมาเป็นเรือแจวลำน้อยที่ไหลตามกระแสน้ำลงไปยังแม่น้ำตอนล่าง ในเมื่อไม่ได้พบเฉินผิงอันก็ต้องรีบไปอยู่กับกุ้ยฮูหยิน ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้นางอารมณ์เสียไม่ใช่หรือ?
หลี่ซีเซิ่งเดินมาอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเรือน เหลวไหลใหญ่แล้วนะ วันหน้าต้องระวังให้มาก”
หลี่เป่าผิงกล่าว “มีอาจารย์อาน้อยอยู่ ข้ายังต้องกลัวอะไร”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “ใช่ๆๆ ถึงอย่างไรพี่ชายใหญ่อยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่สำคัญเลยสักนิด”
หลี่เป่าผิงหัวเราะจนตาหยี
หลิ่วชื่อเฉิงอิจฉายิ่งนัก หากตนมีพี่ใหญ่แบบนี้บ้าง อย่าว่าแต่ใต้หล้าไพศาลเลย ต่อให้เป็นใต้หล้ามืดสลัวก็ยังสามารถนอนเตร็ดเตร่ได้
หลี่ซีเซิ่งหันหน้ามาถาม “เจ้าหอหลิ่ว พวกเรามาคุยกันหน่อยไหม?”
หัวใจหลิ่วชื่อเฉิงบีบรัดตัว พูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ศิษย์พี่ของข้าอยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ยนี่เองนะ ไม่สู้ให้ข้านำทางอาจารย์หลี่ไปดีหรือไม่?”
ให้ตายอย่างไรตนก็ไม่ยอมคุยกับเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนี้เด็ดขาด หากจะคุยก็ต้องไปหาศิษย์พี่ ต้องไปที่อำเภอพ่านสุ่ย พวกเจ้าอยากจะคุยกันอย่างไรก็เชิญตามสบาย ทักษะการเล่นหมากล้อม มรรคกถา ความเป็นอมตะ ความรู้ของขอบเขตสิบสี่ขอบเขตสิบห้า ล้วนตามแต่ใจ
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “ได้สิ”
เพียงแต่หลิ่วชื่อเฉิงคล้ายถูกกระชากตัวออกไป ลากเส้นโค้งที่ยาวมากไปด้วยเส้นหนึ่ง พุ่งตรงจากเกาะนกแก้วไปกระแทกในเรือนแห่งหนึ่งของอำเภอพ่านสุ่ย หลิ่วชื่อเฉิงที่กระแทกลงพื้นอย่างแรงเลือกจะนอนเหม่อมันบนพื้นไปเสียเลย
จากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็ได้ยินเสียงในใจ จึงใช้เสียงในใจตอบกลับไปว่า “ตกลง หนึ่งร้อยปีให้หลัง จะเล่นหมากล้อมที่นครจักรพรรดิขาวและที่ป๋ายอวี้จิงกับอาจารย์เจิ้งที่ละตา”
ต่อมาหลี่ซีเซิ่งที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มก็หันไปมองนักพรตเนิ่นที่ไม่ค่อยเคารพกฎเกณฑ์สักเท่าไร
นักพรตเนิ่นเสียใจจนไส้เขียวแล้ว พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรแอบฟังบทสนทนานี้เลยจริงๆ
คำพูดประเภทนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถพูดคุยกับเจิ้งจวีจงได้ เรื่องอย่างการประลองหมากล้อมก็เหมือนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วมีคนบอกว่าจะถามกระบี่กับเฉินชิงตู จากนั้นเฉินชิงตูก็ตอบตกลงนั่นแหละ หลักการพอๆ กัน ส่วนจะเป็นใครกับใคร จะใช่เฉินชิงตูหรือไม่ สำหรับเขาเถาถิงแล้ว แตกต่างกันหรือ? แน่นอนว่าไม่ต่าง ล้วนสามารถฟันกระบี่ไม่กี่ทีก็ฟันให้เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างตายได้แล้ว แค่นี้ก็จบเรื่องแล้ว
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตัวอักษรคำว่าคนเขียนได้ง่าย แต่การวางตัวเป็นคนกลับทำได้ยาก สหายเถาถิงต้องระมัดระวังให้มาก”
หลี่ไหวจึงรู้ว่า ‘ตาเฒ่าเนิ่น’ ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ต้องทำตัวเหลวไหลอีกแน่นอน จึงใช้ศอกถองเข้าที่ชายโครงของนักพรตเนิ่น เอ่ยเสียงเบาว่า “เคารพกฎเกณฑ์เสียบ้าง”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างขลาดๆ “มีเหตุผลๆ เป็นคนต้องเคารพกฎเกณฑ์”
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะ
นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เรือข้ามฟากจอดเทียบท่า คนทั้งกลุ่มเดินขึ้นไปบนเรือ นักพรตเนิ่นยืนอยู่ข้างกายหลี่ไหวอย่างว่าง่าย รู้สึกว่ายังคงยืนอยู่ข้างกายคุณชายบ้านตนดีกว่า จิตใจสงบกว่าหน่อย
ก่อนหน้านี้หันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวได้ทะยานลมมาถึงเกาะนกแก้ว ไปเดินเที่ยวที่ร้านผ้าห่อบุญมารอบหนึ่ง ซื้อสมบัติหนักบนภูเขาที่เหมาะให้ภูตฝึกตนมาชิ้นหนึ่ง ราคาไม่ธรรมดา ของเป็นของดี ก็แค่ว่าแพงไปหน่อย เป็นเหตุให้รอกระทั่งนางมาถึงก็ยังขายออกไปไม่ได้
