กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 806.3 ชุดขาวกับชุดเขียว
ในบรรดาเมธีร้อยสำนัก บรรพจารย์หลายท่านที่สามารถมาได้ก็มากันหมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรสถานะก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่ทั่วไป พวกเขาถือเป็นคนที่ ‘คลุกคลีในวงการขุนนาง’ จะทำอะไรล้วนต้องมองสีหน้าท่าทางของศาลบุ๋น
บรรพจารย์สองท่านของสำนักการทหารทยอยกันมาเยี่ยมเยือน ข้างกายบรรพจารย์เจียงคือสวี่ป๋าย เขามองไปยังสตรีชุดแดงที่อยู่ห่างไปไกล
อาจารย์ฟ่านบรรพจารย์แห่งสำนักการค้าท่านนั้นกลับเป็นคนสุดท้ายที่มาเยือน เขาพูดคุยกับเฉินผิงอันมากกว่ารำลึกความหลังกับซิ่วไฉเฒ่าเสียอีก เรื่องหนึ่งในนั้นได้พูดไปถึงเรื่องชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยอุตรกุรุทวีป ได้ยินอาจารย์ฟ่านบอกว่าต้องการ ‘ทำหน้าหนาขอแบ่งน้ำแกงสักหนึ่งถ้วย’ แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมยินดีอย่างถึงที่สุด เอาส่วนแบ่งออกมาสามส่วน คิดไว้ว่าตัวเองจะเป็นคนจ่ายสองส่วน จากนั้นค่อยปรึกษากับซุนชิง อู่ชวินของจวนไฉ่เชวี่ย พยายามให้ทางฝั่งนั้นยินดีเอาออกมาหนึ่งส่วน
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าอาจารย์ฟ่านท่านนี้สมควรแล้วที่มีเงิน
เจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนอริยะทั้งหลาย รวมไปถึงเจ้าประมุขของสกุลต่างๆ ซึ่งมีสกุลเจียงอวิ๋นหลินแห่งแจกันสมบัติทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็มาเยือนสวนกงเต๋อ
อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าคิดว่าจะพูดให้น้อยหน่อย เอาหลักการเหตุผลของตัวเองมาพูดให้คนอื่นรำคาญ หนึ่งครั้งสองครั้งยังดี พูดมากเข้าย่อมง่ายที่จะทำให้คนรังเกียจ
ทว่าพอเผชิญหน้ากับพวกลูกหลานจวนอริยะ ซิ่วไฉเฒ่าก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจพร่ำบ่นกับพวกเขาไปรอบหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีคำชมด้วย แล้วยังชมไปไม่น้อย ในเมื่อทำได้ดีจะต้องขี้เหนียวกับเรื่องพวกนี้ไปไย แล้วก็มีที่ไม่เกรงใจอย่างมากเช่นกัน ด่าคนสองคนไปหลายประโยค ส่วนข้อที่ว่าพวกเขาจะฟังเข้าหูหรือไม่ ตั้งใจฟังแล้วเข้าใจไปได้กี่ส่วน เขาก็ไม่สนแล้ว
เพียงแต่ว่าการรับรองแขกเช่นนี้ต้องเสียเวลาไปถึงสองวัน
ในที่สุดก็ได้มีช่วงเวลาเงียบสงบอย่างที่หาได้ยาก ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ด้านล่างมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง ในศาลามีโต๊ะหินที่หน้าโต๊ะแกะสลักเป็นกระดานหมากล้อม
หลี่เป่าผิงเล่นหมากล้อมกับอาจารย์ลุงจวินเชี่ยน จั่วโย่วกับหลี่ไหวนั่งดูอยู่ด้านข้าง ภูตน้อยตนนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่งยาว อาจารย์เล่นหมากล้อมเขาดูแล้วก็ไม่เข้าใจ ทว่าตัวอักษรในตำราล้วนอ่านออกนี่นา
ซิ่วไฉเฒ่าพาเฉินผิงอันไปเดินเล่นนอกศาลา ยิ้มเอ่ยว่า “การต้อนรับขับสู้ผู้คนยุ่งยากอย่างมาก แต่อย่าได้รังเกียจว่ายุ่งยากเด็ดขาด ด้านในนี้ล้วนมีความรู้ซ่อนอยู่ เงี่ยหูตั้งใจฟังว่าคนอื่นพูดอะไร แล้วค่อยคิดว่าคำพูดของอีกฝ่ายซุกซ่อนอะไรเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เอ่ยประโยคเหล่านั้น ลองคิดดูให้มาก นี่คือความรู้ทั้งนั้น…”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงหน้าประตูบ้าน เป็นความรู้ที่มามอบให้ถึงหน้าประตูบ้านเลยล่ะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “พูดเรื่องนี้กับเจ้าเหมือนจะเกินความจำเป็นไปแล้ว อืม กิจการร้านเหล้าของเจ้านั้นดีมาก บัณฑิตสามารถแย่งเงินมาจากคนทำการค้าได้ แล้วยังได้กำไร มีหรือจะเป็นคนที่กลัวความยุ่งยาก ตั้งแต่เด็กเจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่กลัวความยุ่งยากอยู่แล้ว…ใช่แล้ว ครั้งหน้าที่ประตูเปิด ไปเยือนใต้หล้าห้าสี ร้านเหล้าเล็กร้านนั้นอย่าปิดเสียล่ะ กิจการดีหรือแย่ก็ห้ามปิดนะ”
มีประโยคหนึ่งไม่ได้พูดออกมา เด็กที่บ้านยากจนมักจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว บางทีวิถีทางโลกและชีวิตต่างก็ไม่ยอมให้เด็กคนนั้นหรือเด็กหนุ่มในภายหลังกลัวความยุ่งยาก
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นยิ้มกล่าว “ข้าเป็นแค่เถ้าแก่รอง เถ้าแก่ใหญ่คือแม่นางเตี๋ยจ้าง”
แล้วก็พูดคุยกันถึงเรื่องของเตี๋ยจ้างกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าฟังด้วยความตั้งใจ คุยเรื่องนี้เขากระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เพราะถึงอย่างไรศาลบุ๋นบ้านตนก็ช่างประหลาดยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ ‘บุกเบิกโฉมหน้าใหม่’ ถ้าอย่างนั้นแม่งก็ต้องเป็นชายโสดขึ้นคานกันไปหมดแล้ว
กลับเข้าไปในศาลา ซิ่วไฉเฒ่าเดินเอาสองมือไพล่หลังวนไปรอบโต๊ะ บางครั้งก็ช่วยชี้แนะจวินเชี่ยน
เฉินผิงอันนั่งอยู่กับภูตน้อยตนนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใด เจ้าตัวน้อยที่หากนับตามลำดับศักดิ์คือศิษย์หลานของตนคนนี้คล้ายจะตื่นเต้นอยู่บ้าง