อีกอย่างอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสายบุ๋น ผู้ฝึกตนซื้อสมบัติหนักของผู้ฝึกตนผีมาชิ้นหนึ่งอย่างเปิดเผย ถึงอย่างไรก็ดูไม่ค่อยเหมาะสม เพราะเป็นการละเมิดข้อห้าม
ทว่าหันเชี่ยวเซ่อถูกใจของชิ้นนี้มากจึงซื้อไป แล้วก็ไม่มีใครรู้สึกว่าแปลกประหลาด ศิษย์น้องหญิงของเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นี้ขึ้นชื่อว่าศึกษาเวทคาถาหลากหลาย เป็นคนที่มีวิถีแห่งการฝึกตนเหมือนกับหลิ่วชีและจิงเฮาชิงกงไท่เป่า ขอบเขตสูง เวทคาถามากมาย วิชาอภินิหารกว้างขวาง ขอแค่ไม่ใช่การเข่นฆ่าที่ฝีมือแท้จริงแตกต่างกันมากเกินไป หากอีกฝ่ายสามารถมีวิธีการมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น ยามที่ประลองมรรคกถากันขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมต้องชิงความได้เปรียบมากกว่า
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมรสุมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยรอบศาลบุ๋น การลงมือครั้งนี้ของหันเชี่ยวเซ่อจึงเหมือนหินกระดอนน้ำที่เบามาก ไม่อาจดึงความสนใจของใครได้เลย
หันเชี่ยวเซ่อกลับไปยังเรือนที่พักในอำเภอพ่านสุ่ย โยนของชิ้นนั้นให้กับกู้ช่านที่ยังคงเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง ถามว่า “วางทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ลงขนาดนี้เชียวหรือ?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ทำแค่พอเป็นพิธีให้ตัวเองดูไปอย่างนั้นเอง”
หันเชี่ยวเซ่อถึงขั้นไม่รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีอะไรที่ขัดแย้งกันเอง
กู้ช่านคนบ้าคลั่งในสายตาของคนอื่น ในสายตาของหันเชี่ยวเซ่อเวลานี้กลับเป็นหยกงามแวววาวสดใส
กู้ช่านเก็บเม็ดหมากบนกระดาน ไม่เพียงแต่วางเม็ดหมากช้า แม้แต่ตอนเก็บเม็ดหมากก็ยังช้า ทำเอาหันเชี่ยวเซ่อที่มองอยู่ร้อนใจแทน
จู่ๆ ก็มีชุดสีชมพูหล่นลงมาจากท้องฟ้า พอกระแทกลงบนพื้นแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงก็เริ่มแกล้งตาย หันเชี่ยวเซ่อเหลือบมองไปนอกห้องแวบหนึ่ง “โอ้โห ครั้งนี้ศิษย์น้องไม่ไปฟ้องศิษย์พี่หน่อยหรือ?”
หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างอัดอั้น “ไม่ต้องมาสนใจข้า ข้ากำลังชมทัศนียภาพอยู่นะ”
ลานบ้านจุดอื่นของเรือนกว้าง เจิ้งจวีจงยืนอยู่ใต้ชายคา ฟู่จิ้นลูกศิษย์ใหญ่ยืนอยู่ข้างกาย
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พระจันทร์ทรงกลด ลมกำลังจะพัดแรง หินผุดจากน้ำชุ่มฉ่ำ ฝนกำลังจะตก สถานการณ์ในใต้หล้ายิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ไม่เข้าร่วมการประชุมที่ริมลำคลอง กลับกลายเป็นว่าทำให้เจิ้งจวีจงอนุมานเส้นสายออกมาได้มากกว่าไปที่ริมลำคลองเสียอีก
เจิ้งจวีจงมองม่านฟ้าแล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน
ฟู่จิ้นเปิดปากเอ่ย “อาจารย์ ข้าอยากเรียนรู้เอาอย่างต่งซานเกิง ออกเดินทางท่องไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง บางทีอย่างน้อยที่สุดอาจต้องใช้เวลาร้อยปี”
ความนัยในคำพูดก็คือ เขาไม่สนแผนการของอาจารย์และนครจักรพรรดิขาวแล้ว หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ ขัดเกลาตบะ ส่วนความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างสองใต้หล้า เขาจะออกกระบี่โดยดูแค่ที่สถานการณ์เท่านั้น
เจิ้งจวีจงพยักหน้า “ทำไมจะไม่ได้เล่า ผู้ที่ถนัดตกปลาแสวงหาความบันเทิงใจ ผู้ที่ไม่ถนัดตกปลาหวังอยากได้ปลา”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นครจินชุ่ยมีการเปลี่ยนเจ้านครไปอย่างเงียบเชียบ เป็นหลวนหูเจ้านครที่เป็นผู้ฝึกตนหญิงเซียนเหรินผู้นั้น นางยินยอมพร้อมใจยิ่ง อีกทั้งเรื่องนี้ยังเก็บอำพรางไว้ได้อย่างมิดชิด
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว
เท่ากับว่าได้คว้าชัยชนะไปให้ใต้หล้าไพศาลก่อนหนึ่งตา
——