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของจวินเชี่ยน ชื่อจริงคือเจิ้งโย่ว เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ชื่อจริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ดังนั้นภายใต้คำเตือนของอาจารย์ตน ก่อนหน้านี้ไม่นานเจิ้งโย่วจึงตั้งชื่อให้ตัวเอง ชื่อว่าเจิ้งโย่วเฉียน บอกว่าในตำราลับตระกูลเซียนที่ทำให้ตนได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนเล่มนั้น หากอิงตามอารัมภบทของตำรา ความรู้ล้วนมาจากเฉียนกว้า (หรือหมวดท้องฟ้า หนึ่งในแปดหมวดของแผนภูมิแปดทิศหรือปากว้า) อีกทั้งเซียนซือที่เขียนตำราเล่มนั้นยังแซ่เจิ้ง ในเมื่อเรียนเวทคาถาตระกูลเซียนไปแล้วก็เท่ากับว่าได้รับความรู้มาจากเซียนซือท่านนั้น ได้รับการปกป้องคุ้มครอง (保佑 เป่าโย่วตัวอักษรโย่วเป็นตัวเดียวกับกับชื่อเจิ้งโย่ว) อย่างที่มองไม่เห็นจากผู้อาวุโสท่านนั้น ดังนั้นภูตน้อยจึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าเจิ้งโย่วอย่างตั้งใจ
อีกอย่างหากไม่พูดถึงชื่อจริง พูดถึงแค่นามแฝงที่ใช้ตอนท่องยุทธภพ คำพ้องเสียงนั้นก็ดีมาก มีเงินจริงๆ เชียวนะ (มีเงินจริงๆ ภาษาจีนอ่านว่าเจินโหย่วเฉียน ซึ่งพ้องกับชื่อเจิ้งโย่วเฉียน)
วันหน้าขอแค่มีเงินแล้วก็จะต้องกลับไปยังบ้านเกิด ซ่อมแซมหลุมศพตั้งป้ายหน้าหลุมให้กับเซียนซือแซ่เจิ้งผู้นั้นดีๆ แน่นอน
เฉินผิงอันได้ยินศิษย์พี่จวินเชี่ยนเล่าให้ฟังว่าเจ้าตัวน้อยผู้นี้ชอบอ่านหนังสือมาก แล้วยังมีความเจ้าอารมณ์อยู่เล็กๆ
เจิ้งโย่วเฉียนมาจากพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าของใบถงทวีป ในพื้นที่มงคลแห่งนั้นหากมีผู้ฝึกลมปราณสร้างโอสถทองได้สำเร็จก็จะสามารถ ‘กลายร่างเป็นเซียน (อวี่ฮว่า) บินทะยาน’ เคยเป็นพื้นที่มงคลระดับล่างที่ ‘เหล่าเซียนเบื้องบน’ จัดการกันได้ไม่ดีตามแบบฉบับแห่งหนึ่ง เพราะทรัพย์สินของสำนักมีไม่มากพอ คิดจะเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าให้เป็นระดับกลางก็มีใจแต่ไร้กำลังอย่างแท้จริง หากฝืนทำก็ง่ายที่จะลากสำนักให้เดือดร้อนไปด้วย จะเท่ากับว่าตัดชุดแต่งงานให้กับผู้อื่น
เจิ้งโย่วเฉียนพูดเสียงสั่น “ใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรียกว่าอาจารย์อาน้อยก็พอ”
สองมือของเจิ้งโย่วเฉียนกำเป็นหมัด ในฝ่ามือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เกร็งหน้าผงกศีรษะรับ “ได้เลย อาจารย์อาน้อยอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ่งประหลาดใจ รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง จึงรีบใช้เสียงในใจสอบถาม “ศิษย์พี่จวินเชี่ยน เป็นเพราะบนร่างข้าแบกชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ เจิ้งโย่วเฉียนจึงกลัวข้ามากใช่หรือไม่?”
หลิวสือลิ่วส่ายหน้า ยิ้มตอบ “ไม่ใช่ ทุกวันนี้เจ้าเก็บงำไว้ได้ไม่เลว ด้วยตบะของเจิ้งโย่วเฉียนในตอนนี้ย่อมสัมผัสไม่ถึง เพียงแต่เจ้าเด็กนี่เกิดมาก็ขี้ขลาด ก่อนหน้านี้ข้าพาเขาไปเที่ยวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อยู่ที่นั่นได้ยินเรื่องราวไม่น้อยเกี่ยวกับเจ้า ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวานอะไรนั่น ออกกระบี่อย่างดุดัน ฆ่าปีศาจเป็นผักเป็นปลา ขอแค่จับตัวผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจได้ หากไม่ฟันแสกหน้าก็ต้องฟันผ่าเอว แล้วยังมีที่บอกว่าเจ้าชอบจับเอาศัตรูมาตัดลิ้นทั้งเป็นบนสนามรบมากที่สุด…พอเจิ้งโย่วเฉียนได้ยินว่าเจ้าคืออิ่นกวานคนนั้น สุดท้ายตอนที่อยู่ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งกลัวเจ้ามากกว่าเดิม ปากบอกว่าเลื่อมใสอาจารย์อาน้อยอย่างเจ้ามาก แต่พอเจอหน้าเจ้าจริงๆ กลับกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้ คงจะเป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เจ้าได้เจอกับ…จั่วโย่วกระมัง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้กลัวศิษย์พี่จั่วสักหน่อย”
จั่วโย่วได้ยินเสียงในใจที่หลิวสือลิ่ว ‘นำความมาบอก’ ก็พยักหน้า “อาศัยว่ามีอาจารย์อยู่เลยไม่กลัวข้าจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ศิษย์พี่จวินเชี่ยน แบบนี้ไม่เหมาะสมแล้วนะ”
หลิวสือลิ่วหัวเราะร่า “ข้าไม่ได้ฟ้องอาจารย์สักหน่อย”
เฉินผิงอันหันหน้ามากล่าว “โย่วเฉียน ตอนนี้ในมืออาจารย์อาน้อยยังไม่มีของขวัญพบหน้าที่เหมาะสม วันหน้าจะชดเชยให้เจ้านะ”
เจิ้งโย่วเฉียนก้มหน้า โบกมืออย่างแรง “ไม่ต้องๆ”
มาถึงที่ศาลบุ๋น ก่อนหน้านี้ถูกอาจารย์พาไปพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง เสียงอึกทึกเอะอะ ล้วนเป็นเสียงที่คนพูดคุยกันถึงข่าวลือของอาจารย์อาน้อยท่านนี้
เซียนกระบี่ชุดเขียวเห็นใครก็ซ้อม ต่อสู้อย่างดุร้าย นิสัยแย่เจ้าอารมณ์อย่างถึงที่สุด
นิสัยนั้นของอาจารย์อาน้อย หากพูดตามมโนธรรมในใจ ก็ไม่ต่างจากประทัดระเบิดสักเท่าไรเลยจริงๆ
พูดไม่เข้าหูกันคำเดียวก็จะเอาตะกร้าใบใหญ่ที่บรรจุประทัดไว้จนเต็มโยนโครมลงไปบนหัวคน เสียงเปรี้ยงๆๆ ดังรัวเป็นระลอก ใครเล่าจะทนได้ไหว?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โย่วเฉียน เจ้าอยู่ข้างนอกไปได้ยินข่าวลืออะไรที่ไม่จริงเกี่ยวกับอาจารย์อาน้อยมาใช่หรือไม่?”
เจ้าตัวน้อยก้มหน้าแล้วก็ไม่เคยได้เงยหน้าขึ้นมาอีก เพียงแค่ว่าระหว่างนั้นหันหน้าไปอีกทางแล้วยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อออกเร็วๆ เท่านั้น
เวลานี้พอได้ยินอาจารย์อาน้อยถามคำถาม เขาก็คลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จะโกหกก็ไม่ได้ แต่ไม่โกหกก็จะให้เขาพูดออกไปตรงๆ เลยหรือ จึงยกมือเกาแก้มพลางถือโอกาสเช็ดเหงื่อไปด้วย
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “อาจารย์อานี่ช่างมีบารมีน่าเกรงขามนักนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าตบป้าบเข้าที่หัวของจั่วโย่ว “ชมหมากล้อมไม่พูดคุยคือวิญญูชนที่แท้จริง มิน่าเล่าเจ้าถึงมียศเป็นแค่นักปราชญ์ ดูหลี่ไหวสิ เพิ่งจะอายุเท่าไรเองก็ได้เป็นนักปราชญ์แล้ว!”
หลี่ไหวเหมือนถูกฟ้าผ่า รู้สึกเพียงว่าหายนะหล่นมาจากฟ้า “อะไรนะ?!”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ดูความจำข้าเข้าสิ ลืมเล่าให้เจ้าฟังไปเลย หลี่ไหวอ่า เวลานี้เจ้าเป็นนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้วนะ วางใจเถอะ สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรเลย เป็นพวกเจ้าลัทธิทั้งหลายของศาลบุ๋น บวกกับพวกผู้อำนวยการรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาอีกหลายคนร่วมกันปรึกษาจึงได้ผลลัพธ์นี้ออกมา พยายามให้มากๆ เข้านะ ผ่านไปอีกสักปีสองปีก็พยายามช่วงชิงตำแหน่งวิญญูชนมาให้ได้ วันหน้าเวลาอาจารย์ลุงจั่วเจอเจ้าก็ไม่ต้องขอความรู้จากเจ้าหรอกหรือ?”
หลี่ไหวร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เกาหูเกาแก้มมั่วไปหมด “ไม่ได้นะ!”
จั่วโย่วพยักหน้า เด็กคนนี้ถ่อมตนอย่างมาก ส่วนความสำเร็จในด้านการศึกษาหาความรู้จะสูงหรือต่ำ ขอแค่มีสภาพจิตใจเช่นนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว
หลี่ไหวพูดอย่างร้อนใจ “อาจารย์ปู่ ศาลบุ๋นจะเหลวไหลแบบนี้ไม่ได้นะ เป่าผิงยังไม่ใช่นักปราชญ์เลย แล้วข้าจะเป็นได้อย่างไร”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “ก็เจ้ามีคุณความชอบครั้งใหญ่นี่นา”
ไม่มีเวลามาสนใจว่าเป็นคุณความชอบกับผายลมสุนัขอะไรแล้ว หลี่ไหวหลุดปากกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องการคุณความชอบแล้ว บอกทางฝั่งศาลบุ๋นว่าอย่ายกตำแหน่งนักปราชญ์ให้ข้าเลย ได้หรือไม่? อาจารย์ปู่ ขอร้องท่านล่ะ ช่วยพูดให้ข้าที ไม่อย่างนั้นข้าก็จะหลบอยู่ในสวนกงเต๋อนี่ไม่ยอมออกไปไหนแล้วนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าตกตะลึง “หลี่ไหว ใช้ได้เลยนี่นา อายุน้อยๆ ก็มีปณิธานยิ่งใหญ่เสียแล้ว ถึงกับคิดจะขอตำแหน่งวิญญูชนมาจากศาลบุ๋นโดยตรงเลยหรือ? ไม่มีปัญหา แรกเริ่มข้าก็คิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ยกตำแหน่งนักปราชญ์ให้มองดูเหมือนเด็กเล่นเกินไป ให้ตำแหน่งวิญญูชน ข้าว่าทำได้”
หลี่ไหวใกล้บ้าเต็มทีแล้ว หันหน้าไปมองเฉินผิงอันตามจิตใต้สำนึก “ทำอย่างไรดี?!”
ข้าศึกษาเล่าเรียนอยู่ดีๆ เอาตำแหน่งนักปราชญ์มาให้ข้าทำไม นี่หากกลับไปถึงสำนักศึกษาซานหยาคงไม่ใช่ว่าทุกวันต้องใช้ชีวิตด้วยการว่ายน้ำอยู่ในถังน้ำหรอกนะ?
หลี่ไหวไม่ได้โง่สักหน่อย แจกันสมบัติทวีปที่กว้างใหญ่ สำนักศึกษาตามระบบที่ถูกต้องของลัทธิขงจื๊อมีอยู่แค่กี่แห่งกันเชียว แล้วนักปราชญ์จะเยอะไปได้อย่างไร?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำอย่างไร? ยังจะทำอย่างไรได้อีก เป็นนักปราชญ์ไปแล้ว แล้วยังปฏิเสธไม่ได้ ก็หลบซ่อนตัวตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีน่ะสิ หากกังวลว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ ก็ปรึกษากับทางศาลบุ๋นและสำนักศึกษาให้ช่วยเตือนทางฝั่งของสำนักศึกษาซานหยาว่านอกจากพวกเจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาทั้งหลายแล้ว อย่าได้แพร่เรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรับรู้ มอบตำแหน่งให้แล้วเอาคืนกลับมา ศาลบุ๋นไม่มีทางตอบตกลงแน่นอน เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือไร แต่หากจะให้ช่วยเก็บความลับให้เจ้าตอนอยู่ในสำนักศึกษา อันที่จริงเรื่องนี้กลับไม่ยาก”
หลี่ไหวคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
หึ ในเมื่อไม่เป็นต้นไม้ใหญ่เรียกลมให้คนหัวเราะเยาะ ดูเหมือนว่าการที่ได้ตำแหน่งนักปราชญ์มาเปล่าๆ ขอแค่อยู่กับเจ้าประมุขอย่างเผยเฉียนแล้วโอ้อวดกันดีๆ เป็นการส่วนตัว ไม่แน่ว่าตำแหน่งเจ้าสาขาน้อยๆ ที่นั่งนิ่งไม่ขยับมานานหลายปีนี้ของตนก็อาจได้เลื่อนขั้นก็เป็นได้
ดูท่าแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีนะ
หลิวสือลิ่วหัวเราะ
ดูท่าศิษย์น้องเล็กจะเชี่ยวชาญในการรับมือกับเรื่องยิบย่อยของใจคนจริงๆ
หลิวสือลิ่วเหลือบมองจั่วโย่ว
จั่วโย่วคร้านจะสนใจ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หากเฉินผิงอันยังจัดการไม่ได้ จะมาเป็นศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร
ยังมีหน้ามาเป็นอาจารย์อาน้อยของคนอื่นอีกหรือ?
หลี่ไหวมองเฉินผิงอัน ไม่ได้เป็นพี่เขยของตน ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
เฉินผิงอันเดาความคิดของหลี่ไหวออกจึงด่าว่า “ไสหัวไป”
เจิ้งโย่วเฉียนมองไปทางอาจารย์ของตนตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร เคารพอาจารย์อาน้อยก็เคารพอยู่ แต่นิสัยของอาจารย์อาน้อยไม่ดีเลยจริงๆ ตนนั่งอยู่ตรงนี้รู้สึกตะครั่นตะครอไปหมด ปลุกความกล้าให้ตัวเองไม่ได้เลยสักนิด
ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันนั่งรวบชายแขนเสื้ออยู่บนขั้นบันได มองใบไม้ร่วงที่ถูกลมพัดให้ปลิวขึ้นจากพื้นอยู่เพียงลำพัง
เพราะอยู่คนเดียว ความคิดจึงวุ่นวายสับสนอยู่บ้าง
วิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดเช่นไร เจ้าทำอย่างไรได้ เจ้าควรทำอย่างไร
ควบคุมตัวเอง ทบทวนตัวเอง แสวงหาให้ตัวเอง มีอิสระเป็นของตัวเอง
อ่านตำราโบราณมากมายเปิดโลกกว้าง ยุ่งเรื่องคนอื่นให้น้อยลง รักษาแรงกายแรงใจให้ดี
เรื่องไม่คาดฝันทั้งหลายในชีวิตก็เหมือนฝนตกกระหน่ำที่มาเยือนอย่างกะทันหัน ในมือของผู้แข็งแกร่งมีร่ม สองมือของผู้อ่อนแอว่างเปล่า
ผู้แข็งแกร่งถือร่มเดินไป ต้องการบังลมบังฝนให้กับวิถีทางโลกใบนี้ ได้แค่ครู่เดียวก็ยังดี
หลี่ไหวแอบมาหาเขาที่นี่ มานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ยื่นสมุดสองเล่มที่ยับย่นน้อยๆ มาให้ ตัวสมุดไม่หนามากนัก
เฉินผิงอันเปิดออกอ่าน ด้านในจดคำถามที่หลี่ไหวเขียนไว้เต็มไปหมด ข้อสงสัยในตอนอ่านหนังสือ ข้อสงสัยในเรื่องการศึกษาหาความรู้ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ บ้างก็ถูกลบถูกขีดฆ่าทิ้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเก็บเอาไว้
หลี่ไหวพูดเสียงเบาด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “คำถามหลายอย่างล้วนถามสหาย ถามอาจารย์ บางอย่างฟังคนพูดก็เข้าใจแล้ว แต่คำตอบบางอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะถามซ้ำซาก แล้วก็กลัวว่าจะลืม ก็เลยเขียนไว้ในนี้ แรกเริ่มรู้สึกว่าอีกไม่นานก็จะได้พบเจ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้กว่าจะได้เจอกัน นี่ก็เลยเขียนได้ตั้งสองเล่มแล้ว”
เฉินผิงอันเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “ข้าจะเก็บไว้ก่อน แล้วจะค่อยๆ อ่าน ก่อนจะให้คำตอบของข้า ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกทั้งหมด แล้วเดี๋ยวคราวหน้าจะคืนให้เจ้าพร้อมกับตำรายันต์ที่ยืมไปเล่มนั้น”
หลี่ไหวร้อนใจจนใบหน้าแดงก่ำ “อย่านะ แค่เปิดๆ อ่านไปก็พอ เฉินผิงอัน เจ้าอย่าเอาจริงเอาจังขนาดนี้สิ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าเขียนคำถามพวกนี้ก็ไม่ได้เขียนลวกๆ สักหน่อย”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างจนใจ “ความรู้ของพวกเราสองคนมีมากน้อย จะเหมือนกันได้หรือ? ข้าเรียนหนังสือไม่ได้เรื่องจริงๆ คำถามที่ข้าคิดแล้วไม่เข้าใจ ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่เจ้าแค่มองแล้วก็อธิบายด้วยสองสามคำก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หากไม่ใช่เฉินผิงอัน หลี่ไหวก็จะเก็บซ่อนตำราสองเล่มนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป
เฉินผิงอันตบไหล่หลี่ไหว ยิ้มกล่าว “พี่เขยคนนั้นของเจ้าข้าเคยเจอแล้ว ท่าทางไม่เลวเลย”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง “ถึงอย่างไรก็เป็นพี่เขยของข้านี่นะ”
ท่ามกลางแสงสายัณห์ ซิ่วไฉเฒ่าลากเอาลูกศิษย์สามคนมาจิบเหล้าดื่มด้วยกัน ลมกลางคืนเยือกเย็น แต่ใจคนกลับอบอุ่น
จั่วโย่วมองไปยังทิศไกล
เฉาสือที่สวมชุดขาวในมือถือฝักกระบี่ไผ่เหลืองอันหนึ่งมาด้วย
เขามาที่สวนกงเต๋อเพียงลำพัง มาพบเฉินผิงอัน
ซิ่วไฉเฒ่าจับปลายคางตัวเอง “หากจะตีกันก็ยากแล้วนะ”
หากเผยเปยมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าจะเอาความสามารถประจำตัวของตน ใช้เหตุผลโน้มน้าวให้คนเชื่อ ใช้คุณธรรมสยบใจคน บัณฑิตแค่ทะเลาะโต้เถียงกัน จะไม่ลงไม้ลงมือกันเด็ดขาด แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายยังเป็นสตรีคนหนึ่ง
จั่วโย่วกล่าว “ในเมื่อไม่ใช่เผยเปย หากถูกถามหมัด เจ้าก็รับเอาไว้เอง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าไปคนเดียว”
เฉินผิงอันปลดกระบี่ยาวข้างหลังลงวางไว้บนโต๊ะ ไปพบกับเฉาสือ
เด็กหนุ่มสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลังจากถามหมัดกันไปสามครั้ง จากลากันไปนานหลายปี ต่างคนต่างเดินไปบนเส้นทางเบื้องหน้าของตน คืนนี้ในที่สุดก็ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
วรยุทธในใต้หล้าแบ่งออกเป็นสองส่วน เฉาสือชุดขาว เฉินผิงอันชุดเขียว
——